คำว่า ‘พ่อเดือนรู้ใจพี่’ เหมือนน้ำค้างที่หยาดต้องใบไม้แรกผลิ ชุ่มชื่นและฉ่ำเย็นในหัวใจอย่างบอกไม่ถูก
เสียงนุ่มนวลของชายหนุ่มแผ่วเบาเพียงแค่ได้ยินกันแค่สองคนก็จริง แต่สำหรับเดือนแล้ว เสียงนั้นสะท้อนก้องไปมาอยู่ในหัวใจรอบแล้วรอบเล่า แม้พูดเพียงครั้งเดียวแต่หัวใจก็ยังคงได้ยินคำกล่าวเหล่านี้ซ้ำไปซ้ำมาไม่รู้จบ
ไม่รู้ว่านี่เป็นความรู้สึกที่พึงมี พึงเป็นหรือไม่ เดือนรู้เพียงว่า หัวใจของเขาพองโตเมื่อได้ยินคำพูดนี้จากปากของเมฆ คำพูดที่ทำให้รู้สึกว่าเขาเป็นคนพิเศษ เป็นผู้รู้ใจของ ‘คนโปรด’ ที่เขายกเอาไว้พื้นที่สงวนไว้ให้คนคนนี้เพียงผู้เดียว
เด็กชายไม่รู้ชัดว่าเมฆให้ความใกล้ชิดกับเขาเป็นพิเศษด้วยความรักชนิดใด เขารู้เพียงว่าความรักที่เขามีให้เมฆเป็นคนละอย่างกับความรักและเคารพอย่างพี่อย่างน้องแบบที่เขามีให้ด้วงและพี่น้องสายเลือดเดียวกัน หรือเพื่อนของพี่ชายที่คุ้นเคยและคุยถูกคอกัน หรือเพื่อนสนิทรุ่นราวคราวเดียวกันคนใด ๆ ก็ตาม
“ใจจริง พี่ไม่ชอบและไม่เห็นด้วยกับตัวบทกฎหมายอันว่าด้วยวิธีการพิจารณาที่เป็นอยู่ และคงทำใจให้ชอบไม่ได้” เมฆเอ่ยพลางถอนใจหนัก ๆ ออกมาครั้งหนึ่ง ถึงจะยิ้มแย้มเหมือนกลบเกลื่อนความรู้สึกที่แสดงออกมายามเปิดเผยความในใจของตนเองให้เดือนฟัง แต่ความกังวลและไม่ชอบใจนั้นก็ชัดเจนเสียจนคนอายุน้อยกว่ารู้สึกได้
“ถ้าหากไม่ชอบ แล้วเหตุใดคุณพี่จึงคิดเป็นตระลาการล่ะเจ้าคะ” เดือนถาม
คำถามซื่อตรงนั้นทำให้เมฆอดไม่ได้ที่จะยกมือขึ้นลูบศีรษะของเด็กชายตรงหน้า
“ซักเก่งเหลือเกิน พ่อคุณ” เป็นคำชมไม่ใช่ตำหนิหรือแสดงความรำคาญใจ “ที่พี่คิดเป็นตระลาการอย่างเดียวกับคุณพ่อ เพราะพี่เชื่อมั่นในวิธีการสืบเสาะหาความจริงก่อนตัดสินของคุณพ่อที่ไม่เคยใช้วิธีการทรมานให้สารภาพหรือข่มขู่ให้ยอมรับ แม้จะเสียเวลาและสรุปความได้ช้าสักหน่อย แต่ก็ไม่มีข้อติติงให้ใครตำหนิว่าพิจารณาคดีแบบลุแก่อำนาจหรือมีข้อผิดพลาดมากเสียจนเสียความยุติธรรมได้”
“คุณพี่เกรงว่าจะไม่มีใครสืบทอดวิธีการสืบหาความจริงในการว่าคดีของคุณลุงพระสุจริตฯ ใช่ไหมเจ้าคะ”
“ใช่ พี่เกรงว่าจะเป็นเช่นนั้น” ชายหนุ่มรับ “อีกอย่างหนึ่ง ถ้าตัดสินความให้เป็นที่ยุติได้อย่างถูกต้อง เป็นธรรม ก็จะช่วยให้คดีความทั้งหลายจบสิ้น ไม่จำต้องอุทธรณ์ ฎีกา หรือมีผู้นำไปฟ้องให้ระคายเคืองเบื้องพระยุคลบาทอีก และไม่เป็นภัยแก่ตัวของผู้ฟ้องคดีที่มีความทุกข์ร้อนอย่างแท้จริงด้วย”
เดือนขมวดคิ้วและส่ายศีรษะอย่างไม่เข้าใจหลังจากนิ่งคิดหาเหตุผลตามเนื้อความที่ได้รับฟังอยู่พักใหญ่
“เพราะเหตุใดเจ้าทุกข์จึงต้องได้รับภัยด้วยเล่าเจ้าคะ”
“เลกไพร่ฟ้องขุนนางหรือเจ้านาย ผู้ร้องทุกข์ต้องถูกโบยก่อนเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจและแสดงว่าตนได้รับความเดือดร้อนอย่างแท้จริง” เมฆอธิบาย “เพราะมีแต่คนทุกข์ถึงขนาดเท่านั้นจึงจะยอมเอาเลือดเนื้อร่างกายของตนเข้าแลก เป็นการยืนยันว่าจะไม่พูดเท็จอย่างแน่นอน และเป็นการปรามคนอื่น ๆ ว่าอย่าใส่ความผู้อื่นโดยไม่มีเหตุ”
เด็กชายนิ่วหน้า “ถ้าเจ้าทุกข์ทนเจ็บไม่ไหว ตายคาหวายก่อนที่จะได้ฟ้องคดีเล่าเจ้าคะ”
“พ่อเดือนพูดในสิ่งที่ใจพี่คิด แต่พูดให้ใครเข้าใจได้ยากนัก” เมฆกล่าว “พี่เข้าใจเหตุและผลของกฎเกณฑ์นี้อยู่ เข้าใจว่ากฎย่อมเป็นกฎ แต่ถึงกระนั้น ในบางครั้งพี่ก็ยังแคลงใจ”
“ดีฉันก็แคลงใจเรื่องเดียวกับคุณพี่เจ้าค่ะ” เดือนเอ่ยขึ้น วางมือลงบนมือของอีกฝ่ายด้วยท่าทางจริงจัง
น้ำเสียงขึงขังและกิริยาของคนพูดเรียกเสียงหัวเราะด้วยความเอ็นดูจากคนอายุมากกว่าออกมาได้
“พ่อเดือนอย่าเพิ่งเชื่อพี่ไปเสียทุกสิ่ง ฟังความให้รอบ ศึกษาให้แจ้งแล้วจึงค่อยตัดสินใจว่าจะเชื่อหรือไม่เชื่อ” มหาดเล็กหนุ่มว่า จับมือเล็กกว่าที่เอื้อมมาวางเหนือมือของเขาแล้วกุมมือนั้นตอบ “อย่างไร พี่ก็ขอบใจที่พ่อเดือนฟังพี่ และพูดคุยกับพี่ในเรื่องที่พี่พูดกับคนอื่นไม่ได้”
มือใหญ่กว่าบีบมือเล็กกว่าเบา ๆ ก่อนถอนออกไป ทว่าความรู้สึกที่ถูกส่งผ่านมากลับไม่ผละหายตามมือนั้นไปด้วย
เดือนก้มลงมองมือของตนเองและดึงกลับมาวางบนตักตามเดิม ในขณะที่เมฆหันไปมองบิดาและเพื่อนเก่าแก่ที่สนทนากันอยู่ที่หอนั่ง ก่อนหันกลับมาหาฝ่ายที่อายุน้อยกว่าอีกครั้ง
“ดูเหมือนทางนั้นจะคุยธุระเสร็จแล้ว เราไปกันเถอะ”
เด็กชายตอบรับคำชวนนั้น และเดินตามบุตรชายของเจ้าเรือนกลับไปที่นั่งกลางเรือนที่ใช้เป็นที่ต้อนรับผู้มาเยือนเพื่อที่จะลาเจ้าบ้านกลับเรือนตน
เมฆกับด้วงสนทนากันเล็กน้อยและนัดแนะเรื่องที่จะพบกันอยู่อีกครู่หนึ่ง ขณะที่เดือนนั่งรอพี่ชายของตนลาพระสุจริตวินิจฉัยให้เรียบร้อย แต่เมื่อยกมือไหว้ลากันแล้ว ชายกลางคนผู้เป็นเจ้าของเรือนก็ร้องเรียกเพื่อนสนิทของบุตรชาย
“พ่อด้วง ลุงเกือบลืมถามไป พ่อเมฆบอกเรื่องฤกษ์ขึ้นเรือนหอใหม่กับพิธีแต่งงานของตัวเองให้พ่อด้วงรู้แล้วหรือยัง”
To be continued...
แย่ แย่ที่สุดเลยพ่อเมฆ!
น้องเดือนไม่ร้องนะคะลูก