พวกคุณจินตนาการความตายว่าเป็นยังไงกัน เวลาที่ผมคิดเรื่องนี้ตอนมีชีวิตอยู่ ผมมักนึกถึงปลั๊กที่ถูกดึงออกจากเครื่องจักรใหญ่ๆ ที่กำลังทำงานอยู่ในทันทีทันใด ไม่มีสัญญาณเตือนใดๆ ทั้งสิ้น ไม่ว่าคุณจะนอนทนทุกข์ทรมานอยู่บนเตียงมานานนับเดือน หรือว่าจะเป็นเสี้ยววินาทีที่รถบัสพุ่งเข้ามาชนคุณที่กำลังเดินข้ามถนนไม่ดูตาม้าตาเรือเพราะมัวแต่นึกถึงแซนด์วิชลดราคาฝั่งตรงข้าม ไม่ว่าคุณจะคิดถึงความตายอยู่ทุกวี่วันหรือไม่เคยนึกถึงมันเลย และไม่ว่าดวงตาคู่นั้นของคุณจะค่อยๆ ปิดลงช้าๆ หรือไม่ทันมีเวลาได้ปิดก็ตาม วูบเดียวเท่านั้น ชีวิตจบลงดื้อๆ เหมือนไฟตกในวันที่มีพายุรุนแรง เพียงแต่ว่าคราวนี้เครื่องปั่นไฟไม่ช่วยอะไร โรงไฟฟ้าของคุณปิดกิจการถาวร เครื่องจักรไม่ทำงานอีกแล้ว
แต่เมื่อผมมาคิดเรื่องความตายตอนที่ตัวเองตายไปแล้ว นั่นให้ความรู้สึกอีกอย่างหนึ่ง ผมไม่แน่ใจว่าช่วงไฟดับของตัวเองกินเวลายาวนานแค่ไหน แต่สุดท้ายก็มีใครบางคนกู้ระบบคืนมา คล้ายกับการเปิดสวิตช์ไฟในห้องใต้ดินที่บ้าน แสงไฟสว่างอีกครั้งหลังจากติดๆ ดับๆ อยู่สองสามวินาที ผมจำได้ดีตอนเห็นร่างของตัวเองแน่นิ่ง เลือดสีแดงฉานตัดกับผิวที่ซีดลงอย่างเห็นได้ชัด อย่างน้อยก็ไม่ถึงกับเละเทะมากนัก ผมคิด พยายามห้ามใจไม่มองอีกด้านของอ่างอาบน้ำ ในใจหวังว่าจะมีใครสักคนให้ทิปแม่บ้านที่ต้องมาทำความสะอาดที่แห่งนี้ จากนั้น ผมเอื้อมมือไปแตะที่หัวและลำตัวของตัวเอง สำรวจเงาในกระจก (ใช่แล้ว ถึงตายไป คุณก็ยังส่องกระจกได้) ทุกอย่างดูปกติดี ไม่มีแม้แต่เลือดเปื้อนสักหยด ผมดูเหมือนตัวเองเมื่อวานนี้และทุกๆ วันก่อนหน้านั้น ที่น่าเศร้านิดๆ คือผมกลับรู้สึกชอบตัวเองตอนนี้มากกว่าด้วยซ้ำ
ยมทูตเป็นคุณลุงในชุดสูทปอนๆ และผูกหูกระต่าย เขาดูเหนื่อยหอบเหมือนเพิ่งวิ่งขึ้นบันไดมาห้าชั้น อีกทั้งยังมีอาการอิดโรยจนน่าสงสาร เขาขอโทษที่มาสาย ก่อนจะเปิดกระเป๋าเดินทางใบใหญ่และดึงสมุดออกมา "เซ็นตรงนี้นะ" เขาชี้ไปที่ช่องว่างหลังชื่อของผมที่พิมพ์ด้วยหมึกสีแดง บรรทัดบนเขียนไว้ว่า "ข้าพเจ้ายอมรับว่าตนเสียชีวิตแล้ว" ตามด้วยวันที่ ผมอดหัวเราะลั่นให้กับระบบราชการของยมทูตและการแจ้งตายด้วยตนเองไม่ได้ แต่ว่าคุณลุงนั่นกลับเอื้อมมือมาบีบบ่าผมเบาๆ แล้วบอกว่าไม่เป็นไรถ้าผมจะร้องไห้ออกมา สีหน้าของเขาดูเข้าอกเข้าใจและอ่อนโยน และแล้วผมก็เข้าใจหน้าที่ที่แท้จริงของยมทูต เขาคือผู้ใหญ่ใจดีที่คอยปลอบใจคนตาย เป็นงานหนักหนาทีเดียวถ้าเจอพวกที่ไม่ได้เตรียมตัวเตรียมใจมาก่อนแล้วดันเกิดสติแตกขึ้นมา เขาเอ่ยชมผมว่าเป็นวิญญาณที่สงบเยือกเย็นดี ถ้าเขามีลูกอมติดตัวมาละก็ ผมว่าเขาต้องมอบให้ผมเป็นรางวัลเหมือนที่ครูอนุบาลทำแน่ๆ
ผมมีเรื่องอยากถามเขาหลายเรื่อง ทุกคำถามชี้ไปยังคำถามสำคัญหนึ่งเดียว นั่นคือ "ผมจะต้องทำยังไงเมื่อตายไปแล้ว" แต่คุณลุงยมทูตดูรีบร้อน แน่นอนว่ามีคนตายอีกแล้ว เขาบอกแค่ว่าให้ผมค่อยๆ เรียนรู้ไป "ทุกคนล้วนมีชีวิตหลังความตายในแบบของตัวเอง" เขาขยิบตา ก่อนจะวิ่งออกจากห้อง หายไปอย่างรวดเร็วพอๆ กับที่เข้ามา — นั่นจึงเป็นบทเรียนแรกของผม ไม่มีใครเคยบอกว่าชีวิตของเราจะเป็นอย่างไรหรือหันเหไปทางไหน กับความตายก็คงไม่ต่างกัน
ผมควานหาบุหรี่ในกระเป๋าเสื้อ โชคยังดีที่พอหยิบจับสิ่งของได้อยู่ แต่โชคร้ายตรงที่เมื่อจุดไฟแช็คและสูดควันเข้าปอด ผมกลับไม่รู้สึกอะไรเลยนอกจากเห็นควันสีเทาลอยตรงหน้า ก่อนจะค่อยๆ จางหายไปในอากาศอย่างเงียบงัน
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in