ว่าด้วยเรื่องสีของวันฮาโลวีน
ความมืดและความวังเวงจากห้องน้ำที่ถูกล็อคอย่างหนาแน่นทำให้ผมถอดใจพาเนื้อตัวเน่าๆและยูนิฟอร์มราคาสองแสนกว่าวอนที่ถูกทำให้ไร้ราคากลับไปนั่งโง่ๆ อยู่ในห้องเดิม
ผมใช้ผ้าผืนใหญ่เช็ดตัวลวกๆแล้วนำมันไปแขวนไว้หน้าต่างด้วยกันหลายชั้นจนหนาพอที่จะไม่ให้คนที่อยู่ข้างนอกเห็นแสงไฟจากห้องนี้
เก้าอี้หลายสิบตัวสะอาดสะอ้านจนไม่กล้าแตะต้องจึงเลือกที่จะนั่งพิงตู้ล็อคเกอร์ด้านหลังห้องสองมือผมโอบกอดยูนิฟอร์มราคาตกไว้ไว้ด้วยความหนาวเหน็บ
ใครสักคนเคยบอกผมไว้ว่าสีแห่งวันฮาโลวีนคือสีส้มและสีดำ โลกของผมจึงถูกย้อมเพียงสองสีในคืนนี้
สีส้ม ความรักของผมถูกห้อมล้อมด้วย สีดำ ปิศาจที่แสนโสมม
ผมดื่มด่ำรสชาติของทั้งสองสีจวบจนสีดำเข้ามาเยือน
เสียงโวยวายจากชั้นล่างดังอยู่พักใหญ่ก่อนประตูห้องที่ผมใช้เป็นหลุมหลบภัยจะถูกบุกรุกอย่างง่ายดาย
ชายคนหนึ่งก้าวเข้ามาด้วยความตื่นเต้นไม่นานสีหน้าของเขาก็พลันเต็มไปด้วยความฉงนหลังจากเห็นหน้าผม เราสบตากันเพียงครู่เดียวก่อนที่เขาจะเดินไปที่สวิทช์ไฟ
“ยามกำลังเดินตรวจ ปิดไฟนะ”
นับว่าเป็นเรื่องปกติของโรงเรียนมัธยมศึกษาตอนปลายแห่งนี้ที่นักเรียนบางส่วนแอบเรียนด้วยตนเองในโรงเรียนจนดึกดื่นหรือแทบจะถึงเช้าของวันถัดไป ดังนั้นผมจึงไม่แปลกใจนักหากพบใครเข้าในเวลานี้
“อยู่ปีไหนครับ?” เขาตั้งคำถามขณะทิ้งตัวลงนั่งข้างๆผม
“ปีสามครับ คุณล่ะ?”
“ยู ซอนโฮ ปีหนึ่งครับ”
“ครับ ฮวัง มินฮยอน ปีสาม” บอกว่าอยู่ปีสามตั้งสองรอบแถมยังพูดสุภาพกับอีกฝ่ายที่เด็กกว่าผมนึกขันพฤติกรรมแปลกๆ ของตัวเอง
แล้วความรู้สึกตลกก็แปรเป็นความสมเพชแทน
“นี่พี่ จากที่ผมสำรวจมา คนที่อยู่โรงเรียนดึกๆ แบบนี้มีแค่สองประเภท”
“ประเภทที่หนึ่ง อย่างที่รู้ๆ กัน พวกนักเรียนดีเด่น เรียนข้ามวันข้ามคืนอ่านหนังสือเหมือนที่บ้านเป็นโรงพิมพ์”
ผมไม่ทันจะอ้าปากถามคนตรงหน้าว่าพูดเรื่องอะไรเสียงฝีเท้าจากข้างนอกก็ดังเข้ามาในโสตประสาทเห็นแสงไฟจากทางหน้าต่างก็พอเดาได้ว่าคนดูแลตึกคงขึ้นมาตรวจดูว่ามีใครแอบอ่านหนังสืออีกหรือเปล่าหัวใจผมเริ่มเต้นแรงจนแทบไม่เป็นจังหวะเมื่อได้ยินเสียงเปิดประตูห้องไล่มาเรื่อยๆ
‘ถูกจับได้แน่’ คือความคิดก่อนที่คนเหล่านั้นจะเดินผ่านห้องนี้ไปโดยไม่แม้แต่จะส่องไฟฉายเข้ามาด้วยซ้ำ
“และสอง”
ฉับพลัน หลอดไฟในห้องสว่างขึ้นโดยไม่ทันตั้งตัว
ระหว่างที่ผมมัวพะวงเรื่องแอบอยู่โรงเรียนจนดึกดื่นเจ้าเด็กปีหนึ่ง ยู ซอนโฮ ก็ไปโผล่ตรงสวิทช์ไฟเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ แล้วยังพูดต่อโดยไม่คำนึงว่าเสียงดังขนาดนี้คนที่อยู่ข้างนอกต้องได้ยินแน่ๆแต่ผมก็นั่งฟังและมองดูอยู่แบบนี้โดยไม่ทักท้วงใดๆ
“พวกขี้แพ้ ที่ถูกจับยัดล็อคเกอร์ใหญ่ๆ บ้าง ถูกขังในห้องบ้างในห้องน้ำบ้าง”
ไอ้เด็กคนนี้
“พี่เป็นประเภทไหน”
เด็กปีหนึ่งตัวสูงเดินเข้ามาหยุดอยู่ตรงหน้าผมหันไปยิ้มให้แล้วหัวเราะออกมาด้วยความรู้สึกที่เป็นสีดำ
ผมนึกประหลาดใจเอามากๆที่ไม่ร้องไห้ออกมา ทั้งที่โดนเหยียบเสียไม่เหลือชิ้นดี
เด็กคนนี้เห็นตั้งแต่เข้ามาในห้องแล้วว่าผมอยู่ในสภาพแบบไหนมีหรือที่หนอนในประเภทที่หนึ่งจะเท้าเปล่านั่งทนกับอากาศปลายเดือนตุลาด้วยเสื้อเชิ้ตเปียกๆและสูทนอกที่เต็มไปด้วยคราบสกปรก
“นายควรจะเพิ่มอีกประเภทนะ ประเภทที่สาม คนแบบนาย” ผมกล้าหรือก็ไม่สักนิด ผมกลัว ความจริงแล้วผมกลัวจนแทบจะกัดลิ้นตายตอนนี้ด้วยซ้ำ แต่ผมนึกภาพตัวเองก้มหัวให้คนเด็กกว่าไม่ออกจริงๆ
“สาบานได้ว่าผมไม่ได้หาเรื่อง เอ่อ ถึงจะดูเหมือนหาเรื่องก็เถอะแต่สภาพพี่มันดูขัดกับหน้าตาไปหน่อย ทั้งที่พี่ดูไม่เหมือนพวกขี้แพ้ พึ่งย้ายมาใหม่หรือยังไงเล่าให้ผมฟังได้นะ ผมจะเป็นผู้ฟังที่ดี”
ผมเกลียดที่ไม่สามารถตอบอย่างอื่นได้นออกจากการหัวเราะประโยคแบบนั้นควรเป็นอย่างอื่นนอกจากความตลกขบขันด้วยหรือ?
แต่ให้ตายเถอะสีดำตรงหน้าผมดันกลายเป็นสีส้มเอาเสียดื้อๆ
“ผมไม่ได้ตั้งใจจะมาก่อนกวนนะ ปกติผมก็อยู่ของผมดีๆ อ่านหนังสือในห้องสมุดใหญ่กับสาวๆหลายอีกหลายคน แต่พี่นั่นแหละที่—” ซอนโฮค่อยๆ ย่อตัวลงนั่งข้างผมเช่นเดิมเขาพล่ามอะไรก็ไม่รู้ที่ท้ายประโยคแผ่วลงเรื่อยๆ
“เดี๋ยวนะ ทำไมเสื้อพี่ถึงเปื้อนฟักทอง เพราะวันฮาโลวีนหรือเปล่าคนแกล้งนี่ลงทุนจังวะ”
“สำหรับคนพวกนั้น ไม่ว่าจะทำอะไรก็คุ้มค่าถ้าคนอื่นรู้สึกแย่ได้” ภาพการกลั่นแกล้งนักเรียนชนชั้นล่างภายในห้องฉายในห้วงความคิดของผมมันหมุนวนอยู่แบบนั้นจนไม่รู้ว่าต้องใช้เวลาอีกกี่วันถึงจะลบออกจากหัว
“แป๊บหนึ่งนะพี่ เหมือนผมเคยมีความรู้สึกชั่วๆ แบบนั้น”แล้วผมก็หัวเราะออกอีกครั้งเมื่อเด็กปีหนึ่งยกมือขึ้นขอเวลานอกแล้วก้มหน้าใช้ความคิดในเรื่องไม่เข้าท่า
‘หน้าก็ให้อยู่หรอก’
“แต่พี่ดูไม่เดือดร้อนเลย ไหวหรือเปล่า พรุ่งนี้ต้องมาโรงเรียนนะจะเข้ามหาวิทยาลัยแล้วยังต้องเจอเรื่องแบบนี้อีก ผมเสียใจด้วยจริงๆ” ในขณะที่ผมดูชินชากับเรื่องพวกนี้ ยูซอนโฮก็ดูไม่ตกใจที่เจอคนขี้แพ้แบบผม เหมือนกับการมานั่งปลอบใจคนโดนบูลลี่เป็นงานอดิเรกเสียอย่างนั้น
เราคุยกันอยู่พักใหญ่จนผมหาข้อสรุปได้ว่าเด็กปีหนึ่งคนนี้ไม่ได้มีเจตนามากลั่นแกล้งใดๆแต่ที่ปากพูดอะไรแย่ๆ ออกมาคงเพราะไม่มีสมองคิดสักเท่าไหร่ ติดจะเป็นบ้าด้วยซ้ำ
ผมไม่รู้ว่าซอนโฮไปหาโคมไปฟักทองมาจากไหนเยอะแยะเขาเอามาวางประดับไปทั่วห้องแล้วปิดไฟ โลกของผมกลับมาเป็นสองสีอีกครั้ง
เด็กปีหนึ่งเอาแต่เล่าเรื่องในโรงเรียนให้ฟังราวกับไม่มีความทรงจำอื่นนอกจากเรื่องนี้อยู่ในหัวส่วนผมได้แต่นั่งฟังอยู่นิ่งๆ และหัวเราะไปตามมารยาท
ผมปล่อยให้น้ำเสียงทุ้มนั้นแต่งแต้มสีส้มให้โลกของผมต่อไปเป็นวันสุดท้าย
ผมเหนื่อยเกินกว่าจะกลับมาที่นี่อีกแล้ว
“ผมบอกพี่ไปหรือยังนะว่าผมเป็นคนเห็นแก่ตัว” ยู ซอนโฮเด็กแปลกๆ ที่ผมพึ่งค้นพบความจริงอีกข้อเกี่ยวกับเด็กคนนี้คือแสดงความรู้สึกจริงๆ ของตัวเองไม่เป็น
“แค่ชวนกลับ มันหลายชั่วโมงแล้ว อีกเดี๋ยวคงเช้า” ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตอนนี้กี่โมงโทรศัพท์มือถือเละไปตั้งแต่คนนั้นรู้ความลับของผมแล้ว แต่ถ้าวัดจากความรู้สึกซึ่งไม่มีหลักอะไรมารับประกันตอนนี้น่าจะตีสอง ผมไม่ควรเสียเวลานานไปกว่านี้
“แต่เราตกลงกันว่าจะกลับตอนเที่ยงคืน และตอนนี้พึ่งสี่ทุ่ม”
“สี่ทุ่มมาสามรอบแล้วนะ” คืนๆหนึ่งมันจะยาวนานขนาดนี้เชียวหรือ
“บอกว่าสี่ทุ่มไง” เสียงของเด็กปีหนึ่งห้วนและดูก้าวร้าวขึ้นกว่าเดิมจนผมหงุดหงิด
“กลับเถอะ ไม่กลัวที่บ้านเป็นห่วงหรือไง” เป็นผมเองที่รู้สึกว่าหัวใจเต้นแปลกไปเมื่อพูดคำว่าบ้านพรุ่งนี้เป็นต้นไป ไม่ว่าจะที่ไหนล้วนไม่มีใครต้องการผมต่อให้มันยังไม่เกิดขึ้นผมก็พอจะเดาอนาคตตัวเองออกโดยง่าย
“พี่จะปล่อยผมไว้คนเดียวหรอ”
“ใช่ พี่จะกลับ ขอบคุณที่อยู่เป็นเพื่อนแต่พรุ่งนี้ข่าวของพี่จะดังไปถึงหูนาย แล้วนายจะเสียใจถ้าอยู่กับพี่นานกว่านี้”
“ทิ้งผมหรอ”
“ถามจริงๆ นายอยู่ทำอะไรจนป่านนี้ คงไม่ได้อ่านหนังสือเหมือนที่เคยบอกหรอกใช่ไหม”
“ผม—”
“เป็นประเภทที่สามหรือไง มีความผิดติดตัวหรอ”
“ซอนโฮ”
ร้องไห้?
ผมนั่งแช่แข็งตัวเองอยู่กับที่โดยมีเด็กคนนี้ซบหน้าลงกับบ่าของผมอยู่นานจนลืมเรื่องกลับบ้านแต่ไม่เป็นไรเลยสักนิด เพราะสีส้มในตัวของผมมันยินดีที่จะโอบกอดสีดำของเขาไว้
“แม่งเอ๊ย” ซอนโฮสบถและเริ่มร้องไห้หนักขึ้น
“ซอนโฮ?”
“นึกออกแล้ว”
“จำได้แล้ว”
ความจริงอีกข้อที่ผมได้รู้เกี่ยวกับยูซอนโฮ เป็นเรื่องที่ผมไม่ควรจะรับฟัง เป็นเรื่องที่ทำให้สีดำเริ่มย้อมจนสีส้มของผมจางลง
เด็กคนนี้ดูเหมือนเป็นสีส้มที่คอยเยียวยาความรู้สึกแต่ที่แท้สีส้มของซอนโฮเป็นแค่เปลือกนอกของสีดำจำนวนมหาศาล
“ผมซ้อมเขา ขังเขาไว้ ผมอยากให้เขาเชื่อฟังและมองผมแค่คนเดียวผมผมคิดแค่นั้น คิดแค่นั้นจริงๆ ผมไม่รู้ว่าจะรู้สึกมากขนาดนี้”
ซอนโฮเป็นเหมือนผมมีความรักที่แตกต่างคนทั่วไป แต่ผมจัดการตัวเองได้ในขณะที่เด็กคนนี้ทำไม่ได้กลายเป็นว่าเจ็บทั้งสองฝ่าย
“ผมอยากขอโทษเขา แต่มันช้าไป เขาไม่รอฟังคำขอโทษแล้ว”
ผมหัวเราะอีกแล้วหัวเราะโดยที่ไม่รู้ว่าเสียงที่เปล่งออกมานั้นมาจากความรู้สึกแบบไหนกันแน่
“ผมแก้ไขอะไรไม่ได้อีกแล้ว”
“คราวหน้า—”
“ตลอดชีวิต ได้ยินไหมพี่มินฮยอน ตลอดชีวิตของผม มันจบแค่นั้นเขาเจ็บปวดและผมรู้สึกผิด”
“เลิกคิดมากได้แล้ว ต่อจากนี้ก็ซื่อสัตย์กับตัวเองให้มากขึ้น เหมือนพี่”
“พี่มินฮยอน หมายความว่ายังไง?” อา ให้ตายสิ คราวนี้กลับเป็นผมที่เริ่มน้ำตาไหล
“บอกแล้วว่าพรุ่งนี้นายจะได้ยินข่าวพี่ดังไปทั่วโรงเรียน แต่อย่ากังวล”
สีส้มของผม
“ผมบอกพี่ไปแล้วใช่ไหมว่าผมเห็นแก่ตัว”
สีดำของซอนโฮ
“รู้สิ แต่อย่าจมอยู่กับความรู้สึกผิดนานนักในเมื่อแก้ไขอะไรไม่ได้ พี่เห็นแล้วหงุดหงิด”
“แต่ผมจะยอมปล่อยพี่ไป”
ผสมกันอย่างลงตัว
“ขอโทษที่ทำให้วันที่ 31 ของพี่ยาวกว่าปกติครับ ผมจะคืนวันที่1 ให้นะ เวลาของพี่จะกลับไปเป็นเหมือนเดิมที่โลกเดิม ถึงพี่จะไม่รู้ตัวว่าเรียกผมมาด้วยฟักทองเน่าๆบนเสื้อพี่ แต่ก็สุขสันต์วันฮาโลวีนครับ ขอให้มีความสุขกับสีส้มและสีดำ”
- END -
Talk
ขอกรี๊ดเป็นเรื่องแรกในชีวิตที่แต่งจบ orz
ง่วงมากค่ะไม่ไหวแล้ว เลยวันที่ 31 ด้วย ฮืออออ
ไฟลนก้นมาก จะใส่รายละเอียดวันฮาโลวีนก็ไม่ทัน
มีตรงไหนแปลกๆไปขออภัยด้วยค่ะ TT
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in