ผมไม่เคยเจอแม่มดตัวจริงมาก่อน ตอนแรกที่เห็นเด็กสาวหน้าตกกระเดินตามหลังนายหัวฟักทองมา ผมนึกว่าหมอนั่นกำลังเปลี่ยนรสนิยมมาชอบเด็กมัธยมรุ่นๆ เสียอีก ผมซ่อนอยู่หลังกำแพงเพื่อจับตาดูสถานการณ์อย่างใกล้ชิด ไม่ใช่ว่าอยากสอดรู้สอดเห็นอะไร แต่ถ้าเขาเกิดทำอะไรบ้าๆ ขึ้นมา ผมจะได้เป็นพลเมืองผีที่ดีด้วยการห้ามปรามและยับยั้งเหตุร้าย สาบานได้ว่าไม่มีความคิดลามกแอบแฝง แต่โชคดีที่เด็กสาวคนนั้นแค่เดินวนเวียนไปมาในห้อง ขณะที่นายหัวฟักทองกอดอกมองตามอย่างไม่ค่อยไว้ใจ จะว่าไป เมื่อวานเขาคงหงุดหงิดสุดขีดเมื่อโดนผมตอกหน้าหงายเข้าให้ตอนพยายามไล่ผมออกไป เพราะว่า หนึ่ง) ใช่ว่าผมอยากอยู่ที่นี่นักละ และสอง) เขาต่างหากที่เป็นผู้บุกรุกความสงบสุขของคนตาย อย่างน้อยผมก็อยู่มาก่อนและมีที่ซุกหัวนอนเป็นของตัวเองก็แล้วกัน ไม่เคยคิดเบียดเบียนเขาด้วยซ้ำ จนกระทั่งวันดีคืนดีเขาดันเห็นผมเข้าแล้วตีโพยตีพายนั่นแหละ ดีแค่ไหนแล้วที่ผมไม่ได้ปรากฏตัวในร่างที่เพิ่งตายให้เห็น
เด็กสาวมัดผมจุกคนนั้นเดินมาหยุดใกล้ๆ ตอนนี้คล้ายกับว่าเราสบตากันและกันผ่านผ้าม่านบางๆ กั้นเท่านั้น ไม่จริงน่า ผมคิด ไม่คาดว่าจะมีใครเห็นผมได้อีกคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อกำลังซ่อนตัวอยู่ในพื้นที่ของผม มิติของผมที่ไม่เกี่ยวข้องกับคนเป็น เธอยิ้มมุมปากอย่างพออกพอใจ เหมือนท้าทายผมนิดๆ ก่อนจะหันไปร้องเรียกหาหมอนั่น นิ้วชี้ของเธอเกือบจะทิ่มหน้าผมอยู่แล้วจนต้องผงะ สาบานได้ว่ายัยเด็กนี่เพิ่งหาว่าผมเหมือนกิ้งก่าคาเมเลียนด้วย แต่จนแล้วจนรอด นัยน์ตากลมโตใสแจ๋วและรอยยิ้มกว้างที่เจิดจ้าพอจะทำให้คริสต์มาสมาถึงเร็วกว่าสองเดือนก็ทำให้ผมยอมจำนน เธอทำให้ผมนึกถึงใครบางคนที่บ้าน สุดท้าย ผมเลยเล่นตามน้ำ โผล่หน้าออกมาแสร้งทำเป็นเสียใจที่โดนจับได้ นายหัวฟักทองรีบบอกให้เธอจัดการใช้เวทมนตร์ขับไล่ผมออกไปให้เร็วที่สุด ผมละอยากจะขำนัก
เดซี่หันมาหาผม บุ้ยใบ้ไปทางโซฟา เมื่อมานึกย้อนดูแล้ว เหตุการณ์นี้ช่างพิลึกสิ้นดี ผมเป็นวิญญาณที่ประหลาดใจถึงการมีอยู่ของแม่มดสาวชาวอังกฤษ ซึ่งเป็นตัวแทนเจรจาระหว่างมนุษย์กับคนตายว่าด้วยอสังหาริมทรัพย์ "เขาอยากให้คุณย้ายออกไปน่ะ" เธอแจ้งวัตถุประสงค์ของนายหัวฟักทองที่ผมรู้ดีอยู่แล้วด้วยท่าทางเป็นการเป็นงาน แต่เมื่อผมบอกว่าตัวเองก็อยากจะไปจากที่นี่ใจจะขาด เพียงแต่ดันติดแหง็กไปไหนไม่ได้หลังจากตัดสินใจจบชีวิตตัวเองลงที่นี่ เธอกลับทำท่าสนใจขึ้นมาทันที และเริ่มต้นสัมภาษณ์ประสบการณ์การเป็นผีและชีวิตหลังความตายของผมเสียอย่างนั้น เด็กสาวเริ่มต้นอธิบายว่าเธอเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนโรงเรียนธรรมดาๆ แถวนี้ (ดูเหมือนเธอจะเบื่อมุขฮอกวอตส์เต็มทน) แต่ว่าประเด็นภูตผีวิญญาณเป็นเรื่องที่เธอสนใจ และเธออยากจะรู้ว่าระบบการจัดการวิญญาณแบบอเมริกันชนเป็นอย่างไร ผมไม่สงสัยเลยว่าแต่ละที่ต้องมีแนวทางต่างกันออกไป มันช่างตลกและน่าประทับใจในขณะเดียวกัน "ฉันเป็นตัวอย่างในการศึกษาให้เธอได้นะ" ผมเสนอ แน่นอนว่าพูดถึงข้อแลกเปลี่ยนที่เป็นประโยชน์กับทั้งสองฝ่าย เดซี่ขมวดคิ้ว จุดมุ่งหมายในการขับไล่ผีออกจากบ้านถูกลืมเลือนไปโดยสิ้นเชิง
นั่นคือจุดเริ่มต้นมิตรภาพเพี้ยนๆ ระหว่างผมกับเธอ เดซี่เชื่อว่าผมไม่น่าจะมีพิษมีภัยกับนายหัวฟักทอง "เขาไม่ใช่วิญญาณชั่วร้าย" เธอบอกหมอนั่น ทำให้ผมรู้สึกจั๊กจี๋นิดหน่อยที่มีคนพูดถึงทำนองนั้น แต่เบรนดอลผู้น่าสงสารทำหน้าเหมือนโลกจะแตก เขาต้องโวยวายแน่นอนอยู่แล้วที่แทนที่แม่มดจะปิดฉากเจ้าผีในบ้าน เธอกลับสร้างความชอบธรรมให้กับการมีอยู่ของเขาเฉยเลย แต่สุดท้าย เมื่อเขาเอ่ยถามชื่อของผมด้วยท่าทีของผู้พ่ายแพ้ นั่นแหละคือช่วงเวลาที่ผมมักคิดว่าเดซี่ได้ร่ายมนตร์บางอย่างไว้ — นั่นแหละคือสิ่งที่ผมมานึกขอบคุณเธอเอาภายหลัง นอกเหนือไปจากการที่เธอเป็นเพื่อนคุยชั้นยอดทางจดหมายที่เราส่งหากันผ่านไปรษณีย์นกฮูกของจริง (ผมตื่นเต้นมากเมื่อนกฮูกสีน้ำตาลตัวใหญ่บินมาเคาะหน้าต่าง แต่มิลลี่มองมันอย่างไม่ไว้ใจ) ซึ่งไปๆ มาๆ บทสนทนาเรื่องความตายค่อยๆ กลายเป็นเรื่องสัพเพเหระอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นโรงเรียนที่เธอรู้สึกว่าป่าเถื่อน หรือไอ้หนุ่มที่ตามตื้อเธอไม่เลิก ลึกๆ แล้วผมเดาว่าเธอคงเหงาเกินกว่าจะยอมรับ ผมเองก็เหมือนกัน ผมจึงแสวงหาความรื่นรมย์จากการอธิบายการบ้านแคลคูลัสให้เธอ ทำโน้ตติววิชากวีนิพนธ์อเมริกันที่เธอสอบผ่านอย่างฉิวเฉียด และเล่าประสบการณ์วัยมัธยมของผมให้เธอได้รู้ผ่านจดหมาย เหมือนอย่างที่ผมคาดไว้ตอนแรก เธอทำให้ผมนึกถึงยัยเด็กอีกคนที่บ้านในเวอร์ชั่นที่ดุดันและมืดมนกว่า โดยไม่คาดคิด เธอทำให้ผมกลับไปเป็นพี่ชายแสนดีในแบบที่ผมเกือบจะลืมเลือนไปแล้ว และเมื่อผมเริ่มเปิดเผยความลับและลงท้ายว่า "อย่าบอกใคร" พร้อมขีดเส้นใต้หนาๆ ผมก็รู้ทันทีว่าเธอจะไม่มีวันผิดสัญญา ถึงแม้นายหัวฟักทองจะพยายามซักไซ้แค่ไหนก็ตาม เขาชอบคิดว่าผมกับเธอวางแผนลับอะไรสักอย่างอยู่เรื่อย โดยที่ไม่รู้เลยว่าข้างนอกบ้าน แม่มดสาวเป็นตัวแทนที่ผมไหว้วานให้จับตาดูเขาไม่ให้ไปเซ่อซ่าเจอผีสางดุร้ายเข้าต่างหาก อย่างน้อยก็ตอนไปทำงานกับเวลากลับบ้านที่พวกเขาโดยสารรถไฟสายเดียวกัน บางทีเดซี่อาจจะไม่ปลื้มกับหน้าที่นี้นัก แต่เธอก็ไม่เคยบ่นให้ฟังสักคำเดียว ผมรู้สึกขอบคุณเธอในเรื่องนั้นอย่างยิ่ง ภายหลัง ดูเหมือนว่าผม เธอ และนายหัวฟักทองได้พัฒนาความสัมพันธ์มาเป็นคนรู้จัก — หรือกระทั่งเพื่อนคนหนึ่งในแวดวงความสัมพันธ์ประหลาดๆ ของเรา ทว่านั่นก็เป็นไปอย่างเป็นธรรมชาติที่สุด และดีที่สุดเท่าที่ผมจะร้องขอและคาดหวังได้
ผมจำได้ดีตอนที่เธอดีดนิ้วครั้งเดียวเพื่อทำให้ประตูเปิดออกมาโดยอัตโนมัติ เธอหยิบเป้ขึ้นพาดบ่า ก่อนจะหันมาโบกมือให้ผม นาทีนั้นผมรู้สึกว่าแม่มดในชีวิตจริงเท่กว่าแม่มดในนิทานปรัมปราและแฟนตาซีมากมายนัก เพราะว่าเธอเป็นเด็กสาวธรรมดาที่คนเราจะเดินผ่านโดยไม่เหลียวหลัง แต่เธอก็เป็นอะไรมากกว่านั้นโดยไม่ต้องมีใครแปะป้ายบอกว่าเธอเป็นใครและทำอะไรได้บ้าง ความสามัญนี้เองที่ทำให้ผมรู้สึกว่าบนโลกนี้ไม่มีอะไรต่างกัน — ผม นายหัวฟักทอง เดซี่ หรือแม้แต่มิลลี่ — แรกเริ่มเราอาจจะประหลาดใจในการมีอยู่ของกันและกัน แต่สุดท้ายแล้ว ความไว้เนื้อเชื่อใจและการยอมรับจะค่อยๆ ซึมซาบช้าๆ สู่สามัญสำนึก โลกนี้มันบ้าอย่างนี้เอง แต่นั่นก็ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดาด้วย
ดังนั้น เมื่อเพื่อนร่วมห้องหันมาถามว่าผมชื่ออะไรเหมือนคนที่เพิ่งรับรู้การมีอยู่ของอีกฝ่าย นั่นจึงเป็นจุดเริ่มต้นของอะไรบางอย่างที่แม้เดซี่จะปฏิเสธว่าเธอไม่มีส่วนร่วมด้วยสักนิด แต่ผมก็ยังนึกถึงเธอทุกที ในฐานะอีกคนหนึ่งที่เข้ามาเปลี่ยนชีวิตที่สองของผมนั่นเอง
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in