ซีรีส์ดำเนินเรื่องอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยในตอนแรกได้เปิดเผยถึงชีวิตพลเรือนอันจุนโฮที่รับจ็อบไปเรื่อยก่อนจะมาเป็นพลทหารอันจุนโฮ เมื่อได้เข้ามาเป็นทหาร ก็อย่างที่กล่าวไปในส่วนแรกว่าอันจุนโฮมีความสามารถที่โดดเด่นจนได้ถูกคัดเข้าหน่วยล่าทหารหนีทหาร ในช่วงสามตอนแรกจะเป็นการสืบเบาะแสและตามตัวทหารแต่ละคนที่มีปัญหาและเหตุผลแตกต่างกันออกไป
ระหว่างทางที่เราได้ร่วมสืบไปกับสองสมาชิกทีมดีพี จะได้สัมผัสถึงเคมีและความเป็นพ่อลูก(ที่อายุห่างกันไม่เท่าไหร่)ระหว่างจุนโฮและโฮยอล แม้จะได้ขำไปกับความทะเล้นและคำพูดคำจาของโฮยอล แต่เมื่อดูไปเรื่อย ๆ เราจะเห็นว่าจุนโฮเองก็ได้เรียนรู้อะไรบางอย่างจากประสบการณ์ที่สั่งสมมาของโฮยอล เรียกได้ว่าเป็นคู่หูที่คอยซัพพอร์ตกันแบบน่ารักและอบอุ่นมาก
นอกจากการตามล่าทหารที่หนีไปแล้ว ซีรีส์ชุดนี้ยังตีแผ่ความรุนแรงและการกลั่นแกล้งภายในกรมทหารเกาหลีที่มีมาอย่างยาวนาน ไม่เพียงแต่ตีแผ่การกระทำต่อเหล่าพลทหารเท่านั้นยังรวมถึงสวัสดิการและการกดขี่พลทหารชั้นผู้น้อยอีกด้วย
เรื่องราวเริ่มเข้มข้นเมื่อเข้าสู่ตอนที่สี่ของซีรีส์ชุดนี้ เป็นตอนที่เริ่มรู้สึกถึงความตึงเครียด ความหดหู่ ความรู้สึกอึดอัด (อันที่จริงผู้เขียงเองก็เริ่มสัมผัสได้ตั้งแต่ตอนที่สามบ้างแล้ว) ตลอดจนความคับแค้นและความเห็นใจให้แก่ตัวละครในเรื่อง ซึ่งต้องบอกว่าในตอนสุดท้ายนั้นค่อนข้างจะหนักหน่วงใจมากเลยทีเดียว
หากเราย้อนกลับมามองอีกที ซีรีส์เรื่องนี้ไม่เพียงแต่สะท้อนถึงปัญหาที่เกิดขึ้นในกองทัพอย่างเดียวเท่านั้น เพราะว่าในช่วงเวลานี้ ที่โรงเรียน สถานศึกษา ที่ทำงาน หรือแม้กระทั่งในครอบครัวก็ยังคงมีปัญหาการกลั่นแกล้ง การทำร้ายร่างกาย ไม่ว่าจะทางวาจาหรือทางกายก็ตาม แต่ความจริงที่ทุกคนรู้อยู่แก่ใจคือผู้คนมากมายยังคงมีบาดแผลจากเหตุการณ์เหล่านี้ทั้งนั้น
ปัญหาเหล่านี้ยังคงฝังรากลึกอยู่ในสังคมปัจจุบันที่พวกเราอาจเมินเฉยจนอาจทำให้มนุษย์คนหนึ่งที่มีชีวิตและจิตใจเหมือนกับเราต้องมีชีวิตอยู่อย่างเจ็บปวดอย่างแสนสาหัส
จะต้องรอให้เรารู้สึกผิิดและเกลียดตัวเองเหมือนอันจุนโฮในตอนสุดท้ายก่อนหรือเปล่า หรือต้องรอให้มีชีวิตใครสักคนพังทลายต่อหน้าต่อตาเราถึงจะช่วยกันยุติปัญหาเหล่านี้ได้
พูดถึงตัวละคร (มีการเปิดเผยเนื้อเรื่องบางส่วนในซีรีส์)
นอกจากบทที่สะท้อนถึงปัญหาภายในสังคมแล้วนั้น ผู้เขียนเองก็อยากจะพูดถึงตัวละครที่ยังคงติดค้างอยู่ในใจแม้จะดูซีรีส์จบไปแล้ว สองตัวละครที่ผู้เขียนอยากจะกล่าวถึงก็คือ อันจุนโฮ ผู้แบกความรู้สึกจากการเมินเฉย และโจซอกบง เหยื่อผู้ที่ไม่เคยได้รับความยุติธรรม
อันจุนโฮ-โจซอกบง
เชื่อว่าทุกคนที่ได้ดูซีรีส์เรื่องนี้แล้วจะรับรู้ถึงความรู้สึกผิดหวังและโกรธตัวเองของอันจุนโฮได้ตั้งแต่ตอนแรก ด้วยความอ่อนประสบการณ์และด้วยความละเลยของอันจุนโฮในตอนแรกทำให้ทหารหนีค่ายเคสแรกได้จบชีวิตตนเองลงอย่างน่าสลด ลึก ๆ แล้วจุนโฮเองก็รู้อยู่แก่ใจว่าเป็นส่วนหนึ่งในการทำให้พลทหารรายนั้นเสียชีวิต แต่ยิ่งผู้ปกครองหน่วยอย่างพัคบอมกูมาตอกย้ำยิ่งทำให้อันจุนโฮยิ่งมีความรู้สึกหนักอึ้งติดอยู่ในใจตลอดมา
เมื่อถึงเรื่องของซอกบง รุ่นพี่ทหารที่แสนใจดี คอยดูแลจุนโฮอยู่ตลอดนั้น ในเรื่องเราจะเห็นฉากที่ซอกบงทำความสะอาดรองเท้าให้จุนโฮก็จะได้กลับไปพักผ่อนนอกค่าย ซอกบงได้ฝากจุนโฮซื้อปากกาสีเพื่อมาวาดรูป แต่สุดท้ายแล้วจุนโฮก็ไม่ได้ซื้อกลับมาให้เพราะเกิดเรื่องราวมากมาย จึงทำให้ซอกบงหันไปทำร้ายร่างกายพลทหารรุ่นน้องเพื่อระบายอารมณ์
ฉากต่อมาเป็นฉากที่จุนโฮไม่เข้าใจในการกระทำของซอกบงและได้ขอให้ซอกบงหยุดทำร้ายพลทหารรุ่นน้อง ในตอนนั้นเองซอกบงก็ได้พูดออกมาว่าจุนโฮไม่มีทางเข้าใจความรู้สึกหรอก และนั่นยิ่งตอกย้ำความรู้สึกที่เริ่มก่อตัวขึ้นมาในใจของซอกบงว่าแม้แต่จุนโฮเองก็ไม่สามารถช่วยเขาได้เลย ความรู้สึกโกรธ อับอาย และไม่ยุติธรรมที่ตนเองต้องโดนอยู่เพียงคนเดียว ความรู้สึกคับแค้นที่ตนนั้นไม่สามารถทำอะไรเพื่อตัวเองได้และไม่มีใครที่คิดจะทำเพื่อช่วยตนเองเหมือนกัน
ยังไม่จบเพียงเท่านั้น ในฉากที่สุดท้ายที่อุโมงค์รถไฟก่อนที่ซอกบงจะเลือกทางเลือกของตัวเอง มีคำพูดหนึ่งที่ทำให้คนดูจะต้องรู้สึกจุกในอกอย่างแน่นอน ผู้เขียนเชื่อว่าผู้ชมทุกคนที่ได้ดูฉากนี้คงจะต้องรู้สึกเช่นเดียวกันอย่างแน่นอน เพราะความรู้สึกนี้เราสัมผัสและแบกรับมันผ่านตัวละครอันจุนโฮมาตั้งแต่ตอนที่ 1 และถูกตอกย้ำจนจุกในตอนสุดท้าย
โดยส่วนตัวแล้วผู้เขียนคิดว่าซีรีส์ได้เล่าผ่านมุมมองของอันจุนโฮมาตั้งแต่ต้นเรื่อง จึงทำให้เราได้รับความรู้สึกของอันจุนโฮมาอย่างเต็ม ๆ เมื่อถึงฉากประโยคด้านบนนั้นมันยิ่งยากที่จะปฏิเสธว่าไม่เป็นความจริง และหากเรามองในมุมของซอกบงแล้วมันดูเหมือนว่าทุกคนพยายามช่วยผู้กระทำจริง ๆ ในขณะที่ผู้ถูกกระทำอย่างตนเองแทบจะไม่อยากมีชีวิตอยู่อีกต่อไป ถึงอย่างนั้นแล้วทุกคนก็ยังทำเหมือนว่าตนเองทำผิดอย่างมหันต์
ซีรีส์ได้ถ่ายทอดถึงความรู้สึกที่ทุกคนเองต่างก็รู้ว่าซอกบงไม่ใช่คนผิด อย่างตอนที่นายทหารใหญ่ได้สั่งกำลังติดอาวุธไปไล่ล่าซอกบง แต่พลทหารเกิดความลังเลใจและถกเถียงกันว่าพวกเขาควรทำแบบนี้กับซอกบงหรือ เพราะทุกคนรับรู้มาตลอดว่าซอกบงนั้นคือผู้ถูกกระทำต่างหาก เขาไม่สมควรได้รับการปฏิบัติเช่นคนผิดอย่างนี้ (แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าความรุนแรงหรือการฆ่ากันจะเป็นทางออกที่ดี แต่ ณ เวลานั้นถ้าเราเป็นซอกบงเราคงสติหลุดเหมือนกัน)
แต่แล้วซอกบงก็เลือกที่จะปลิดชีวิตตนเองต่อหน้าทุกคนที่เมินเฉยต่อความเจ็บปวดของเขาเพราะความละอายใจต่อลูกศิษย์และตนเอง มันเป็นฉากที่สร้างอิมแพ็คต่อใจคนดูมาก ๆ ตัวละครจุนโฮ โฮยอล และบอมกูเองก็ช็อคเพราะตนก็คิดแต่จะช่วยซอกบงเท่านั้น คนดูเองก็ช็อคเพราะเข้าใจทั้งสองฝ่าย ฝ่ายนึงก็เจ็บปวดอย่างสาหัส อีกฝ่ายก็ไม่อยากให้คนที่ตนเคารพทำในสิ่งที่ไม่ดี แต่มันสายไปเสียแล้วในตอนที่จิตใจเขาพังไม่เป็นท่า
ในตอนจบ ผู้เมินเฉยเองหากยังมีสำนึกคิดก็คงหนีไม่พ้นความรู้สึกที่ตนเองนั้นได้เป็นส่วนหนึ่งของเรื่องราวอันเลวร้ายที่เกิดขึ้น เราไม่รู้ว่าสุดท้ายแล้วอันจุนโฮเดินออกไปไหน หนีทหาร หรือไปแก้ไขอะไรให้มันดีขึ้น แต่ยังไงซะก็ยังมีคนที่ไม่ได้ความยุติธรรมอยู่ต่อไปเรื่อย ๆ หากไม่มีการรื้อและปฏิรูประบบใหม่
_____________________________________________________________________________________________________
ไม่อยากให้ทุกคนพลาดซีรีส์น้ำดีอีกเรื่องหนึ่งของปี 2021 เพราะซีรีส์เรื่องนี้ยังมีอีกหลายประเด็นและรายละเอียดยิบย่อยที่อาจไม่ได้หยิบมาพูดถึง แต่หากทุกคนได้ลองดูจนจบแล้วล่ะก็คงจะได้นั่งครุ่นคิดกับตัวเองในใจอีกหลายประเด็นอย่างแน่นอน!
ผู้เขียนยิ่งดูก็ยิ่งรู้สึกโกรธและหดหู่มากในตอนท้าย ๆ เพราะสิ่งที่ตัวละครตอนท้ายถูกกระทำมาตลอดมันเกิดกว่าที่คนคนนึงจะรับไหว ถึงจะรับไหวก็ไม่มีใคร ไม่เลยสักคนที่สมควรได้รับการปฏิบัติเช่นนี้ ยิ่งดูยิ่งแค้นใจ โมโห และเสียใจ
ใครที่ได้ดูแล้วมีความคิดเห็นหรือตีความต่างกันอย่างไร คอมเมนต์มาคุยและติชมการรีวิวนี้ได้เลยนะคะ อาจมีบางส่วนเองที่ผู้เขียนอาจบกพร่องไปอยากฟังความคิดเห็นจากทุกคนเช่นกันค่ะ
ขอทิ้งท้ายไปด้วยภาพเบื้องหลังเคมีและความน่ารักของนักแสดงคูคโยฮวานและจองแฮอินแล้วกันค่ะ ><
ปล. หากใครที่คิดกำลังจะไปดู อย่าลืมดูเอนเครดิตให้ครบจนวินาทีสุดท้ายของอีพี 6 เลยนะคะ!
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in