ชายผู้หนึ่งนั่งอยู่ในห้องรับรองของท่าหญิงแห่งทะเลสาบ เขาเป็นชายหนุ่มผิวคล้ำ รูปร่างไม่สูงไม่เตี้ย แต่งกายด้วยเสื้อผ้าแปลกตาของคนต่างถิ่น และปกปิดดวงตาข้างหนึ่งไว้ด้วยเรือนผมสีดำสนิท
ตรงข้ามเขามีสตรีสูงศักดิ์ผู้หนึ่งนั่งอยู่บนแท่นที่นั่งประธาน เจ้าหล่อนเชื้อเชิญให้นักเล่านิทานผู้เป็นแขกของตนจิบชา และทำตัวตามสบาย ก่อนเอ่ยเข้าประเด็นที่เชิญนักเล่านิทานแปลกประหลาดผู้นี้มาสู่ปราสาทของตน
"ข้าเคยได้ยินเรื่องเล่าเกี่ยวกับนักเล่านิทานตาบอดผู้หนึ่ง" นางว่าพลางมองถ้วยชาในมือตนอย่างอ้อยอิ่ง
"เรื่องนั้นเล่าว่าเขาเป็นชายผู้เป็นลูกของราชา เคยต้องคำสาปจากปิศาจ เคยได้รับพรประหลาดจากห้วงสมุทร ทั้งยังเคยร่วมสงครามศักดิ์สิทธิ์ของมนุษย์และปิศาจ...อันที่จริงนักเล่านิทานผู้เก่งกล้านั่นยังทำอะไรอีกหลายอย่าง แต่ข้าขี้เกียจจะไล่ให้เจ้าฟัง..." ท่านหญิงเจ้าของปราสาทเอ่ย ดวงเนตรงามเลื่อนขึ้นมาสบกับดวงตาที่มีอยู่เพียงข้างเดียวของบุรุษผู้เป็นแขกของตน ก่อนเอ่ยถามด้วยเสียงราบเรียบเรื่องราวกับพูดคุยเรื่องลมฟ้าอากาศ หากแฝงไว้ด้วยความจับผิดจริงจัง
"เจ้าคือนักเล่านิทานคนที่ว่านั่นใช่หรือไม่" เธอถาม มองไปยังนักเล่านิทานด้วยแววตาจับผิดสงสัย
นักเล่านิทานหนุ่มสบตอบดวงเนตรจริงจังขุดค้นนั่น ก่อนตอบกลับด้วยรอยยิ้มสดใสอารมณ์ดี
"เป็นข้าเองที่เล่าเรื่องเหล่านั้น"
"เจ้ารู้หรือเปล่าว่ามีคนเอาเรื่องที่เจ้าเล่าไปล่ำลือต่างๆนานาถึงขั้นมีการพนันขันต่อกันใหญ่โตว่าเรื่องของเจ้าเรื่องไหนเป็นเรื่องจริงกันแน่" เจ้าหล่อนถามต่อ น้ำเสียงราบเรียบจริงจัง แต่ฝ่ายที่ฟังอยู่นั้นกลับมีท่าทางต่างออกไป ใบหน้าสีน้ำตาลนั้นยกยิ้มเล็กน้อย พลางลูบคางงึมงำอย่างกระหยิ่มยินดี
"นิทานของข้านี่มันดังจริงๆสิน๊า"
เธอมองคนกระหยิ่มใจด้วยใบหน้าไร้อารมณ์ แล้วว่าต่อ
"มีคนมาท้าทายข้าด้วยปริศนาเกี่ยวกับดวงตาของเจ้า ข้าจึงเรียกเจ้ามาในวันนี้"
นักเล่านิทานเลิกคิ้วขึ้นข้าหนึ่ง แล้วแย้มรอยยิ้มให้เธอ
"เช่นนั้นท่านหญิงคงปรารถนาจะฟังนิทานเกี่ยวกับมัน" นักเล่านิทานยกมือขึ้นสัมผัสดวงตาข้างที่ถูกปกปิดไว้ของตน
"นี่คือเรื่องที่ข้าได้ฟังมา" เขาเกริ่น
สตรีผู้สูงศักดิ์มุ่ยหน้า
"ข้าไม่อยากฟังนิทาน" เธอเอ่ย นักเล่านิทานเพียงตาทำตาแพรวพราว แล้วยกมือขึ้นจุ๊ปากปากเบาๆอย่างยียวน
"ท่านหญิง ท่านเป็นผู้ปรีชา" ชายหนุ่มว่า "ท่านแยกออกอยู่แล้วว่าอันไหนเป็นคำตอบที่ท่านต้องการ และอันไหนเป็นนิทานเพื่อความบันเทิง" เขายิ้ม "หากข้าเป็นเพียงนักเล่านิทาน" นักเล่านิทานว่า "ดังนั้น โปรดให้ข้าได้เล่านิทาน"
"นี่คือเรื่องที่ข้าได้ฟังมา" เขาเกริ่นอีกครั้ง แล้วว่าต่อ "ดังนั้น...หากมันจะมีคำโกหกใดปลอมปนอยู่ในสิ่งที่ข้าเล่า ก็ขอให้พวกท่านรู้ไว้ คำโกหกนั้น ไม่ได้มาจากข้าแต่อย่างใด" ชายหนุ่มกล่าวถ้อยคำอันเป็นธรรมเนียมของพวกนักเล่านิทาน แล้วเริ่มเรื่องของตน
" มาจะกล่าวบทไป เมื่อท่านถามไซร้
ข้านี้จะเล่าแบ่งปัน
เหตุที่ข้าป้อมป้องกัน ดวงตาข้านั้น
จากการประสบพบใคร
เรื่องนี้ต้องเล่าย้อนไป เมื่อข้านั้นได้
ประสบพบท่านแสนงาม
ใจข้าหวั่นไหวครืนคราม หวิวไหววาบหวาม
อยากเข้าปราศรัยทักทาย
ยินมาผู้งามประกาย นิยมท้าทาย
เล่นปริศนาทายกัน
ข้าจึงปิดตาข้านั้น สร้างปริศนาพลัน
เล่าลือให้ขจรจาย
หวังท่านผู้แสนงามได้ สงสัยเพรียกพราย
ให้ข้าคลายปริศนาลง
บัดนี้ข้าสมประสงค์ ได้พบสบตรง
เบื้องหน้าท่านผู้แสนงาม
ข้าจึงจะคลายลุกลาม ปริศนาความ
สู่ท่านด้วยสัตย์ซื่อตรง "
นักเล่านิทานปัดผมขึ้น เผยให้เห็นดวงตาข้างที่เป็นปัญหา มันเป็นดวงตาสีทองแวววาวราวกับได้รับคำอวยพรจากทวยเทพ ในขณะเดียวกันมันก็นิ่งขึงเย็นชาราวกับเป็นส่วนหนึ่งของอำนาจแห่งปิศาจ
ชายหนุ่มปล่อยผมของตนให้ตกลงปิดดวงตานั้นดังเดิม แล้วว่าต่อ
" ตานี้แท้จริงปลดปลง มืดบอดลับลง
ตั้งแต่ข้าเกิดเป็นกาย
แต่มันยังคงพราวพราย วิบวาวมิวาย
ดังเช่นท่านยินข่าวลือ
หากท่านผู้งามระบือ ยังไม่เชื่อถือ
เชิญท่านพิสูจน์โดยตรง
ข้าผู้สัตย์ซื่อดำรง สนองประสงค์
ให้ท่านได้พบสบตา"
----------------------------
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in