ด้วยความร่วมมือจากนักวิทยาศาสตร์ทั่วโลก ทำให้เครื่องส่งสัญญาณรหัสพันธุกรรมบนโลก และเครื่องรับสัญญาณรหัสพันธุกรรมบนดาว N8-Q25 สร้างเสร็จอย่างรวดเร็ว จากการคำนวณ ความผิดพลาดในการส่งสัญญาณครั้งแรกคือ 1 ใน 15,000 ถ้าครั้งแรกส่งสัญญาณสำเร็จ ครั้งที่ 2 จะมีความผิดพลาดประมาณ 1 ใน 500,000 ครั้งต่อๆ ไป ความผิดพลาดจะลดลงเหลือประมาณ 1 ใน 3,000,000
ตัวเลข 1 ใน 500,000 และ 1 ใน 3,000,000 เป็นตัวเลขที่ยอมรับได้ แต่ 1 ใน 15,000 เป็นตัวเลขความเสี่ยงที่สูงไป เราต้องการให้มนุษย์ทุกคนได้ไป ผมจึงเสนอว่าให้ใช้สารพันธุกรรมของผู้ที่เสียชีวิตไปแล้ว ที่จริงแล้ว ผมมีจุดประสงค์อื่นแอบแฝง ผมต้องการชุบชีวิตคนรักของผมขึ้นมาอีกครั้ง ผมสับเปลี่ยนเลือดของเธอที่เก็บไว้ในจี้สีแดงดุจชาดกับเลือดของผู้ที่เสียชีวิตในช่วงเวลานั้น ผมพยายามหาผู้ตายที่มีอายุ รูปร่างหน้าตาใกล้เคียงกับเธอ เพื่อที่จะได้ไม่มีใครสงสัย เรื่องนี้เป็นความลับมีแต่ผมกับเพื่อนของผมเท่านั้นที่รู้
ผมจะไปพบเธอที่ดาวเคราะห์น้อยซึ่งเชื่อมติดกับดาว N8-Q25 บ้านหลังใหม่นี้มีสภาพแวดล้อมเหมาะสมกับการอยู่อาศัยของมนุษย์ แต่มีสินแร่น้อยเกินไป โครงการเครื่องส่งสัญญาณรหัสพันธุกรรมของผมเสียค่าใช้จ่ายน้อยกว่าที่คาดไว้หลายเท่า ทำให้โลกเหลือทรัพยากรมากพอที่จะสร้างยานอวกาศไปลากดาวเคราะห์น้อยดวงเล็กๆ เอามาเป็นแหล่งสินแร่ และเป็นที่ตั้งของสถานีรับสัญญาณรหัสพันธุกรรมมนุษย์ เมื่อมนุษย์คนสุดท้ายเดินทางมาถึงดาวดวงใหม่ ดาวเคราะห์น้อยจะถูกย่อยสลายเป็นสินแร่ เป็นแหล่งทรัพยากรต่อไป
***
เพื่อนของผมไปเยี่ยมคนรักของผมที่ศูนย์พักฟื้นในสถานีรับสัญญาณรหัสพันธุกรรมมนุษย์ แล้ว การแพทย์ในตอนนี้ก้าวหน้าขึ้นมาก เธอหายดีแล้ว แต่ยังต้องพักอีกหลายวัน เพื่อนของผมมารอผมอยู่ที่บริเวณโถงทางเข้าศูนย์พักฟื้น มันดูแก่กว่าผมอย่างเห็นได้ชัด เพื่อนของผมขึ้นยานอวกาศผ่านรูหนอนมาอยู่ที่ดาวดวงนี้ก่อนผม มันมาพร้อมกับวิศวกรเพื่อสร้างสถานีรับสัญญาณ
ส่วนผมเดินทางโดยการส่งสัญญาณรหัสพันธุกรรม ในขณะที่รหัสพันธุกรรมของผมส่งผ่านห้วงอวกาศ ผมมีสภาพเป็นแค่สัญญาณที่มีความเร็วเท่ากับความเร็วแสง ใช้เวลาเดินทางยาวนานถึง 7 ปี เท่ากับว่าช่วง 7 ปีนั้นผมหยุดเวลาของตัวเองไว้ ตอนที่อยู่บนโลกผมกับเพื่อนผมอายุเท่ากัน แต่ตอนนี้เวลาของมันเดินนำหน้าผมไปถึง 7 ปี
เพื่อนของผมมาพบผมเพื่อเอาสายสร้อยและจี้สีแดงดุจชาดมาให้ ผมเดินทางด้วยเครื่องส่งสัญญาณ เอาสิ่งของติดตัวมาไม่ได้เลยแม้แต่ชิ้นเดียว จึงต้องฝากมันมา
ผมขอบใจมัน ผมจะเอาจี้สีแดงดุจชาดไปให้คนรักของผม ถึงเราสองคนจะไม่ได้เจอกันหลายปี แต่รูปร่างหน้าตาของผมไม่เปลี่ยนไปจากเดิมมากนัก เมื่อเธอเห็นหน้าผม เธอต้องจำผมได้อย่างแน่นอน แล้วผมจะเล่าเรื่องราวทุกอย่างให้เธอฟัง ผมบอกเพื่อนผมว่าจะไปหาเธอที่ห้องพักฟื้น เพื่อนของผมมีอาการแปลกๆ มันไม่พูดอะไรเลยแม้แต่คำเดียว
เมื่อผมก้าวเข้าไปในห้องพักฟื้น เหมือนกาลเวลาย้อนกลับมา เธอของผมยังคงงดงามเหมือนเมื่อสิบเก้าปีก่อน ใบหน้ารูปไข่ ริมฝีปากสุกปลั่ง เธอนั่งเหยียดขาอยู่บนเตียง จ้องมองผมด้วยดวงตาดำขลับ แววตาดูว่างเปล่า
ผมหยิบรายงานทางการแพทย์ บันทึกเกี่ยวกับสภาพร่างกายของเธอมาอ่าน แล้วผมก็พบความจริงที่รออยู่ ผมรู้แล้วว่าทำไมเพื่อนของผมถึงไม่พูดอะไร รายงานระบุว่า คนไข้ได้รับการรักษาจนร่างกายสมบูรณ์ แต่ตรวจพบว่าความจำเสื่อม ความทรงจำบางส่วนหายไป เป็นกลไกการป้องกันตนเอง เมื่อประสบเรื่องร้ายแรงที่กระทบกระเทือนจิตใจ ความจำก็จะหายไป
ผมเดินช้าๆ ไปนั่งที่เก้าอี้ข้างเตียง เธอมองหน้าผม มองด้วยแววตาของคนที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน เธอจำผมไม่ได้เลยแม้แต่น้อย ความดีใจ ความเสียใจประดังกันเข้ามา ผมดีใจที่เธอมีชีวิตอีกครั้ง แต่เสียใจที่เธอจำผมไม่ได้ เธอจะรักผมหรือเปล่า ผมจับมือเธอไว้ เธอถามว่าผมเป็นใคร
ผมเป็นคนรักของคุณ ผมรอวันนี้มาสิบเก้าปี ผมทำทุกอย่าง ผมพามนุษยชาติเดินทางข้ามอวกาศมาหลายปีแสงก็เพื่อคุณ ที่รัก แค่เพื่อให้ได้เห็นหน้าคุณอีกครั้ง
แต่ผมได้แค่คิด ความจริงบางอย่างในใจไม่ควรพูดไป เธอคงยังไม่พร้อมที่จะรื้อฟื้นความทรงจำ ผมเลือกที่จะไม่ตอบคำถามของเธอในตอนนี้ เรายังได้อยู่ด้วยกันอีกนานที่บ้านหลังใหม่ ผมใส่สร้อยให้เธอ
ริมฝีปากของเธอแย้มยิ้ม รอยยิ้มของเธอเหมือนดอกไม้บานกลางใจ รอยยิ้มของเธอทำให้จี้สีแดงดุจชาดส่องเป็นประกาย
...จบ
หมายเหตุ - เราแก้ไขบางข้อความเพื่อความกระชับ ทำให้ต่างจากฉบับที่ส่งประกวดนิดหน่อย แต่เค้าโครงเรื่องเหมือนเดิม
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in