กลับมาอีกครั้งกับซีรี่ย์ใหม่ Erasmus mundus จริงๆแล้วนี่เป็นความตั้งใจอยู่แล้ว ว่าถ้าหากเราได้ทุนนี้ จะมาเล่าให้อ่านกันว่าเราทำอะไรมาบ้าง เราเตรียมตัวยังไง และใช้เวลาแค่ไหน ไม่อยากใช้คำว่ารีวิว ขอใช้คำว่าเล่าให้ฟังละกันนะ
เรารู้จักทุนนี้เมื่อ 2-3 ปีก่อน ตอนนั้นไปฝึกงานที่เยอรมัน(ตามอ่านได้ใน Blog นะ หญิงไทยใจงาม(มั้ง)ตะลุยแดนเบียร์ ขายของไปอีกกก) ก็ได้ยินชื่อทุนนี้ เพราะเพื่อนในแฟลตเดียวกันเป็นเด็กทุนนี้แทบทุกคน ก็เลยลองไปหาข้อมูลดู และพบว่ามันน่าสนใจมากสำหรับมนุษย์ยาจกเยี่ยงเรา และจากการหาข้อมูลก็พบว่า เราจะสมัครไม่ได้เลย ถ้ายังโง่อังกฤษอยู่แบบนี้ การไปต่างประเทศไม่ได้นำพาให้พูดภาษาอังกฤษเก่งขึ้นเลย แต่พัฒนาความหน้าด้าน กล้าพูดกับต่างชาติมากขึ้น (เพราะถ้าไม่พูด เราจะเอาตัวไม่รอด) เพราะฉะนั้นความอายกลัวพูดผิดก็หายไป ในเมื่อเรารู้แล้วว่า เราอยากไปเรียนป.โทที่ต่างประเทศแต่ไม่มีเงิน ก็ต้องหาทุนนี่แหละ จริงๆแล้วนอกจากทุน Erasmus mundus ยังมีอีกหลายทุนมากกกกก ในอีกหลายๆประเทศที่พร้อมจะให้โอกาสเรา แต่ทุกประเทศเงื่อนไขคือ คุณต้องได้ภาษาอังกฤษก่อน
จริงๆตอนนั้นเราเริ่มลงเรียนป.โทที่มหาลัยที่ไทยไว้แล้วด้วยเทอมนึง(ตอนนั้นปีสี่ละ) แต่พอตัดสินใจจะไปเรียนป.โทที่ต่างประเทศ เราต้องตัดป.โทที่ไทยทิ้งไปซะ เพื่อให้ตัวเองกระตือรืนร้นแล้วก็ขวนขวายมากกว่าเดิม(เรียกว่าเป็นเทคนิคทุบหม้อข้าวตัวเอง) และด้วยระดับความโง่ภาษาอังกฤษสิบแปดริกเตอร์นี้ ทำให้เราตัดสินใจเอาเงินที่จะเรียนป.โทไปลงคอร์สภาษาอังกฤษเป็นเวลาหนึ่งปี เพื่ออัพเกรดภาษาของตัวเอง และสอบไอเอลให้ได้ 6.5 ระยะเวลาตลอดหนึ่งปีนั้นเราสนุกกับการเรียนภาษามากๆ มีเพื่อน มีน้อง มีพี่ ทุกคนมีเป้าหมายเดียวกัน ทุกคนให้กำลังใจกันและกัน ได้เห็นทุกคนไปเรียนต่อกันทีละคนสองคน เราก็ไฟลุกโชนมาก อยากไปกับเขาเหมือนกัน ในเมื่อฉลาดสู้ใครเขาไม่ได้ ก็เน้นขยันเอาเลย ช่วงนั้นที่เรียนไอเอลเนี่ย ทำข้อสอบไอเอลทุกวันเป็นเดือนๆ ไปทำงานเสร็จ ตอนเย็นก็ไปที่สถาบันไปทำข้อสอบ listening ทุกวัน(เพราะโง่พาร์ทนี้มาก เป็นพวกหูดับ) แล้วก็เอาข้อสอบ reading กับ writing มาทำที่บ้านสลับไปวันละชุด วันเสาร์อาทิตย์ก็ซ้อม speaking กับอาจารย์ที่สถาบันไป ทำข้อสอบจนพี่ๆสตาฟบ่นเลยแหละว่า ไม่มีข้อสอบจะให้ทำแล้วนะ ไปสอบได้แล้ว(ยอมรับว่าทำเยอะจริงๆ เขียน essay ไปเกือบร้อยชุดได้ ซ้อมมือให้เขียนไวๆ) จนในที่สุดเราก็สอบภาษาอังกฤษผ่านด้วยคะแนน 6.5 ก็ถือว่าชนะไปได้หนึ่งด่าน(แต่ตรากตรำมากเลยช่วงนั้น กว่าจะผ่านมาได้)
ด่านที่สองที่ต้องฟันฝ่าต่อไปคือ การเขียน Motivation Letter ให้ดี ให้น่าสนใจและเป็นตัวเราที่สุด สำหรับเรานี่เป็นเรื่องที่ยากมากๆ แต่คือเป็นคนโชคดีที่ตอนอยู่มหาลัยเราทำโปรเจคที่มันเกี่ยวข้องกับสาขาที่จะไปเรียน และค่อนข้างจะแตกต่างจากคนอื่นพอสมควรเลย แล้วสาขาที่เราอยากสมัครดันต้องเขียน Essay เพื่อแสดง Attitude ด้วย รวมทั้งต้องส่งตัวอย่างผลงานไปให้ทางโครงการอีก เพราะฉะนั้นสิ่งที่จะเขียนใน Motivation Letter ต้องไม่ใช่สิ่งที่อยู่ใน Essay ,CV และ Example of work เราค่อนข้างใส่ใจในรายละเอียดของเอกสารทุกอย่างพอสมควร ระหว่างนั้นก็ควรให้อาจารย์เขียน Letter of Recommendation ไว้ให้เลย ขอไว้แต่เนิ่นๆก็จะดี ซึ่งที่เล่าไปทั้งหมดเนี่ยเป็นเรื่องราวของสองปีที่แล้วลากยาวมาจนปีที่ผ่านมา(แน่นอนว่าใครได้อ่าน a year end review ใน Blog ส่วนตัวเรา ก็คงจะรู้เรื่องของเราอยู่แล้วอ่ะเนอะ)... เพราะฉะนั้น ทุนที่เรายื่นไปโดนปฏิเสธกลับมาหนึ่งหลักสูตร ส่วนอีกหลักสูตรติดตัวสำรอง และแน่นอนว่า ไม่ได้ทุนในท้ายที่สุด แต่ความรู้สึกตอนนั้นแค่รู้ว่าติดตัวสำรองก็แทบจะจุดพลุฉลองอยู่แล้วแหละ
ในเมื่อปีนั้นไม่สำเร็จแต่เราติดตัวสำรอง แค่นั้นก็ทำให้เรามีกำลังใจโคตรๆในการสู้ต่อแล้ว เราก็รอเพื่อจะสมัครทุนอีกครั้ง และครั้งนี้เราต้องเพิ่มประสบการณ์ให้มากกว่าเดิม เราตัดสินใจลาออกจากงานเก่า มาทำงานที่ใหม่ในสายงานที่เราต้องการ แต่สิ่งแวดล้อมในการทำงาน และอะไรหลายๆอย่างมันโคตรเครียดเลยเว้ย เครียดจนท้อ ท้อแล้วท้ออีก เริ่มดูถูกตัวเอง เริ่ิมไม่เห็นคุณค่าในตัวเอง ด้วยความที่เราไม่เก่งในสาขาที่เราจบมานั่นแหละ ทำให้ยากมากที่จะอยู่ในที่ที่มีแต่คนเก่งๆ พูดภาษาเฉพาะที่เราก็ไม่ค่อยจะเข้าใจ(ไม่โทษอะไร โทษความโง่ตัวเองล้วนๆ) แต่เราอยากอยู่ที่นี่ เราอยากได้ประสบการณ์การทำงานจากที่นี่ เพราะฉะนั้นเขาใช้อะไรเรา เราก็ทำหมดอ่ะ สากกะเบือยันเรือรบ งานกรรมกรยันงานใช้สมอง(อันน้อยนิดของฉัน) ร้องไห้มาก็เยอะ ท้อมาก็มาก
ระหว่างนั้นเราตัดสินใจลงเรียนภาษาเยอรมันเพิ่มเติม คือเราแพลนอะไรหลายๆอย่างไว้ในหัวมากมาย ถ้าเราไม่ติดทุนนี้ เราจะไปสมัครทุนไหนต่อ แล้วทุนนั้นเขามี requirement ยังไง ซึ่งทุนที่เราเล็งไว้อีกเป็นทุนของประเทศเยอรมันที่มี requirement ชัดเจนมากว่าต้องได้ภาษาเยอรมันระดับสูงก่อน เพราะฉะนั้นเริ่มเรียนไปตั้งแต่ตอนนี้ยังไงก็ไม่เสียหาย และเราก็สนุกมากที่ได้ไปเรียนภาษาเยอรมัน(แม้ว่าไอ้คอร์สที่เราเรียนมันจะช้าเต่าถุยมากก็เถอะ) เราก็อยากให้ทุกคนทำเหมือนกันนะ แพลนไว้เถอะ หาทางเลือกให้ตัวเองไว้เยอะๆ มันมีทุนอีกเยอะมากในโลกใบนี้ที่เปิดโอกาสให้เรา
จนกระทั่งถึงเวลาเปิดรับสมัครทุน Erasmus Mundus อีกแล้ว (เรื่องเปิดเวลาไหน เมื่อไหร่เนี่ย ต้องไปหาข้อมูลเองเลย เพราะมันแล้วแต่หลักสูตรที่สมัคร มันเปิดไม่พร้อมกันเน้อออ) ก็ได้เวลามาแก้ไข CV และ Motivation Letter ละ ในส่วนของ CV เราแค่ไปดาวน์โหลดฟอร์มของทางยุโรปมา กรอกตามคำแนะนำของเขาเลย อันนี้มีแบบฟอร์มที่ชัดเจนอยู่แล้ว ส่วนวิธีการเขียน Motivation Letter ของเรา(ซึ่งไม่ได้บอกนะว่ามันดี คือรู้สึกว่ายังเขียนไม่ดีอยู่ตลอดเวลานั่นแหละ) อันนี้ดูด้วยนะครับว่าเขากำหนดความยาวมาว่ากี่ตัวอักษร ที่เราเจอคือให้อยู่ใน 1 หน้า และมีลิสคำถามมาให้ กับอีกสาขานึงคือยาว 6000 - 10000 คำ (ไร้ซึ่งความสมดุล สาขานึงก็สั้นเชียว อีกสาขาก็ยาวไปอีกกก) ซึ่งเราก็เขียนคล้ายๆกันทั้งสองสาขานะ
1. อะไรที่ทำให้เราสนใจในสาขานี้ : ก็เล่าเรื่องไปว่าเราเริ่มสนใจสาขานี้ได้ยังไง เราจะพยายามไม่เล่าเวอร์เกินไปหรือใส่น้ำเยอะไป เอาแบบเนื้อๆเน้นๆไปเลย(ไม่ชอบอ่านอะไรที่มันมาแบบเวอร์ๆอ่ะ รู้สึกไม่เป็นธรรมชาติ อันนี้ความเห็นส่วนตัวนะครับ ) ว่าเราสนใจเพราะเรียนวิชานี้.. หรือไปเจองานแบบนี้ก็ชอบ สนใจ เริ่มศึกษา อะไรก็ว่าไป
2. เล่าประสบการณ์ของเราที่เกี่ยวข้องกับสาขาที่เราจะไป หรือประสบการณ์อะไรก็ได้ที่มันดึงศักยภาพของเราออกมา ทำให้เรามีความคิดเห็นยังไงกับสาขา และเป็นประโยชน์กับสาขาที่เราเรียนยังไง : ช่วงนี้ก็อาจจะหลายย่อหน้าหน่อยถ้าเกิดว่าเราอยากเล่าเรื่องเยอะแยะไปหมด(อย่างเช่นเรานี่แหละ จัดไป3-4 ย่อหน้าเลย เป็นมนุษย์ขี้เม้าท์) พยายามเลือกงานที่พัฒนาศักยภาพของเราในหลายๆด้าน เช่น ตอนเรียนวิชานี้ ได้ทำโปรเจคประมาณนี้ ทำให้เข้าใจและเปิดโลกว่า เราสามารถนำไปประยุกต์แบบนี้ได้ด้วย ส่วนอีกย่อหน้าอาจจะพูดถึงว่า เราทำโปรเจคนี้เป็นโปรเจคที่ได้ทำกับคนต่างชาติ ทำให้มีประสบการณ์เกี่ยวกับการทำงานร่วมกับต่างชาติ หรือได้ประสบการณ์ที่มันไม่ซ้ำกับโปรเจคแรก คือให้มันดูมีหลายๆมุมมอง มุมมองที่คนอื่นไม่น่าจะมีเหมือนเรา เล่าไปเลยครับ ฝึกงานทำอะไร ตอนนี้ทำงานอะไร หรือมีงานอดิเรกอะไรที่มันส่งผลอะไรกับเรา ที่ทำให้เราเหมาะสมที่จะได้รับคัดเลือก (ไม่ต้องถ่อมตัว เราพยายามอวดแบบมีหลักฐาน ฮ่าๆ มันเป็นย่อหน้าโชว์ของเว้ยยย)
3. พูดถึงตัวเองไปแล้ว ก็มาพูดถึงหลักสูตรของเขาบ้าง ว่าทำไมเราถึงอยากจะเรียนสาขานี้ : ตรงนี้ก็จะแสดงให้เห็นว่าเราศึกษาหลักสูตรของเขามาจริงๆ แล้วเราก็สนใจจะเรียนที่นี่จริงๆ อธิบายว่าเราจะสามารถทำอะไรได้บ้างถ้าเราได้เรียนสาขานี้ เราจะพัฒนายังไง แผนการอนาคตเราเป็นยังไง สาขานี้จะช่วยเรายังไง และก็อาจจะมีซักย่อหน้านึง หรือบอกในย่อหน้าเดียวกันไปเลยว่า เราสนใจวิชาไหนของเขาเป็นพิเศษ ดึงชื่อวิชามาอธิบาย ว่าเราสนใจเพราะอะไร ทำไมถึงสนใจวิชานี้
4. ส่วนสุดท้ายคือการสรุป : อาจจะใส่ความคิดเห็นของเราต่อสาขานี้ลงไปว่าในอนาคตมันจะเป็นยังไง เอาไปทำอะไรได้ และเราจะมีส่วนช่วยพัฒนาอะไร และอาจจะพูดถึงการย้ายประเทศในแต่ละเทอมว่าเรามีความคิดเห็นยังไง เราเห็นประโยชน์อะไรจากการย้ายประเทศ รวมทั้งเราสามารถแบ่งปันอะไรให้กับคนอื่นได้บ้าง สื่อว่าเราก็ไม่ได้จะมารับอย่างเดียว เรามาแบ่งปันซึ่งกันและกัน อะไรประมาณนั้น และเราคาดหวังอะไรกับโครงการนี้ สุดท้ายก็พยายามหาทางจบให้มันสวยๆนั่นแหละ ฮ่าๆๆ
เนื้อหาที่เราเขียนไปก็ประมาณนี้ แต่คือมีการปรับแก้มาหลายครั้งมากๆ คือตั้งแต่ปีก่อนๆเนี่ยก็แก้ไปห้าหกรอบ รอบนี้มาก็ปรับๆและก็เพิ่มเติม ถ้ามีใครพอจะช่วยตรวจทานให้ได้ก็ไปขอคำแนะนำเถอะ แต่ถ้าไม่มีก็...ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน พยายามอ่านหลายๆรอบ ทิ้งเวลาไว้หน่อย กลับไปอ่านใหม่ อันไหนอยากแก้ก็แก้
ผ่านจุดนี้ไปก็... ได้เวลารอ ร๊อ รอ ละครับผม รออีเมลล์ไปค่ะ ในขั้นตอนต่อไปของหลักสูตรที่เราเลือกคือการสัมภาษณ์ โดยจะเลือกสัมภาษณ์พวกที่เป็น Main List (บางหลักสูตรก็ไม่มีสัมภาษณ์นะ) ตอนที่มีอีเมลล์มาว่าจะสัมภาษณ์เนี่ย ตื่นเต้นมาก ใจเต้นไม่เป็นจังหวะเลย แต่ปัญหามันยังไม่จบแค่นั้นครับ... เราต้องติดต่อไปหา Programme Board นัดสัมภาษณ์ภายใน 1 อาทิตย์ ทางเราติดต่อกลับตั้งแต่วันแรกละครับ แต่รออีเมลล์นัดสัมภาษณ์นานมาก ระหว่างนั้นก็ซ้อมสไกป์กับเพื่อน หามุม เจอปัญหาตั้งแต่เน็ทเน่ายันคอมกาก พยายามเตรียมตัวซ้อมพูด เพราะไม่ได้พูดภาษาอังกฤษมานานมากแล้ว สกิลตกฮวบๆ ไหนอีเมลล์ยังไม่มาอีก จนวิตกไปต่างๆนาๆ เขาได้รับเมลล์เราไหม นี่มันห้าวันแล้วยังไม่เมลล์ตอบเราเลย จนสุดท้ายทนไม่ไหว ส่งเมลล์ไปย้ำเขาอีกครั้ง ทาง Professor ก็ตอบเมลล์เรามาในทันทีว่าเขาได้รับเมลล์แล้วเดี๋ยวจะนัดอีกครั้ง ก็รอไปสิครับผม จนผ่านมาครบ 7 วัน Professor ก็อีเมลล์มานัดสัมภาษณ์เรา ตอนเที่ยงคืน(เวลาไทยนะ) นั่งเกร็งรอตั้งแต่ห้าทุ่มเลยครับ ซ้อมพูดวนไป พ่อแม่ก็ลุ้นไปด้วย หมาก็เห่าอีกคืนนั้น มาเห่าอะไรตอนนี้เจ้าหมาาาาา
จนเวลา 00.00 โอเค ต้องพร้อมละนะ มีอีเมลล์เด้งเข้ามาตอน 00.01 ว่า แอดสไกป์ไปแล้ว รบกวนรับที ทางเราก็หาสิ ไม่เห็นจริงๆครับ ตอนนั้นนี่ตกใจมาก ทำไมไม่เห็นฟะ ก็เลยรีบเมลล์ตอบไปว่า ไม่เห็นที่เขา invite มา ทาง Professor ก็เลยคอลมาเลย ก็รีบรับทันทีครับ ปรากฏว่าเสียงก้องและอู้อี้มาก จนแทบฟังไม่รู้เรื่อง ก็คอลไปคอลมากันสามสี่ครั้ง แต่ทาง Professor ไม่ได้เปิดกล้อง ก็เลยตัดสินใจใช้มือถือคุยเหมือนคุยโทรศัพท์ซะเลย เสียงชัดเจนกันทั้งสองฝ่าย มาดูคำถามที่ทาง Professor ถามกันมั่งดีกว่า ว่าถามอะไรบ้าง เผื่อทุกคนจะได้ใช้ประโยชน์จากคำถามพวกนี้นะ
1. คำถามทั่วๆไปเนอะ แบบว่า สบายดีไหม ที่โน่นกี่โมงแล้ว อะไรประมาณนี้
2. ตอนนี้ทำงานอะไรอยู่ มีหน้าที่ทำอะไร ทำมานานแค่ไหนแล้ว
3. เรียนจบอะไรมา ก่อนหน้านี้ทำงานที่ไหน ทำอะไร เขียนโปรแกรมภาษาอะไรได้บ้าง เขียนมากี่ปี (ทางนี้ก็โง่โปรแกรมมิ่งด้วย เขียนได้ไม่กี่ภาษาเท่านั้นแหละ ปล.ด้วยที่เราจบคอมนะ ก็เลยมีคำถามนี้เพิ่มมา)
4. ทำไมถึงเลือกที่จะเรียนสาขานี้ สนใจวิชาอะไรเป็นพิเศษไหม
5. เรียนภาษาอังกฤษยังไง เรียนมาจากไหน ตอนเรียนมีวิชาไหนที่เราต้องใช้ภาษาอังกฤษบ้าง แล้วตอนทำงานใช้ภาษาอังกฤษรึเปล่า (พรูฟว่าเราใช้ภาษาอังกฤษได้ดีไหมนั่นแหละ)
6. ตอนเรียนจบทำโปรเจคจบอะไร ถามด้วยว่าสำเร็จไหม (ตอบด้วยความมั่นใจว่าสำเร็จ ฮ่าๆๆๆ)
7. ตอนเรียนได้รางวัลอะไรไหม (ใครได้เกียรตินิยมก็พูดไปค่ะ ทางนี้เป็นคนธรรมดา ก็ตอบไปว่าเป็นคนกลางๆ ฮ่าๆๆๆ)
8. เคยไปอยู่ต่างประเทศรึเปล่า ไปทำอะไรบ้าง ชอบไหมที่ไปอยู่ที่โน่น(เผอิญเราเคยไปฝึกงานที่เยอรมันเนอะ ก็มีการถามรายละเอียดต่อกันยาวๆ) แล้วค่าใช้จ่ายใครออกให้ ได้เรียนภาษาเยอรมันไหม (เรารู้สึกว่าคนที่เคยไปต่างประเทศน่าจะมีภาษีดีพอสมควร เพราะเค้ารู้ว่าเราไม่โฮมซิก และไปอยู่ได้จริงๆ)
9. คิดว่าตอนทำ Thesis จะทำโปรเจคประมาณไหน (คำถามวัดใจเลยอันนี้ อยากทำอะไรก็บอกเค้าไปค่ะ)
คำถามที่เจอก็ประมาณนี้ สัมภาษณ์ประมาณ 15 นาทีเท่านั้นเอง เรามีฟังไม่ทันบ้าง ฟังไม่เข้าใจบ้างทาง Professor ก็ไม่ได้ว่าอะไร แถมยังถามย้ำให้ ปรับคำถามให้เข้าใจง่าย หรือบางทีเราตอบไม่ตรงคำถาม เขาก็ถามคำถามเพิ่มให้ลึกขึ้นไปอีก ตลอดเวลาสัมภาษณ์ก็ได้ยินเสียงพิมพ์ประวัติเราตลอดเวลานะ ก่อนจะลาจากกัน ทาง Professor ก็บอกว่า เขาโอเคกับเรามาก โปรไฟล์เราเหมาะที่จะไปเรียนกับเขานะ แต่เขาไม่สามารถการันตีได้ว่าจะได้ทุนไหม เพราะเขาต้องส่งข้อมูลให้ส่วนกลางก่อน แต่เขาจะ recommend เราให้ แล้วก็ตบท้ายด้วยว่า หวังว่าจะได้เจอคุณที่ Salzburg และ Copenhagen นะ ก่อนจะวางสายกันไปด้วยความสบายใจปลดแอกไปอีก 1 มิชชั่น
วันต่อมาครับ นั่งทำงานอยู่มีอีเมลล์เด้งมาจากโปรแกรมนี้ ตอนนั้นตกใจมาก ทำไมผลออกมาไวจังฟะ หรือจริงๆแล้วคัดเราทิ้งไปนานแล้ว สัมภาษณ์เราพอเป็นพิธีเฉยๆ เพราะเล่นมาสัมภาษณ์เราซะวันเดดไลน์เลย ทำใจอยู่นานมาก ก็โอเคเปิดเมลล์มาดู เจออีเมล์เขียนไว้ว่าให้อ่านเอกสารที่แนบมาด้านล่าง ที่จะแจ้งผลของใบสมัครคุณ เลื่อนมาดูไฟล์ PDF ด้านล่าง เจอ 3 ไฟล์ เปิดไฟล์แรกมาอ่าน
Congratulations !! You have been selected to attend Erasmus+ scholarship ไม่อ่านต่อละครับ รู้แต่ว่า... ติดทุนแล้วโว้ยยยยยยยย!!
ขอบคุณทุกคนที่คอยลุ้นไปกับเราและก็ให้กำลังใจเราทุกคนเลย มีคนลุ้นไปกับเราเยอะมากเรารู้ หลายๆคนที่พอรู้ว่าเราติดทุนก็ทักมาแสดงความยินดีกัน ด้วยที่ว่าเห็นความพยายามเรามาตั้งนานแล้ว เพื่อนๆที่อยู่กับเรามาตลอด เห็นความพยายามเรามาตลอดก็กรี๊ดไปกับเรา ความพยายามกับตั้งใจที่เราใส่ไป เราใส่ไปเต็มๆจริงๆ เราเคยโดนปฏิเสธนะเว้ย แต่เราไม่ยอมง่ายๆ ความพยายามสองปีกว่าๆที่ผ่านมา เราไม่เคยเสียดายเวลาเลยเว้ย เวลาท้อๆเราก็ชอบเปิดรูปตอนไปยุโรปขึ้นมาดู แล้วก็เปิดเว็บไซต์หลักสูตรที่เราอยากเรียนขึ้นมาอ่าน มันช่วยได้จริงๆนะ โคตรอยากไปเรียนเลยหว่ะ แล้วก็กลับมาสู้อีกที หลายๆคนเคยพยายามมาบอกให้เรายอมๆแพ้ไปบ้าง มองหาช่องทางอื่น(มาเตือนด้วยความหวังดีนั่นแหละ กลัวเราหมกมุ่น) แต่เรามันเป็นพวกดื้อไง ถ้าไม่สุด ถ้าเราเห็นว่ามันมีทางไปต่อ เราจะไม่หยุด แล้วมาถึงตรงนี้เราว่าเราพิสูจน์มันได้แล้วนะว่าถ้าเราคิดจะทำอะไร วางแผนให้ดี วางทางเลือกไว้ แล้วพุ่งไปหามันซะ ซักวันนึงมันต้องทำได้ดิวะ แม้จะใช้เวลาแต่มันจะโอเคเว้ย ใส่ให้สุดตัว ไม่ได้ก็ช่างเราพยายามเต็มที่แล้วนี่ เพราะงั้นใครตั้งเป้าหมายอะไรไว้ อย่าไปยอมง่ายๆนะเว้ย ลองงี่เง่าแบบเราดู (ก็งี่เง่าจนมาถึงจุดนี้) จากนี้ก็ต้องลุ้นแล้วแหละ... ว่าเราจะส่งเอกสารครบไหม? ถ้าไม่ครบก็เรียกได้ว่าตายตอนจบแบบตุ้งแช่มาก
23 JAN 2017 with email from Erasmus Mundus
ไว้มาเขียนให้อ่านอีกนะคะ เขียนสนุกมากเลย รู้สึกได้ถึงความสดใส
สู้ๆ นะคะะะะ