เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
I WRITE YOU A LOTPrachawit Dax
เดินทางไปร้านหนังสือเดินทาง
  •  ผมย่ำเท้าอยู่บนถนนย่านราชดำเนิน เดินผ่านหอสมุดเมืองกรุงเทพที่เพิ่งเปิดใหม่ อาคารสีเหลืองนวล ภายในตกแต่งสง่างาม แต่ภายในกลับมีหนังสือน้อยเสียเหลือเกิน ราวกับเปิดพื้นที่ให้คนมานั่งทำงาน หรือเล่นมือถือ และทำทุกอย่างที่ไม่ใช่การอ่านหนังสือ 

    ผมเดินมาเรื่อยๆจนถึงอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย เลี้ยวซ้ายเจอโรงเรียนสตรีวิทยา หนุ่มสาววัยฮอร์โมนเดือดพล่าน ในชุดนักเรียนคอซอง กำลังเลิกเรียน บ้างนั่งอยู่ในร้านแม็คโดนัลล์ กระจกใสหน้าร้านที่กั้นระหว่างร้านขายแฮมเบอร์เกอร์ กับร้านรถเข็นที่ขายลูกชิ้นปิ้ง มีเด็กๆรุมล้อมแน่นขนัดทั้งสองร้าน ด้วยความหิวโหยหลังเลิกเรียน ช่างเป็นความขัดแย้งด้านชนชั้นเสียจริงๆ

    ผมเดินไปเรื่อยๆ ผ่านร้านขายผ้า ร้านขายน้ำแข็งใส ร้านข้าวหมูกรอบ เลี้ยวซ้ายตรงสะพานวันชาติ แวะทานบะหมี่ต้มยำริมฟุตบาท ทานเสร็จก็เจอร้านกาแฟเล็กๆ ด้านหน้าเป็นประตูไม้สีน้ำตาลลอกล่อน ป้ายร้านสีเหลืองทองเขียนไว้ว่า “Bamsha Café” ในร้านมีนักดนตรีสองสามคน กำลังเล่นกีตาร์กันอยู่ เจ้าของร้านในชุดลายขวางสีน้ำตาล ตัดผมสั้นเกรียน ไว้หนวดและเครารกครึ้ม ยิ้มทักทายผม

    “อเมริกาโน หนึ่งแก้วครับ” ผมสั่งและนั่งลงบนเก้าอี้ไม้

    ในร้านมีลูกค้าสองสามโต๊ะ โต๊ะใกล้ผมเป็นคู่รักฝรั่งวัยกลางคน กำลังตั้งอกตั้งใจฟังเสียงดนตรีในร้าน พลางสูบบุหรี่ มาร์ลโบโร่ พ่นควันและจิบกาแฟเย็นอย่างสบายใจ

    โต๊ะถัดไปเป็นหญิงสาววัยรุ่น ทาปากด้วยลิปสติกสีดำ คะเนจากหน้าตาและทรวดทรงแล้ว อายุคงน่าจะใกล้เคียงกับผม กำลังนั่งพิงพนักเก้าอี้ จิบกาแฟลาเต้เย็น พลางพิมพ์งานบนคอมพิวเตอร์แมคบุ๊ค หน้าตาเธอเคร่งเครียด หน้าผากย่นแต่แก้มแดงระเรื่อ เธอหรี่ตาบ่อยเวลาจ้องหน้าจอ สลับกับจุดบุหรี่กรองทิพย์ขึ้นสูบ ที่เขี่ยบุหรี่ของเธอพูนไปด้วยกองขี้บุหรี่สีเทา สงสัยเธอคงมานั่งพิมพ์งานแต่เช้า บุหรี่ กาแฟเย็น กับหญิงสาว ในวันที่อากาศร้อนจัด ก็ถือว่าเข้ากันได้ดี

    ผมทอดสายตาออกไปนอกหน้าต่าง สักพักกาแฟก็มาเสิร์ฟ อเมริกาโนหอมกรุ่น ไอร้อนลอยฉุยออกจากแก้ว ผมยกขึ้นจิบอย่างผ่อนคลาย กาแฟขมฝาดบาดลิ้น กินกับขนมปังกรอบรสจืดชืด เข้ากันได้ดีอย่างไม่น่าเชื่อ

    นักดนตรีในร้านขับกล่อมเพลงฮิตเมื่อยุค’๙๐ เช่น Oasis , Nirvana , The Beatle ในแบบฉบับอะคูสติก ผมนั่งฟังอย่างผ่อนคลาย ราวกลับหลุดเข้าไปในยุคสมัยนั้น

    หญิงสาวตรงข้ามนั่งสูบบุหรี่อย่างต่อเนื่อง ควันบุหรี่สีเทาลอยอ้อยอิ่งกระทบเพดาน คล้ายดั่งหมอกที่ปกคลุมร้านแห่งนี้ อาจมีบางครั้งที่เราเผลอสบตากัน แต่ก็ไม่ได้ปฏิสัมพันธ์อะไรกัน

    ผมละเลียดกาแฟหยดสุดท้ายในแก้ว วางเงินบนโต๊ะไม้ แล้วหยิบแจ็กเกตยีนส์สีฟ้าที่พาดเก้าอี้ ขึ้นมาสวม ก่อนเดินออกมาจากร้าน ผมเลี้ยวซ้ายเดินไปเรื่อยๆ วันนี้ผมว่างทั้งวัน เลยมาเดินเล่นแถวนี้ 

    ผมเดินมาสะดุดตากับร้านเล็กๆ ด้านหน้ามีม้านั่งและเก้าอี้ไม้วางอยู่ ถัดไปเป็นจักรยานเก่าสีแดงสนิมเขรอะ กระจกหน้าร้านติดโปสการ์ดเต็มกระจก ผมเงยหน้าขึ้นมองป้ายร้าน เขียนไว้ว่า “Passport Book Shop ร้านหนังสือเดินทาง” เป็นร้านหนังสือนี่เอง ออกจากห้องสมุดแล้วเจอร้านหนังสือ ถือเป็นความรู้สึกที่ดีไม่ใช่น้อย ผมผลักบานประตูเข้าไป เจ้าของร้านชายวัยกลางคนยิ้มทักทาย ผมสั่งชาร้อนใส่นม แล้วมาเลือกหนังสือ

    เป็นร้านหนังสือหนึ่งคูหาที่มีหนังสือเยอะมาก ฝั่งซ้ายเป็นหนังสือเกี่ยวกับการเมืองหรืองานวิจัย ถัดไปเป็นวรรณกรรมแปลวางเป็นชั้นๆ เช่น Murakami , Albert Camus , Franz Kafka ส่วนฝั่งตรงข้ามเป็นหนังสือภาษาอังกฤษของนักเขียนมีชื่อเสียงหลายคนเช่น Orhan Pamuk หรือ Leo Tolstoy ถัดไปข้างๆเป็นวรรณกรรมไทย ทั้งงานนักเขียนใหม่และเก่า มีทั้งรวมเรื่องสั้นหรือนวนิยาย เช่น ชาติ กอบจิตติ , ศิลา โคมฉาย , อุรุดา โควินท์ , วิกรานต์ ปอแก้ว และอีกมากมาย

    หนังสือเยอะเสียจริงๆ ผมอุทานในใจ ผมน่าจะรู้จักร้านนี้ตั้งนานแล้ว ไปอยู่ที่ไหนมา ผมซื้อหนังสือรวมเรื่องสั้นสองเล่ม เธอมองไม่เห็นเส้นขอบฟ้า ของศิลา โคมฉาย นักเขียนซีไรต์ที่ออกเล่มใหม่ในรอบหลายปี กับ อาคเนย์คะนึง ของ อนุสรณ์ ติปยานนท์ ที่ใครๆตั้งฉายาให้ว่า “มูราคามิเมืองไทย” 

    ผมหยิบหนังสือไปจ่ายเงิน เจ้าของร้านห่อหนังสือให้ด้วยกระดาษหอมสีชมพู แทนการใช้ถุงพลาสติก และประทับตายางที่มีชื่อร้านตรงกลาง เป็นอันเสร็จสิ้นการซื้อขาย

    ผมนั่งโต๊ะตรงกลางร้าน สักพักเจ้าของร้านยกชาร้อนมาเสิร์ฟ ชาเอิร์ลเกรย์หอมกรุ่น ในกาสีขาวขุ่น เสิร์ฟพร้อมกับนมสดในแก้วเล็กๆ และน้ำตาลกรวด ผมเทนมและตักน้ำตาลกรวดสองช้อนใส่ในกา คนอย่างหยาบๆสองสามรอบ ก่อนที่จะปิดฝา 

    ในร้านมีลูกค้าประปราย ข้างๆผมเป็นวัยรุ่นผมยาว หน้าละม้ายคล้ายนักร้องวง Ten To Twelve กำลังนั่งพิงเก้าอี้ และนั่งอ่านเรื่อง Moby Dick ของ Herman Melville พลางกำลังบ่นว่า

    “อ่านมาถึงหน้าสองร้อยแล้ว ยังไม่เจอปลาวาฬสักตัว” เขาพูดและยกกาแฟขึ้นจิบ แล้วก็ก้มหน้าก้มตาอ่านต่อไป

    ผมหยิบรวมเรื่องสั้นเล่มหนึ่งมาอ่าน เล่มเล็กพอดีมือ หน้าปกสีดำตกแต่งด้วยรูปภาพซ้อนทับกัน รูปโลก ดวงจันทร์ ชายหรือหญิงเปลือย ช่อดอกไม้ และกระดาษที่ถูกขยำ หนังสือเล่มนี้มีชื่อว่า Lunar Lunatic คุณคือดวงจันทร์ ฉันสิคนบ้า

    ของ ฉัตรรวี เสนธนิสศักดิ์ ผมอ่านรวดเดียวจนจบ พร้อมกับชาเอิร์ลเกรย์ที่พร่องกาและเย็นจืดชืด

    ผมชอบเล่มนี้ และอยากอ่านมานานแล้ว แต่ไม่ได้ซื้อ เพราะเล่มเล็กและราคาแพงเกินไปสำหรับผม จึงเลือกซื้อเล่มอื่นที่สมเหตุสมผลและอยากได้มากกว่าในตอนนั้น ผมจึงเพิ่งมาได้อ่านที่ร้านนี้ เจ้าของร้านก็ใจดี ไม่เข้มงวดเหมือนบางร้านหนังสือ ที่ห้ามเอาหนังสือมาอ่านโดยที่ยังไม่จ่ายเงิน ร้านนี้ให้บรรยากาศเหมือนกับห้องสมุด ผมเริ่มหลงรักร้านหนังสือร้านนี้แล้วสิ

    ผมนั่งจิบชาไปเรื่อยๆ มักพักมีหญิงสาวผมเลยติ่งหูมาหน่อยๆ ผิวนวลสีน้ำผึ้ง นัยน์ตาอิ่มเอิบ สันจมูกโด่งและมีลักยิ้มมุมปาก ผลักประตูร้านเข้ามา สบตากับผม หญิงสาวในชุดนักเรียนเลอะซอสมะเขือเทศ เธอเดินผ่านผมไป กลิ่นน้ำหอมหรือโคโลญ ชำแรกไปรอบตัวเธอ กลิ่นเหล่านั้นโชยเข้าจมูกผม ผมกำซาบและชายตามองหญิงสาว

    “น่าเสียดายที่เกิดช้าไป” ผมคิดในใจ

    สักพักหญิงสาวยกมือไหว้เจ้าของร้าน แล้วพูดว่า “สวัสดีค่ะ พ่อ”

    อ๋อ ลูกเจ้าของร้านนี่เอง ผมคิดในใจ

    พ่อเอื้อมมือไปลูบหัวแล้วถามว่ากินอะไรมาหรือยัง วันนี้เรียนเหนื่อยไหม

    หญิงสาวยิ้มตอบและรับน้ำเย็นจากพ่อมาดื่มอึกใหญ่ ก่อนจะมานั่งโต๊ะตรงข้ามกับผม หยิบสมุดสีน้ำตาล และหนังสือแบบเรียนหนาเตอะ หยิบแว่นสายตากรอบเหลี่ยมขึ้นมาสวม หยิบไอพอดเสียบหูฟังและยัดเข้าในหูของเธอ ราวกับว่าพร้อมออกเดินทางสู่ดินแดนที่อยู่โดยลำพัง

    ผมจิบชาเอิร์ลเกรย์สีขาวขุ่นที่เย็นจืดชืด พลางมองเธอและร่างภาพในหัว

    “โตขึ้นเธอคงจะสวยมากแน่ๆ” ผมคิด พลางมองเจ้าของร้าน

    “เออว่ะ หน้าเหมือนกันจริงๆด้วย” 

    สักพังเสียงกระดิ่งหน้าร้านดังขึ้น ประตูร้านถูกพลักออก ฝรั่งคู่รักวัยกลางคนสองคนนั่นเอง ที่ผมเจอที่ร้านกาแฟ เข้ามาในร้านพร้อมถามหาหนังสือของ มูรากามิ เจ้าของร้านพาไปยังชั้นหนังสือที่อัดแน่นกันอยู่ พลางแนะนำด้วยสำเนียงภาษาอังกฤษแปร่งๆ สำเนียงคล้ายนิวซีแลนด์ เขาคงเคยอยู่ที่นั่นกระมัง ผมคิดในใจ

    ผมนั่งจ่อมอยู่กับกองหนังสือไปเรื่อยๆ จนเวลาล่วงเลยไปถึงสองทุ่ม ผมลุกขึ้นและบิดขี้เกียจ ไล่ความเมื่อยขบ หยิบแจ็กเกตขึ้นสวม พร้อมกล่าวลาเจ้าของร้าน และสัญญาว่าจะแวะมาที่นี่อีก

    ผมเดินกลับทางเดิม ผ่านโรงเรียนสตรีวิทยา เลี้ยวซ้ายผ่านอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยในยามค่ำคืน ช่างมืดมนเหมือนกับประชาธิปไตยในบ้านเราตอนนี้ คืนวันศุกร์รถค่อนข้างติด ผมเดินมาขึ้นรถเมล์ตรงป้ายตรงข้ามกับนิทรรศน์รัตนโกสินทร์ ซึ่งเป็นอาคารสีเหมือนกับหอสมุดเมืองกรุงเทพ

    ผมนั่งรถเมล์สาย ๖๐ ไปลงย่านรามคำแหง ซึ่งเป็นที่พักของผม

    เป็นการสิ้นสุดการเดินทางครั้งนี้ ในค่ำคืนที่อากาศร้อนอบอ้าว.



     
    ผมย่ำเท้าอยู่บนถนนย่านราชดำเนิน เดินผ่านหอสมุดเมืองกรุงเทพที่เพิ่งเปิดใหม่ อาคารสีเหลืองนวล ภายในตกแต่งสง่างาม แต่ภายในกลับมีหนังสือน้อยเสียเหลือเกิน ราวกับเปิดพื้นที่ให้คนมานั่งทำงาน หรือเล่นมือถือ และทำทุกอย่างที่ไม่ใช่การอ่านหนังสือ 

    ผมเดินมาเรื่อยๆจนถึงอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย เลี้ยวซ้ายเจอโรงเรียนสตรีวิทยา หนุ่มสาววัยฮอร์โมนเดือดพล่าน ในชุดนักเรียนคอซอง กำลังเลิกเรียน บ้างนั่งอยู่ในร้านแม็คโดนัลล์ กระจกใสหน้าร้านที่กั้นระหว่างร้านขายแฮมเบอร์เกอร์ กับร้านรถเข็นที่ขายลูกชิ้นปิ้ง มีเด็กๆรุมล้อมแน่นขนัดทั้งสองร้าน ด้วยความหิวโหยหลังเลิกเรียน ช่างเป็นความขัดแย้งด้านชนชั้นเสียจริงๆ

    ผมเดินไปเรื่อยๆ ผ่านร้านขายผ้า ร้านขายน้ำแข็งใส ร้านข้าวหมูกรอบ เลี้ยวซ้ายตรงสะพานวันชาติ แวะทานบะหมี่ต้มยำริมฟุตบาท ทานเสร็จก็เจอร้านกาแฟเล็กๆ ด้านหน้าเป็นประตูไม้สีน้ำตาลลอกล่อน ป้ายร้านสีเหลืองทองเขียนไว้ว่า “Bamsha Café” ในร้านมีนักดนตรีสองสามคน กำลังเล่นกีตาร์กันอยู่ เจ้าของร้านในชุดลายขวางสีน้ำตาล ตัดผมสั้นเกรียน ไว้หนวดและเครารกครึ้ม ยิ้มทักทายผม

    “อเมริกาโน หนึ่งแก้วครับ” ผมสั่งและนั่งลงบนเก้าอี้ไม้

    ในร้านมีลูกค้าสองสามโต๊ะ โต๊ะใกล้ผมเป็นคู่รักฝรั่งวัยกลางคน กำลังตั้งอกตั้งใจฟังเสียงดนตรีในร้าน พลางสูบบุหรี่ มาร์ลโบโร่ พ่นควันและจิบกาแฟเย็นอย่างสบายใจ

    โต๊ะถัดไปเป็นหญิงสาววัยรุ่น ทาปากด้วยลิปสติกสีดำ คะเนจากหน้าตาและทรวดทรงแล้ว อายุคงน่าจะใกล้เคียงกับผม กำลังนั่งพิงพนักเก้าอี้ จิบกาแฟลาเต้เย็น พลางพิมพ์งานบนคอมพิวเตอร์แมคบุ๊ค หน้าตาเธอเคร่งเครียด หน้าผากย่นแต่แก้มแดงระเรื่อ เธอหรี่ตาบ่อยเวลาจ้องหน้าจอ สลับกับจุดบุหรี่กรองทิพย์ขึ้นสูบ ที่เขี่ยบุหรี่ของเธอพูนไปด้วยกองขี้บุหรี่สีเทา สงสัยเธอคงมานั่งพิมพ์งานแต่เช้า บุหรี่ กาแฟเย็น กับหญิงสาว ในวันที่อากาศร้อนจัด ก็ถือว่าเข้ากันได้ดี

    ผมทอดสายตาออกไปนอกหน้าต่าง สักพักกาแฟก็มาเสิร์ฟ อเมริกาโนหอมกรุ่น ไอร้อนลอยฉุยออกจากแก้ว ผมยกขึ้นจิบอย่างผ่อนคลาย กาแฟขมฝาดบาดลิ้น กินกับขนมปังกรอบรสจืดชืด เข้ากันได้ดีอย่างไม่น่าเชื่อ

    นักดนตรีในร้านขับกล่อมเพลงฮิตเมื่อยุค’๙๐ เช่น Oasis , Nirvana , The Beatle ในแบบฉบับอะคูสติก ผมนั่งฟังอย่างผ่อนคลาย ราวกลับหลุดเข้าไปในยุคสมัยนั้น

    หญิงสาวตรงข้ามนั่งสูบบุหรี่อย่างต่อเนื่อง ควันบุหรี่สีเทาลอยอ้อยอิ่งกระทบเพดาน คล้ายดั่งหมอกที่ปกคลุมร้านแห่งนี้ อาจมีบางครั้งที่เราเผลอสบตากัน แต่ก็ไม่ได้ปฏิสัมพันธ์อะไรกัน

    ผมละเลียดกาแฟหยดสุดท้ายในแก้ว วางเงินบนโต๊ะไม้ แล้วหยิบแจ็กเกตยีนส์สีฟ้าที่พาดเก้าอี้ ขึ้นมาสวม ก่อนเดินออกมาจากร้าน ผมเลี้ยวซ้ายเดินไปเรื่อยๆ วันนี้ผมว่างทั้งวัน เลยมาเดินเล่นแถวนี้ 

    ผมเดินมาสะดุดตากับร้านเล็กๆ ด้านหน้ามีม้านั่งและเก้าอี้ไม้วางอยู่ ถัดไปเป็นจักรยานเก่าสีแดงสนิมเขรอะ กระจกหน้าร้านติดโปสการ์ดเต็มกระจก ผมเงยหน้าขึ้นมองป้ายร้าน เขียนไว้ว่า

     “Passport Book Shop ร้านหนังสือเดินทาง”

    เป็นร้านหนังสือนี่เอง ออกจากห้องสมุดแล้วเจอร้านหนังสือ ถือเป็นความรู้สึกที่ดีไม่ใช่น้อย ผมผลักบานประตูเข้าไป เจ้าของร้านชายวัยกลางคนยิ้มทักทาย ผมสั่งชาร้อนใส่นม แล้วมาเลือกหนังสือ

    เป็นร้านหนังสือหนึ่งคูหาที่มีหนังสือเยอะมาก ฝั่งซ้ายเป็นหนังสือเกี่ยวกับการเมืองหรืองานวิจัย ถัดไปเป็นวรรณกรรมแปลวางเป็นชั้นๆ เช่น Murakami , Albert Camus , Franz Kafka ส่วนฝั่งตรงข้ามเป็นหนังสือภาษาอังกฤษของนักเขียนมีชื่อเสียงหลายคนเช่น Orhan Pamuk หรือ Leo Tolstoy ถัดไปข้างๆเป็นวรรณกรรมไทย ทั้งงานนักเขียนใหม่และเก่า มีทั้งรวมเรื่องสั้นหรือนวนิยาย เช่น ชาติ กอบจิตติ , ศิลา โคมฉาย , อุรุดา โควินท์ , วิกรานต์ ปอแก้ว และอีกมากมาย

    หนังสือเยอะเสียจริงๆ ผมอุทานในใจ ผมน่าจะรู้จักร้านนี้ตั้งนานแล้ว ไปอยู่ที่ไหนมา ผมซื้อหนังสือรวมเรื่องสั้นสองเล่ม เธอมองไม่เห็นเส้นขอบฟ้า ของศิลา โคมฉาย นักเขียนซีไรต์ที่ออกเล่มใหม่ในรอบหลายปี กับ อาคเนย์คะนึง ของ อนุสรณ์ ติปยานนท์ ที่ใครๆตั้งฉายาให้ว่า “มูราคามิเมืองไทย” 

    ผมหยิบหนังสือไปจ่ายเงิน เจ้าของร้านห่อหนังสือให้ด้วยกระดาษหอมสีชมพู แทนการใช้ถุงพลาสติก และประทับตายางที่มีชื่อร้านตรงกลาง เป็นอันเสร็จสิ้นการซื้อขาย

    ผมนั่งโต๊ะตรงกลางร้าน สักพักเจ้าของร้านยกชาร้อนมาเสิร์ฟ ชาเอิร์ลเกรย์หอมกรุ่น ในกาสีขาวขุ่น เสิร์ฟพร้อมกับนมสดในแก้วเล็กๆ และน้ำตาลกรวด ผมเทนมและตักน้ำตาลกรวดสองช้อนใส่ในกา คนอย่างหยาบๆสองสามรอบ ก่อนที่จะปิดฝา 

    ในร้านมีลูกค้าประปราย ข้างๆผมเป็นวัยรุ่นผมยาว หน้าละม้ายคล้ายนักร้องวง Ten To Twelve กำลังนั่งพิงเก้าอี้ และนั่งอ่านเรื่อง Moby Dick ของ Herman Melville พลางกำลังบ่นว่า

    “อ่านมาถึงหน้าสองร้อยแล้ว ยังไม่เจอปลาวาฬสักตัว” เขาพูดและยกกาแฟขึ้นจิบ แล้วก็ก้มหน้าก้มตาอ่านต่อไป

    ผมหยิบรวมเรื่องสั้นเล่มหนึ่งมาอ่าน เล่มเล็กพอดีมือ หน้าปกสีดำตกแต่งด้วยรูปภาพซ้อนทับกัน รูปโลก ดวงจันทร์ ชายหรือหญิงเปลือย ช่อดอกไม้ และกระดาษที่ถูกขยำ หนังสือเล่มนี้มีชื่อว่า Lunar Lunatic คุณคือดวงจันทร์ ฉันสิคนบ้า

    ของ ฉัตรรวี เสนธนิสศักดิ์ ผมอ่านรวดเดียวจนจบ พร้อมกับชาเอิร์ลเกรย์ที่พร่องกาและเย็นจืดชืด

    ผมชอบเล่มนี้ และอยากอ่านมานานแล้ว แต่ไม่ได้ซื้อ เพราะเล่มเล็กและราคาแพงเกินไปสำหรับผม จึงเลือกซื้อเล่มอื่นที่สมเหตุสมผลและอยากได้มากกว่าในตอนนั้น ผมจึงเพิ่งมาได้อ่านที่ร้านนี้ เจ้าของร้านก็ใจดี ไม่เข้มงวดเหมือนบางร้านหนังสือ ที่ห้ามเอาหนังสือมาอ่านโดยที่ยังไม่จ่ายเงิน ร้านนี้ให้บรรยากาศเหมือนกับห้องสมุด ผมเริ่มหลงรักร้านหนังสือร้านนี้แล้วสิ

    ผมนั่งจิบชาไปเรื่อยๆ มักพักมีหญิงสาวผมเลยติ่งหูมาหน่อยๆ ผิวนวลสีน้ำผึ้ง นัยน์ตาอิ่มเอิบ สันจมูกโด่งและมีลักยิ้มมุมปาก ผลักประตูร้านเข้ามา สบตากับผม หญิงสาวในชุดนักเรียนเลอะซอสมะเขือเทศ เธอเดินผ่านผมไป กลิ่นน้ำหอมหรือโคโลญ ชำแรกไปรอบตัวเธอ กลิ่นเหล่านั้นโชยเข้าจมูกผม ผมกำซาบและชายตามองหญิงสาว

    “น่าเสียดายที่เกิดช้าไป” ผมคิดในใจ

    สักพักหญิงสาวยกมือไหว้เจ้าของร้าน แล้วพูดว่า “สวัสดีค่ะ พ่อ”

    อ๋อ ลูกเจ้าของร้านนี่เอง ผมคิดในใจ

    พ่อเอื้อมมือไปลูบหัวแล้วถามว่ากินอะไรมาหรือยัง วันนี้เรียนเหนื่อยไหม

    หญิงสาวยิ้มตอบและรับน้ำเย็นจากพ่อมาดื่มอึกใหญ่ ก่อนจะมานั่งโต๊ะตรงข้ามกับผม หยิบสมุดสีน้ำตาล และหนังสือแบบเรียนหนาเตอะ หยิบแว่นสายตากรอบเหลี่ยมขึ้นมาสวม หยิบไอพอดเสียบหูฟังและยัดเข้าในหูของเธอ ราวกับว่าพร้อมออกเดินทางสู่ดินแดนที่อยู่โดยลำพัง

    ผมจิบชาเอิร์ลเกรย์สีขาวขุ่นที่เย็นจืดชืด พลางมองเธอและร่างภาพในหัว

    “โตขึ้นเธอคงจะสวยมากแน่ๆ” ผมคิด พลางมองเจ้าของร้าน

    “เออว่ะ หน้าเหมือนกันจริงๆด้วย” 

    สักพังเสียงกระดิ่งหน้าร้านดังขึ้น ประตูร้านถูกพลักออก ฝรั่งคู่รักวัยกลางคนสองคนนั่นเอง ที่ผมเจอที่ร้านกาแฟ เข้ามาในร้านพร้อมถามหาหนังสือของ มูรากามิ เจ้าของร้านพาไปยังชั้นหนังสือที่อัดแน่นกันอยู่ พลางแนะนำด้วยสำเนียงภาษาอังกฤษแปร่งๆ สำเนียงคล้ายนิวซีแลนด์ เขาคงเคยอยู่ที่นั่นกระมัง ผมคิดในใจ

    ผมนั่งจ่อมอยู่กับกองหนังสือไปเรื่อยๆ จนเวลาล่วงเลยไปถึงสองทุ่ม ผมลุกขึ้นและบิดขี้เกียจ ไล่ความเมื่อยขบ หยิบแจ็กเกตขึ้นสวม พร้อมกล่าวลาเจ้าของร้าน และสัญญาว่าจะแวะมาที่นี่อีก

    ผมเดินกลับทางเดิม ผ่านโรงเรียนสตรีวิทยา เลี้ยวซ้ายผ่านอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยในยามค่ำคืน ช่างมืดมนเหมือนกับประชาธิปไตยในบ้านเราตอนนี้ คืนวันศุกร์รถค่อนข้างติด ผมเดินมาขึ้นรถเมล์ตรงป้ายตรงข้ามกับนิทรรศน์รัตนโกสินทร์ ซึ่งเป็นอาคารสีเหมือนกับหอสมุดเมืองกรุงเทพ

    ผมนั่งรถเมล์สาย ๖๐ ไปลงย่านรามคำแหง ซึ่งเป็นที่พักของผม

    เป็นการสิ้นสุดการเดินทางครั้งนี้ ในค่ำคืนที่อากาศร้อนอบอ้าว.


Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in