เช้าวันที่สองในย่างกุ้ง เมื่อคืนเราตกลงกับเพื่อนว่าจะเป็นคนปลุกมันแต่เช้าเพื่อออกไปถ่ายรูปวิถีชีวิตคนเมืองกันรอบๆที่พัก แต่นอกจากเราจะไม่ตื่นแล้วก็ยังเป็นเพื่อนอีกที่มาปลุกเรา ตื่นมาก็พบว่าเช้านี้ฝนยังคงตกอยู่ อากาศแบบนี้ไม่มีอะไรเหมาะไปกว่านอนหมกอยู่ในห้อง เรานอนต่ออีกไม่กี่นาทีก็ลุกไปอาบน้ำ แล้วลงมากินมื้อเช้าฟรีรองท้องไว้
ไม่รู้ว่ามันเรียกว่าอะไร แป้งจะแห้งๆแข็งๆ ถั่วนี่ก็แห้ง ถ้าไม่มีชาก็จะเป็นอาหารเช้าที่โคตรฝืดคอ
ระหว่างรอเพื่อนกินมื้อเช้าเสร็จ และฝนก็เริ่มซาแล้ว(ยังคงตกอยู่นั่นแหละ แต่ความอยากเก็บภาพมีมากกว่า) เราออกไปเก็บภาพบรรยากาศตอนเช้าๆของที่นี่ ในซอยจะมีพระมาบิณฑบาตร ก่อนที่พระจะเดินมากันเป็นแถว จะมีคนนำหนึ่งคนมาพร้อมกับเสียงเคาะเก๊งๆดังสนั่นซอย ได้ยินเสียงนี้ไม่นานก็จะตามมาด้วยพระท่านตั้งแต่หลวงพ่อเดินแถวนำหน้ามาและปิดท้ายด้วยสามเณรตัวเล็กๆ
ตรงปากซอยที่พักมีร้านอาหาร เท่าที่สังเกตดูเหมือนจะเป็นร้านข้าวแกง ดูจากจำนวนคนที่เต็มร้านแล้วอาหารร้านนี้คงถูกปากคนที่นี่กันใช่ย่อย เห็นบรรยากาศร้านแล้วชวนนึกถึงที่บ้าน เหมือนบรรยากาศร้านน้ำชาร้านดังในจังหวัดแบบนั้นเลย คนเยอะมากกกกก บรรยากาศใกล้ๆก็ดูคึกคักทั้งร้านหนังสือพิมพ์ข้างๆ และร้านข้าวแกงในเต๊นท์เล็กๆตรงปากซอยอีกฝั่ง และเท่าที่สังเกตเห็นมากขึ้นจากเมื่อวานคือแทบจะทุกคนและทุกเพศทุกวัยจะทาทานาคา และแน่นอนว่าเสื้อทุกแบบกับลองยีและรองเท้าแตะคีบยังคงเป็นยูนิฟอร์มของคนที่นี่
ถ่ายรูปเรื่อยๆจนฝนเริ่มจะหนักขึ้นเรารีบเดินกลับที่พักแล้วไปวางแผนเรื่องเที่ยวในวันนี้ ใช่วางแผนมันวันนี้แหละ ก่อนมาเราก็วางแผนกันคร่าวๆแล้วแหละ แต่เพราะวันนี้ฝนตก สุดท้ายเราลงความเห็นกันว่าวันนี้เราจะเดินไปเจดีย์สุเหล่ แล้วเดี๋ยวก็เดินเที่ยวที่เที่ยวใกล้ๆ พี่พนักงานบอกว่าเรานั่งรถเมล์ไปได้ แค่200จ๊าด แต่เราใช้วิธีเดินไปแทน กูเกิ้ลแมพบอกเราว่าใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมง และแน่นอน สภาพอากาศแบบนี้ครึ่งชั่วโมงไม่ถึงแน่ๆ
ฟ้ายังคงครึ้ม แต่ฝนหยุดไปได้แปปเดียวเราก็ตัดสินใจออกเดินไปเจดีย์สุเหล่กัน พอเดินไปเรื่อยๆแต่ไกลเกินกว่าจะหันหลังกลับที่พักแล้วฝนก็ตกลงมาอีกครั้ง ระหว่างทางเราต้องเดินผ่านตลาดสด จากที่แออัดกันอยู่แล้ว ฝนที่ตกลงมายังสร้างความวุ่นวายและสกปรกเข้าไปอีก คนเยอะก็ต้องเดินเบียดกันแล้วยังมีร่มที่แต่ละคนกางเพิ่มอุปสรรคการเดินผ่านย่านนี้ไปอีก เราเดินลุยฝนไปเรื่อยจนทนไม่ได้ก็แวะข้างทางหาซื้อร่มแล้วออกเดินกันต่อ พอกางร่มได้ไม่นานฝนก็หยุด ตกๆหยุดๆสลับไปเรื่อย พอผ่านย่านตลาดสดมาก็จะมีอีกย่านที่เราคิดเอาเองจากลักษณะหน้าตาและอาหารที่ขายว่าคงเป็นคนอินเดีย หรือประเทศเพื่อนบ้าน และตั้งแต่เดินมานี่ก็พบว่าคนที่นี่ก็มองหน้าเราด้วย ไม่รู้ว่ามองเพราะอะไร แต่ตั้งแต่เดินมาก็เห็นจะมีแค่พวกเราสี่คนนี่แหละที่เป็นชาวต่างชาติ สรุปว่าใช้เวลาไปกว่า40นาทีเราก็เริ่มมองเห็นยอดเจดีย์สุเหล่แล้ว
ซอยหนึ่งระหว่างทางไปเจดีย์สุเหล่
ในที่สุด!
มาถึงเจดีย์สุเหล่ตรงทางเข้าจะมีคนเก็บค่าเข้าคอยอยู่แล้ว พอจ่ายแล้วก็ได้ตั๋วแผ่นใหญ่บางๆเหมือนใบเสร็จจากสมุดฉีก พอจ่ายเงินเสร็จเราเห็นกล่องรองเท้าว่างก็คิดเอาว่าคงจะเป็นที่เก็บรองเท้าสำหรับนทท. ไม่ได้เอะใจหรอกที่มันมีอยู่ไม่กี่กล่อง (มันเป็นบล็อกไม้สี่เหลี่ยมไม่มีฝาปิดพอดีกับขนาดรองเท้า)
พอเข้ามาก็พบกับเจดีย์สีทองอร่ามขนาดใหญ่โต เพื่อนๆก็พากันไหว้พระขอพรกันไป เราก็เดินถ่ายรูปเรื่อยๆ เราถ่ายรูปหมู่ด้วยกันไม่กี่รูปก็เดินต่อรอบเจดีบ์ เก็บภาพอะไรที่คิดว่าสวยและแปลกตาไปเรื่อย หันมาอีกทีก็ไม่เจอเพื่อนซะแล้ว เราเดินต่อเรื่อยๆรอบเจดีย์ ยังไงเดี๋ยวก็คงเจอเองแหละ เดินๆไปสักพักก็มีเด็กวัยรุ่นผู้ชายคนนึงมาเดินข้างๆ ชวนคุยไปเรื่อย ตั้งแต่มานี่เรายังไม่เจอมิจฉาชีพสักคนหรอกนะ ตอนนั้นไม่ได้คิดว่าเด็กคนนี้จะมาหลอกอะไรหรอก แต่ก็ดูท่าทางแปลกๆ เขาชวนคุย เขาถามชื่อเราเราถามชื่อเขา เขาชื่ออาคีม่า อายุ15ปี เขาบอกว่าวันนี้เป็นวันหยุดของโรงเรียน เขาจึงมาฝึกภาษาอังกฤษด้วยการเป็นไกด์ฟรีให้กับนักท่องเที่ยว เขาชวนเราคุยไปเรื่อย เล่าประวัติของเจดีย์ที่นี่ รวมถึงเรื่องราวเกี่ยวกับพม่านิดๆหน่อยๆ เราก็ถามอะไรเกี่ยวกับกิจกรรมของเด็กวัยรุ่นที่นี่ คุยไปคุยมาเขาก็พยายามชวนเราไปนู่นไปนี่และชวนเราไปซื้อลองยีแบบสุดๆประหนึ่งได้ส่วนแบ่งจากทางร้าน เราเริ่มใจไม่ดีเพราะกลัวโดนหลอก แต่เขายังยืนยันว่าเขาไม่เก็บค่าไกด์แน่นอน เขาบอกว่าแค่เลี้ยงกาแฟหรืออะไรทำนองนั้น(ซึ่งแน่นอนล่ะว่าถ้าเราตกลงรับเขาเป็นไกด์เราก็คงจะหาอะไรตอบแทนเขานิดๆหน่อยๆอยู่แล้ว) เรายังไม่ได้ตกลงแต่ก็บอกว่าขอถามเพื่อนดูก่อนเพราะตอนนี้เราเดินอยู่คนเดียว เขาก็บอกว่าเขาจำได้ว่าเพื่อนเราอยู่ไหน รู้อีกว่าเรามากันกี่คน ผู้หญิงกี่คน ผู้ชายกี่คน นี่แปลว่ามึงเล็งไว้นานแล้วอ่ะดิ แต่เขาก็บอกว่าจำได้เพราะเมื่อกี้เห็นเราถ่ายรูปด้วยกัน อาคีม่ายังบอกอีกว่าเจดีย์สุเหล่ส่วนใหญ่แล้วก็จะมีคนพม่าซะส่วนใหญ่ นักท่องเที่ยวไม่ค่อยมากันหรอก ซึ่งนั่นก็จริง มีฝรั่งวัยผู้ใหญ่ขึ้นไปเดินสวนเราไปไม่กี่คน และวัยรุ่นชาวตะวันตกและไต้หวัน(ที่อาคีม่ามันเข้าไปทักเพราะเขาใส่ลองยีผิดวิธี นี่ก็อาสาไปผูกให้เขา บอกว่าใส่ผิดเดี๋ยวเดินๆแล้วลองยีจะหลุดเอา มีน้ำใจจริงๆพ่อคุณ)
ถึงตอนนี้เราก็ยังไม่ค่อยแน่ใจว่าจะเชื่ออาคีม่าได้มั้ย เราพยายามปฏิเสธแต่เขาก็พยายามจะไปด้วยและแน่นอนตอนนี้เขากำลังพาเราไปหาเพื่อนเรา! นี่ตกลงเพื่อนมึงหรือเพื่อนกูกันแน่วะเนี่ย คือเขามีวิธีการพูดในแบบของเขา หรืออาจจะเป็นเพราะเราไม่รู้จักศิลปะในการปฏิเสธด้วยรึเปล่า บวกกับคุยกันด้วยภาษาอังกฤษด้วยล่ะมั้ง มีหลายครั้งเลยที่เราขอให้เขาพูดซ้ำอีกรอบเพราะฟังไม่รู้เรื่องบ้างและฟังไม่ทันบ้าง ขนาดแค่ถามชื่อด้วยความที่มีปัญหากับการจำชื่อคนที่เพิ่งเจอครั้งแรก เราถามอาคีม่าไป3-4รอบได้ นอกจากอาคีม่ากำลังพาเราไปหาเพื่อนแล้ว ยังช่วยเราหาทางเข้าที่เราถอดรองเท้าไว้อีกด้วย นี่ตกลงรองเท้ากูใช่มั้ย คือทางเข้ามันก็มีอยู่ไม่รู้กี่ทางรอบๆเจดีย์น่ะนะ แถมมันก็ลักษณะคล้ายๆกันด้วย คุยต่อไปอีกสักพักอาคีม่าก็พาเราไปหาเพื่อนจนได้ เก่งจริงๆ นี่เดินมาสองรอบแล้วมั้งกูยังหาเพื่อนกูไม่เจอเลย หลังจากนั้นเราก็เล่าเรื่องอาคีม่าให้เพื่อนฟัง แต่ดูเหมือนเพื่อนจะไม่ค่อยไว้ใจอาคีม่าเท่าไหร่ แต่คุยกันไม่นานเพื่อนเราก็ถูกใครอีกคนพาไปไหว้พระประจำวันเกิดต่อ แน่นอนอาคีม่ายังคงอยู่กับกู... คงจะเอาคำตอบให้ได้ว่ากูจะไปไหนต่อและจะไปซื้อลองยีกับมึง ยอมรับเลยว่าตอนนั้นเราก็แอบใจอ่อนและตกลงไว้แล้ว แต่ต้องถามเพื่อนอีกสามคนก่อน
เดินถ่ายรูป หาเพื่อนและคุยกับอาคีม่าไปพร้อมๆกัน
เรารู้สึกว่าสิ่งที่อาคีม่ากำลังทำมันก็ไม่ได้ดูเลวร้าย แล้วถ้าอาคีม่าจะหลอกเราจริงๆ เราคิดว่าเราสู้ได้แน่นอน แต่เดินไปสักพักอาคีม่าแม่งเจอเพื่อนว่ะ เพื่อนอาคีม่าชื่ออะไรเราจำไม่ได้หรอก แต่เขาพอจะพูดไทยได้นิดหน่อย ก็ทักทายและถามอะไรเป็นภาษาไทยเขาบ้าง สักพักอาคีม่าเริ่มคุยพม่ากับเพื่อนละ ละกูที่เป็นคนฟังไม่รู้เรื่องนี่อดรู้สึกไม่ไว้ใจพวกมึงสองคนไม่ได้เลยจริงๆ
เดินหาเพื่อนต่อไป อาคีม่าแม่งก็เดินตามต่อไป พอเจอเพื่อนเราก็บอกเรื่องอาคีม่าจะเป็นไกด์ให้ฟรีๆเอามั้ย แล้วแต่เราจะไปไหน หรือถ้าไม่รู้จะไปไหนให้อาคีม่าแนะนำคาเฟ่นั่งหรืออะไรก็ได้ แต่เพื่อนเราไม่ไว้ใจ ตอนนี้เราเจอทางออกที่ถอดรองเท้าไว้แล้ว เราขอบคุณอาคีม่าที่ช่วยหาเพื่อนและหาทางออกให้ ขอบคุณจริงๆ (คืออาคีม่าไม่ควรทำให้ขนาดนี้ กูคุยกับมึงตั้งนานเพื่อถามเพื่อนให้เพื่อนบอกว่าไม่ไปกับมึง กูรู้สึกผิด) เราบอกอาคีม่าไปว่าไม่เป็นไร เราขอไปกันเองดีกว่า และก็ขอบคุณมากๆที่ช่วยเรา
เราเดินออกมาที่ทางออกที่ถอดรองเท้าไว้ แต่เราต้องจ่ายค่าวางรองเท้าในกล่อง! เออกูว่าและทำไมไม่มีใครวางเลย เราถามจนแน่ใจว่าต้องจ่ายจริงๆหรอ เออต้องจ่ายจริงๆ คนเก็บค่าปลดล็อครองเท้าก็เด็กตัวเล็กๆ โธ่แม่เด็กนี่ก็เก่งจริงๆ คิดว่าเราวิ่งหนีเด็กมันไม่ทันหรอ บ้า เราก็จ่ายไปแบบโคตรเต็มใจจะจ่าย ระหว่างใส่รองเท้สอาคีม่าแม่งยังรอเราและเดินตามเราออกมา
เพื่อนบอกว่าจะไปกันเองไง ตอนนี้เริ่มกลัวละ กูบอกมึงแล้วไงอาคีม่า กูจะเที่ยวเองโว้ย เราบอกอาคีม่าว่าขอโทษที่ทำให้เข้าใจผิด แต่เรากับเพื่อนคิดว่าเราจะไปกันเอง ขอโทษและขอบคุณมากๆ บอกซ้ำไปสองรอบจนอาคีม่ากับเพื่อนอีกคนจึงปล่อยเราไป และคงจะไปหาเหยื่อเอ้ยนักท่องเที่ยวคนอื่นๆ ขอโทษนะอาคีม่า แต่เราคงต้องแคร์เพื่อนที่มาเที่ยวกับเรามากกว่าอาคีม่าที่เราเพิ่งเจอกันไปถึงชั่วโมง ยังไงก็ต้องขอบคุณจริงๆ จะว่าไปก็ชื่นชมอาคีม่านะ รู้จักใช้้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ ตอนมอสามเรานี่ว่างๆทำอะไรวะ
เราขออาคีม่าถ่ายรูปตอนที่อาคีม่าและเรายังไม่เจอเพื่อน และก็ตอนที่เกือบจะตกลงให้อาคีม่าเป็นไกด์ ถึงยังไงก็ขอบใจนะ
ระหว่างทางเดินไปเจดีย์สุเหล่
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in