หลังฝนต้นฤดูหายไป อากาศก็เริ่มร้อน เวลาผ่านไปไม่ถึงครึ่งปีดีนัก แต่เดือนรู้สึกเหมือนตนอาศัยอยู่ในเรือนของพระยาสุจริตวินิจฉัยมานานร่วมปี โดยเฉพาะเมื่อผู้เป็นเจ้าบ้านและคนในเรือนนับเขาเป็นเสมือนญาติสนิทคนหนึ่งของครอบครัว
เริ่มแรกงานของเดือนเหมือนทนายคนอื่น ๆ ของท่านเจ้าคุณเจ้าของเรือนคือ งานคัดหนังสือ ตัวบทกฎหมาย และคำวินิจฉัยเป็นหลัก แต่เมื่อเริ่มคล่องมากขึ้น ในบางครั้ง ท่านเจ้าคุณก็ให้ติดตามไปราชการยังศาลาว่าความและให้ทำหน้าที่เสมียนบันทึกคดีเป็นผู้ช่วยคู่กับเสมียนหลักที่ทำหน้าที่นี้อยู่ในปัจจุบัน การงานทั้งสองด้านนี้ทำให้เดือนเรียนรู้ที่จะจดจำตัวบทกฎหมายที่ได้อ่านผ่านตาระหว่างคัดหนังสือ และได้เห็นการพิจารณาคดีและการปรับใช้กฎหมายกับคดีจริงไปพร้อมกัน แต่งานหลักที่เดือนทำคือเป็นทนายกึ่งเสมียนระหว่างที่มีผู้มาปรึกษาราชการกับท่านเจ้าคุณที่บ้านสลับกับทนายคนอื่น ๆ
ในเวลาที่ว่างเว้นจากการงาน หากไม่อยู่สนทนากับทนายรุ่นพี่ โดยเฉพาะนายเอิบ ทนายหน้าหอของพระยาสุจริตวินิจฉัย เดือนก็จะขออนุญาตออกไปเรียนหนังสืออังกฤษกับหมอทอมสันที่สำเพ็ง และหาเวลาฝึกศิลปะการต่อสู้จากพวกพะทำมะรงที่ทำหน้าที่คุมนักโทษในตะรางคุมขังใต้ถุนเรือน โดยมีนายมั่น หัวหน้าพะทำมะรงเป็นครูสอนหมัดมวยให้และมีนายไปล่ พะทำมะรงอีกคนหนึ่งก็สอนให้ฝึกฝนเชิงดาบ ทั้งสองชมว่าหน่วยก้านของเดือนดีและเมื่อโตขึ้นจะยิ่งได้เปรียบด้านรูปร่าง เนื่องจากเดือนเป็นคนแขนขายาวแต่สมส่วนและน่าจะสูงกว่านี้ได้อีกโข
ด้านชีวิตส่วนตัวอื่น ๆ ที่ไม่ใช่การเรียนรู้เพิ่มเติมจากการงาน เดือนมักกินอาหารกลางวันกับพวกทนาย ส่วนมื้อเช้าและเย็นนั้น ร่วมสำรับเดียวกับท่านเจ้าคุณและคนอื่น ๆ ในครอบครัวเสมือนเป็นสมาชิกคนหนึ่งของบ้าน และในเวลาพักผ่อน ก็ได้รับอนุญาตให้เข้าไปอ่านหนังสือในตู้ได้ตามสะดวก จะกลับไปนอนที่บ้านบิดามารดาก็ทำเพียงแค่บอกกล่าวเวลาไปกลับเอาไว้เท่านั้น แม้ไม่มีข้อจำกัดอันใด แต่เดือนก็พยายามจะไม่ทำตัวตามสบายเกินไปนัก โดยสำนึกไว้เสมอว่าตนเองเป็นผู้น้อยที่มาฝึกทำราชการกับผู้ใหญ่และฝ่ายผู้ใหญ่ในเรือนก็ให้ความเมตตาเสมือนลูกหลานแท้ ๆ เท่านั้น
ทุกอย่างเป็นไปด้วยความเรียบร้อย อย่างน้อยเดือนก็คิดเช่นนั้น เพราะสิ่งที่เขาคิดว่ายากเย็นที่สุดคือการเก็บความรู้สึกที่มีต่อเมฆเอาไว้ระหว่างใช้ชีวิตอยู่ในเขตบ้านเดียวกันหลังจากวันที่เขากับเมฆอยู่ด้วยกันตามลำพังในห้องหนังสือในวันนั้นก็ไม่ได้ยากเกินกว่าความพยายาม
เมฆแสดงออกต่อเขาเสมือนพี่ชายแสดงออกต่อน้องชาย ให้ความสนิทสนมและสั่งสอนไปในเวลาเดียวกัน แม้จะไม่ได้พบหน้ากันบ่อยครั้งนัก เพราะเมฆต้องเข้าเวรในพระบรมมหาราชวังทุกช่วงข้างขึ้นสลับกันไปกับอีกเวรหนึ่ง และช่วงหลังมานี้ เมฆมักจะได้รับคำสั่งให้เป็นตระลาการสืบสวนหาข้อเท็จจริงเกี่ยวกับข้อพิพาทที่เกิดขึ้นระหว่างมหาดเล็กและข้าราชการกรมวังอยู่บ่อยครั้ง ทำให้บางคราวก็ต้องออกจากเรือนไปเป็นวัน ๆ กว่าที่คนในเรือนจะได้พบหน้าและไม่ได้รับประทานอาหารร่วมสำรับกับคนในครอบครัวมานานนัก
ทำนองเดียวกับที่เดือนเคยเห็นบิดาของตนเองและบิดาของเมฆเป็น บางวัน มีคนมาหาเมฆถึงที่เรือนเพื่อปรึกษาราชการ ที่กำลังอุ้มชูกอดหอมบุตรสาวที่นานครั้งจะได้ทำก็ต้องวางมือและส่งคืนให้แม่ผิว ผู้เป็นมารดารับไป และเมื่อถึงเวลาเข้าเวรและต้องสอบปากคำพยานในคดีพิพาทระหว่างกันของมหาดเล็กหรือขุนนางกรมวังตามที่มีพระบรมราชโองการแต่งตั้งหรือเจ้านายระดับรองลงไปที่ปฏิบัติราชการใกล้ชิดมีรับสั่ง เมฆก็กลับคืนเรือนเสียตอนย่ำค่ำหรือไม่เช่นนั้นก็รุ่งเช้า หลายครั้งกว่าที่เมฆจะกลับถึงเรือน ภรรยาก็กล่อมให้ลูกนอนไปเสียแล้วและนั่งรออยู่จนดึกดื่น หรือถ้ากลับเช้าเสียเลย แม่ผิวก็ต้องรีบตื่นก่อนและเตรียมสำรับกับข้าวเอาไว้ให้ รอให้สามีไปอาบน้ำท่าทำความสะอาดร่างกายผลัดผ้าผ่อนเสียจึงจะได้พบหน้ากัน
เมื่อเทียบกันแล้ว เดือนดูเหมือนจะได้พบหน้าเมฆบ่อยกว่าที่เมฆจะได้พบแม่ผิวเสียอีก เพราะหน้าที่การงานบางอย่างเกี่ยวกับพวกหมอสอนศาสนากับโรงพิมพ์ฝรั่ง เมฆก็ต้องอาศัยไหว้วานเดือนให้ช่วยทำงานเป็นครั้งคราว การที่เมฆโหมงานเพื่อหลบหน้าเดือนหลังจากวันที่เผลอกอดเขาเมื่ออยู่กันตามลำพังวันนั้นจึงเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ และไม่ใช่วิสัยของเมฆที่จะหลบหน้าเพียงเพื่อจะหนีปัญหาที่เคยเกิดขึ้นระหว่างกัน
หน้าที่การงานที่มากขึ้นและการได้รับความไว้วางพระราชหฤทัยและพระทัยมากขึ้น ทำให้เกิดเรื่องลือกันว่า อีกไม่นานนัก เมฆอาจได้เลื่อนยศเลื่อนตำแหน่งขึ้นในไม่ช้า โดยยศตำแหน่งที่จะได้เลื่อนขึ้นไปนั้นอาจมิได้อยู่ในสายงานมหาดเล็กแต่เป็นงานตุลาการศาลเช่นเดียวกับบิดา ทว่าอยู่คนละสังกัดกรมกองกันเท่านั้น
มีข่าวอื่นหนาหูกว่านั้น แต่เป็นเรื่องที่พวกผู้ใหญ่นำไปพูดคุยหารือกันเอง ไม่ใช่เรื่องของเด็กอย่างเดือน น้องชายของเมฆ และพวกผู้หญิง ส่วนเมฆเองก็มิได้ว่ากระไรเพื่อยืนยันหรือปฏิเสธเรื่องดังกล่าวและไม่ได้อยู่ในวงปรึกษาของพวกผู้ใหญ่อย่างบิดาของเมฆและบิดาของเดือนกับเหล่าขุนนางผู้ใหญ่ระดับสัญญาบัตรที่ไปมาหาสู่กันเท่านั้น
เท่าที่เดือนพอจะรู้เรื่องระแคะระคายมาจากพวกเสมียนและทนายบ้างก็คือ เมฆอาจได้รับการแต่งตั้งให้เป็นตระลาการแทนที่จะเป็นหัวหน้ามหาดเล็กในลำดับที่สูงขึ้น เพื่อป้องกันมิให้ความน้อยใหญ่ภายในกรมวังขึ้นไปถึง ‘ท่านวังนอก’ ที่เป็นผู้พิจารณาคดีระหว่างขุนนางกรมวังทั้งหลาย เนื่องจากนับแต่ทรงคบหากับพวกละครที่ทรงตั้งคณะและให้การอุปถัมภ์มา คำตัดสินของท่านมักมีปัญหาอยู่บ่อยครั้ง และมีเสียงเล่าลือกันว่า พวกละครที่ทรงเลี้ยงบางคนก็รับสินบนคนนำมาใช้และจัดการคดีที่ควรจะเป็นให้ไปทางอื่นเสีย หลายคดีจึงมีผลออกมาอย่างที่ไม่ควรเป็น
อย่างไรก็ตาม การตั้งคนที่ถูกจัดว่ามีความสนิทสนมกับเจ้านายและขุนนาง ‘หัวใหม่’ นิยมตะวันตกอย่างเมฆขึ้นในตำแหน่งตระลาการเพื่อถ่วงดุลกับฝ่ายที่แสดงออกชัดว่าไม่ถูกกับวชิรญาณภิกขุซึ่งพระเจ้าอยู่หัวทรงหมายมั่นว่าจะมอบราชสมบัติให้สืบต่อไปเท่ากับชักนำเมฆให้กลายเป็นเป้าใหม่ของฝ่ายตรงข้ามอย่างชัดเจน แม้จะเป็นความหวังดีและเป็นเรื่องชอบแล้วที่คนมีความเที่ยงธรรมและใจเย็นอย่างเมฆควรเป็นตระลาการว่าคดีก็ตาม
ด้วยเหตุเหล่านี้ เดือนจึงเห็นเมฆมีสีหน้ากลัดกลุ้มกลับขึ้นเรือนมาบ่อยครั้ง โดยเฉพาะยามอยู่ตามลำพัง แม้จะพูดจาปราศรัยกับเดือนและทุกคนด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม แต่ความรู้สึกที่กักเก็บไว้ไม่อาจรอดพ้นจากการสังเกตของเดือนไปได้
หลายครั้งที่ต่างคนต่างสบตากัน ก็ต่างรู้ว่าอีกฝ่ายมีความในใจที่อยากเอ่ย แต่ท้ายที่สุดแล้วกลับไม่อาจปริปากพูดออกมาได้ และต่างคนต่างจำต้องเงียบกันไปเสียทุกครั้ง กระทั่งวันหนึ่งที่เดือนนอนหลับดึกกว่าทุกวันเพื่อคัดกฎหมายที่ได้รับมอบหมายมาเสียให้เสร็จในคราวเดียวก่อนลากลับไปนอนที่เรือนของบิดา เมื่อเสร็จแล้วจะดับไต้เข้านอน ก็สังเกตเห็นแสงไฟสว่างจุดหนึ่งที่ชานเรือนของเมฆที่ปลูกขึ้นเป็นเรือนหอ
เด็กหนุ่มเก็บเครื่องเขียนและอุปกรณ์ ลุกขึ้น ปรับผ้านุ่งจากแบบลอยชายพร้อมเข้านอนเป็นโจงกระเบนให้กระชับ หยิบตะเกียงขึ้นถือ และค่อย ๆ ก้าวออกจากห้องนอนของตนเองในเรือนใหญ่ เดินเลาะหอนั่งและหอนกไปยังเรือนของบุตรชายคนรองของเจ้าบ้าน
เขารู้ว่านั่นมิใช่แสงไฟจากห้องของแม่ผิว ภรรยาของเมฆที่รอสามีกลับเรือน เพราะเมฆกล่าวกับหล่อนมาตลอดว่า เมื่อลูกหลับแล้วก็ให้หลับไปกับลูก ไม่ต้องฝืนตัวเองที่สุขภาพยังไม่สู้ดีนักเพื่ออยู่รอเขาและนอนหลับทีหลัง ซึ่งแม่ผิวก็ยอมปฏิบัติตามคำขอของสามีโดยดี
วันนี้ เขายังไม่ได้ยินเสียงบ่าวในบ้านพูดเกี่ยวกับเมฆที่เข้าเวรไปตั้งแต่เช้า และถ้าจะกลับก็ควรจะกลับมาได้พักหนึ่งแล้ว แต่ก็เป็นไปได้ว่า เขาอาจยุ่งอยู่กับงานของตัวจนไม่ทันสังเกตสิ่งรอบข้างก็ได้
เสียงทักในความมืดนั้นทำให้เดือนสะดุ้งว่าถูกพบตังแล้ว แต่เมื่อเห็นเจ้าของเสียงนั้นจากความสว่างของตะเกียงที่อีกฝ่ายก็ถือออกมาด้วยเช่นกัน เด็กหนุ่มก็ถอนใจโล่งอก
“กระผมเองขอรับ เดือนขอรับ คุณพี่” เขาตอบไม่ดังนักแค่พอให้ได้ยินกันสองคน “คุณพี่มาตั้งแต่เมื่อใด กระผมไม่ได้ยินเสียงใครเลย”
“พี่สั่งทนายกับบ่าวบอกให้เทียบเรือเงียบ ๆ ไม่ต้องอึงไป ประเดี๋ยวปลุกคนในเรือนให้ตื่นขึ้นมาหมด” เมฆตอบ “กว่าการจะแล้วก็เหนียวตัวเต็มที พี่จึงผลัดผ้าถือตะเกียงออกมาจะอาบน้ำที่ชานเรือน ไม่คิดว่าพ่อเดือนจะเห็นเข้า”
“ถ้าเช่นนั้นกระผมคงไม่รบกวนคุณพี่”
“ไม่รบกวนดอก พี่ต่างหากทำให้พ่อเดือนตื่น”
“กระผมคัดหนังสืออยู่ยังไม่ทันหลับขอรับ” เดือนแก้
เมฆพยักหน้ารับ “ถ้าพ่อเดือนไม่รีบไปไหนนัก ก็อยู่คุยกับพี่ก่อน”
To be continued....
5555 ซีนน้องเปลี่ยนจากผ้านุ่งเป็นโจง จะมองงั้นก็ได้นะคะ