OC’s story: Eric
================
“เอริคเคยแต่งงานมาก่อนหรือคะ?” เกว็นถามขึ้น ดวงตาสีน้ำตาลของหล่อนสบกับดวงตาสีฟ้าหม่น เอริคชะงักไปชั่วครู่ ก่อนจะส่งยิ้มจางๆให้หล่อน หญิงสาวเอียงคอ ยกกาแฟในแก้วกระดาษขึ้นจิบ
โอเค – ทางเท้าหน้าร้านกาแฟร้านประจำของหล่อนอาจไม่ใช่สถานที่ที่ดีที่สุดในการพุดคุยเรื่องนี้ แต่เธอสังเกตเห็นหลายหนแล้ว ความงสัยในใจก่อตัวขึ้นหลายต่อหลายเดือน ตามปกติเธอคงปล่อยความสงสัยทิ้งไว้ให้หายไปตามกาลเวลา โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากคู่สนทนาของเธอไม่พร้อมที่จะบอก แต่เห็นได้ชัดเลยว่ากรณีของเอริคไม่ใช่ทั้งสอง – หล่อนและเขาสนิทกันมากพอควร ทำงานวิจัย ตีพิมพ์บทความวารสาร หรือเป็นเพื่อนดื่มด้วยกันก็หลายต่อหลายครั้ง – คำนิยามความสัมพันธ์ของหล่อนและเอริค หากจะให้เกว็นนิยาม ก็คงไม่พ้นคำว่าเพื่อนที่สนิทกันในระดับหนึ่ง
อีกอย่าง เอริคเองก็ดูต้องการจะพูดถึงเรื่องนี้เสียหลายหน พรางคำใบ้ต่างๆไว้ในคำพูดอันชาญฉลาดของเขาตรงนี้ทีตรงนั้นที เขาเป็นคนมีสไตล์ในการพูด – เกว็นยอมรับ
ดังนั้นเธอจึงอดสงสัยไม่ได้ว่าเขาจะชะงักทำไม
“คุณรู้?” เอริคถามขึ้น กระชับผ้าพันคอสีกรมท่าเข้ากับลำคอ – เจ้าตัวขี้หนาวเสมอ
เกว็นพยักหน้า “นิ้วนางข้างซ้ายของคุณมีรอยแหวน” หล่อนตอบ “แถมคุณก็แอบทิ้งคำใบ้ไว้เสียมาก ตั้งใจฟังหน่อยก็เดาได้ไม่ยากว่าคุณเคยมีความสัมพันธ์อันลึกซึ้งและมีความหมายกับใครสักคน”
คำตอบเสริมของเกว็นทำเอาเอริคหลุดหัวเราะ ใบหน้าที่เรียบนิ่งชั่วครู่เปลี่ยนเป็นรอยยิ้มกว้าง ชายหนุ่มส่ายหน้าก่อนจะออกเดินเพื่อไม่ให้กีดขวางทางเดินของผู้อื่น เกว็นเดินตามเขาอย่างเอื่อยๆ
“โอเค มิสซิสโฮล์มส์” เอริคเอ่ย “คุณพูดถูก ผมไม่คิดจะซ่อนเรื่องที่ผมเคยมีความสัมพันธ์อันลึกซึ้งและมีความหมายกับใครสักคนมาก่อน” เจ้าตัวว่า ยกคำเรียกของเกว็นมาทั้งหมด การกระทำเช่นนี้ทำให้เกว็นอดกลอกตาไม่ได้ เจ้าหล่อนยกแก้วกาแฟขึ้นจิบอีกครั้ง รอรับฟังคำอธิบายเพิ่มเติมจากเพื่อนหนุ่ม
“ใช่ ผมเคยแต่งงานมาก่อน –“ เขาหยุดพูด สูดอากาศเย็นๆของเมืองดึสเซลดอร์ฟเข้าเสียเต็มปอด ก่อนจะปล่อยลมหายใจออกทางปากมายาวๆ
“เอลิยาห์” เอริคต่อ “เขาชื่อเอลิยาห์”
เกว็นเลิกคิ้วก่อนจะหยุดเดิน การะงักของหล่อนทำให้เอริคหยุดและหันมาเลิกคิ้วใส่หล่อนเอง
“คุณยังรักเขาอยู่” เกว็นว่า “หย่าร้าง?”
เอริคส่ายหน้าช้าๆ รอยยิ้มกว้างหุบลงเล็กน้อย หากแต่สายตาของเขาหลุบลง ประกายในตัวตาสีฟ้าหม่นอ่อนไหว
“มะเร็งน่ะ”
“โอ้–“ ท่าทีของศาสตราจารย์ตรงหน้าทำให้หล่อนรู้สึกผิดที่นำประเด็นนี้ขึ้นมา เรียวคิ้วทั้งสองขมวดเข้าหากัน ก่อนที่หญิงสาวจะสาวเท้าเข้าไปหาอีกฝ่าย สองแขนโอบที่ไหล่กว้าง ดึงเพื่อนสนิทเข้าหาตนแน่น ปกติแล้วเอริคจะสูงกว่าเธอ แต่ในวันที่ใส่ส้นสูงเช่นนี้ หล่อนก็หมดความจำเป็นที่จะต้องเขย่งเพื่อโอบกอดอีกฝ่าย
“ฉัน...ขอโทษ” เสียงของเธออู้อี้จากการซบใบหน้าลงกับผ้าพันคอนุ่มของชายหนุ่ม สูดรับเอากลิ่นน้ำหอมกลิ่นโปรดของชายที่ว่าเข้าไปเสียเต็มปอด
เอริคหัวเราะ ยกมือขึ้นลูบผมสีเฮเซลของเธอช้าๆ มืออีกข้างตบหลังเธอเบาๆเป็นการปลอบประโลม
“ไม่เห็นต้องขอโทษเลย” เอริคกระซิบ “มันเรื่องธรรมดาน่ะ ความสูญเสียหลีกเลี่ยงได้ที่ไหนล่ะ จริงไหม?”
“แต่คุณไม่เคยพูดถึงเขาเลย” หญิงสาวสังเกต
“ไม่เคยทำใจได้น่ะ” เขาตอบเรียบๆ “จนเมื่อเร็วๆนี้ – ครึ่งปีก่อนเห็นจะได้”
เกว็นดันตัวออกเพื่อสบตากับเอริคอีกครั้ง ดวงตาสีฟ้าหม่นจ้องเข้ามาในดวงตาของเธอ ความเศร้ายังชัดเจนอยู่ในเนตรทั้งสอง
“เอริค?”
มุมปากของคนตรงหน้าหล่อนกระตุก “ผมแค่คิดขึ้นมาได้ว่าผมควรปล่อยเขาไปได้แล้ว”
“เขาคือความสุขของผมมานานเสียนาน” น้ำเสียงของเอริคเบาลง “ผมยึดติดกับความสุขที่พวกเราเคยมี รูปของพวกเราแปะเต็มอพาร์ทเมนต์เก่าของผมเลย – อพาร์ทเมนต์ของเราน่ะ ทุกอย่างของเขายังอยู่ในนั้น อยู่ที่นั่นเหมือนเดิมทุกอย่าง ในช่วงแรกผมไม่เห็นว่ามันจะแปลกตรงไหน ผมสูญเสียและโหยหา ผมต้องการซึมับความทรงจำและความเป็นเรา
“ผมอยู่ที่นั่นปีกว่าหลังจากเขาเสีย” เอริคว่าต่อ “ปีกว่าในความทรงจำ ผมมองไปทางไหนก็เห็นแต่เขา ราวกับว่าเขาไม่เคยไปไหน ช่วงนั้นผมร้องไห้ทุกวันเลยล่ะเกว็น – ผมกินไม่ได้ นอนไม่เคยหลับ ทุกอย่างในอพาร์ทเมนต์นั้นมีสำหรับคนสองคน แต่ผมนั่งอยู่คนเดียวเสมอ มื้ออาหารทุกมื้อผมได้แต่นั่งจ้องความว่างเปล่าของเก้าอี้ที่เขาเคยนั่งทุกวัน ผมนนอนเตียงเพียงฝั่งเดียว ทำอาหารสำหรับสองคนอยู่หลายครั้ง ผมจำได้ด้วยซ้ำว่าผมยังเก็บหนังสือพิมพ์รายวันมาวางบนโต๊ะฝั่งของเขา ก่อนที่จะนึกได้ว่าไม่มีใครจะลุกมาอ่านมันอีกแล้ว
“ถ้าคุณได้เห็นผมตอนนั้นนะเกว็น–“ เขาหัวเราะ “คุณคงได้ลากผมไปหาจิตแพทย์แน่ๆ – แต่ตอนนั้นผมอยู่ตัวคนเดียวเป็นที่สุด เพื่อนๆของเราพยายามช่วยผม แต่ผมปฏิเสธ – แหงสิ ผมคิดว่าผมไม่มีอะไรผิดปกตินี่! ผมแค่ชินกับนิสัยเดิมๆของผม ไม่เห็นจะผิดตรงไหน จนสุดท้ายพวกเพื่อนเหล่านั้นก็ยอมแพ้ ได้แค่เข้ามาตรวจสอบเป็นครั้งคราวว่าผมยังมีชีวิตอยู่ก็เท่านั้นเอง
“แต่ก็นะ – เอลิยาห์ – เขาน่ะเป็นคนใจดี ใจดีมากเกินไปด้วยซ้ำ งานอดิเรกของเขา – นอกจากการเก็บสะสมหนังสือและของเก่าแล้วก็คือการทำตัวเป็นนักบุญนั่นล่ะ เขามักช่วยคนอื่นเสมอ – เขาเชื่ออย่างสุดใจว่ามนุษย์ทุกคนเกิดมาเป็นคนดีอย่างไม่มีข้อแม้ เขาคิดว่าทุกคนควรได้รับความช่วยเหลือ –– และดูเหมือนว่าหลังจากที่เขาจากไปแล้ว เขาก็ยังช่วยผม
“ถ้าผมไม่เศร้าคุณก็คงกลอกตาไปกับความคลิเช่นี้แล้วสิท่า” เอริคหยอก ส่งผลให้เกว็นหลุดหัวเราะออกมา สั่นหน้าเล็กน้อย ก็จริง เอริคพูดถูก แต่หล่อนเคยเจอคนประเภทนั้นมาก่อน หล่อนรู้ว่าคนเช่นนั้นมีจริง มนุษย์ที่ดีเกินกว่าที่สังคมแบบนี้ควรได้รับ – อย่างน้อยก็ในความคิดของหล่อนเอง
“ผมเจอจดหมายของเขา – เกว็น” เอริคว่า “ผมเคยอ่านมันเพียงครั้งเดียวคือหลังจากเขาเสีย – ในโรงพยาบาลนั่นล่ะ ผมจำไม่ได้เสียด้วยซ้ำว่าเนื้อความตอนนั้นมันคืออะไรบ้าง ผมไม่กล้าอ่าน –– ตอนนั้นผมไม่เข้าใจว่าทำไมผมถึงไม่กล้าอ่าน แต่ผมเข้าใจแล้ว การอ่านจดหมายฉบับสุดท้ายของเขามันคือการยอมรับว่าจดหมายฉบับต่อไปจะไม่มีวันมาถึง – ว่ามันจะไม่มีจดหมายฉบับอื่นอีกแล้ว มันคือจุดจบ หนังสือหน้าสุดท้ายของชีวิตเขา
“ผมเก็บมันไว้หลายอาทิตย์ ชั่งใจและเถียงกับตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าผมจะอ่านมันดีหรือไม่ สุดท้ายผมก็คิดไปว่า ‘เอาวะ ให้มันจบๆไปเสียที’
“คืนนั้นผมร้องไห้จนนอนหลับไปเลยล่ะ เหนื่อยเป็นบ้า”
เอริคนิ่งไปอีกครั้ง รอยยิ้มของเขาหายไปแล้ว – สายตาเขาหลีกไปมองที่ต้นไม้ริมทาง ใบไม้สีเขียวชอุ่มเริ่มโรยรา รงควัตถุเปลี่ยน สีเขียวสดกลายเป็นสีเหลือง ส้ม และแดง – สัญลักษณ์แห่งฤดูใบไม้ร่วง เกว็นมองตามเขาชั่วครู่ ก่อนจะหันมามองเอริคต่อ มือบางภายใต้ถุงมือหนาเอื้อมไปจับมือของเพื่อน รอยยิ้มจางๆปรากฏบนใบหน้าของศาสตราจารย์หนุ่มอีกครั้ง
“อีกสิ่งหนึ่งที่คุณควรรู้เกี่ยวกับเอลิยาห์ – เขารู้เสมอว่าตอนไหนควรพูดอะไร เขารู้เสมอว่าคุณต้องการได้ยินคำไหน และเมื่อไหร่ – ดูเหมือนความสามารถนั้นจะไม่จำกัดเวลาเสียด้วยสิ
“จดหมายของเขา – เกว็น –“ เสียงของเอริคสั่นเทาอย่างชัดเจน เกว็นบีบมือเขาหนึ่งครั้ง “มัน – มันทำให้ผมตัดสินใจทิ้งทุกอย่างเพื่อเริ่มต้นใหม่ เพื่อนๆของผมช็อคไปตามๆกันเลยล่ะ
“ผมย้ายออกทันทีที่ผมพร้อม – สามวันหลังจากอ่านจดหมายนั่นจบได้ – เฟอร์นิเจอร์ทุกอย่างถูกขายทิ้ง ห้องก็เช่นกัน สิ่งของในความทรงจำของผมและเขาหายไปเสียเกือบหมด – แน่นอนว่าผมเก็บของบางอย่างของเขาไว้ – ความทรงจำเป็นสิ่งสำคัญ และสิ่งของพวกนั้นก็เป็นเครื่องเตือนที่ดี – ผมยังเก็บเสษเสี้ยวของเขาไว้ เพียงแต่ไม่ได้มีอยู่ทุกที่ดังเก่า ทุกวันนี้ผมมีความสุขมากกว่าช่วงที่อยู่ในอพาร์ทเมนต์เก่ามากโขเลยล่ะ เพราะมันไม่มีเครื่องย้ำเตือนถึงสิ่งที่ผมจะไม่มีทางได้สัมผัสอีกอยู่ตลอด
“ผมคิดถึงเขา” ชายหนุ่มว่า “คิดถึงเสมอและสุดหัวใจ แต่เขาพูดถูก – ในจดหมายนั่น – ผมต้องปล่อยเขาไปสักวัน – แยกตัวเองออกจากเขา และเก็บเขาไว้เป็นความทรงจำอันล้ำค่า”
“มันไม่ง่ายเลย แต่ผมภูมิใจนะที่ผ่านมันมาได้” เขาว่าต่อ “ผมเคยรักเขา แต่ไม่อีกต่อไปแล้ว ถึงอย่างนั้นความรักที่ผมมีให้เขาจะยังคงอยู่เสมอในความทรงจำ
“ขอบคุณที่ฟังผม เกว็น”
หญิงสาวยกยิ้ม ส่ายหน้าช้าๆ “ฉันต่างหากที่ต้องขอบคุณ – ขอบคุณที่เล่าให้ฉันฟัง เอริค”
สาวเจ้าหยุดไปชั่วครู่ ก่อนจะเลิกคิ้ว รอยยิ้มมุมปากประดับบนใบหน้า
“หากคุณไม่ว่าอะไร ฉันก็ยินดีที่จะรับฟังบางส่วนของความทรงจำเหล่านั้นนะ หากคุณอยากจะเล่า?”
ศาสตราจารย์หนุ่มปล่อยหัวเราะออกมา ยิ้มกว้างเสียจนตาแทบปิด
“แบบนั้นเราคงต้องไปหาร้านอาหารนั่งแล้วล่ะ ผมมีเรื่องที่อยากจะแบ่งปันเสียมากโขด้วยสิ”
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in