เอางี้ก่อนนะ ต้องบอกก่อนเลยว่าเราเป็นคนหนึ่งที่เพื่อนๆหลายคนชอบมาถาม ชอบมาขอคำปรึกษาเรื่องต่างอยู่บ่อยๆ มีทั้งเพื่อนที่สนิทบ้างหรือบางคน...จะว่าไงดีก็คือเป็นเพื่อนในรุ่นเดียวกัน มาขอคำปรึกษาเราบ้าง แน่ล่ะส่วนมากจะเป็นเรื่องเรียนเป็นส่วนใหญ่ ก็แหม่ทุกวันนี้เรื่องเรียนนี่มันทำให้เด็กหลายๆคนเครียดจนจบตัวเองมาหลายรายแล้ว และแน่นอนเราไม่อยากให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นกับ
เพื่อนๆของเราแน่นอนไม่ว่าจะเป็นเพื่อนที่สนิทหรือไม่สนิทก็ตาม จนมีอยู่วันหนึ่งเราก็มีเพื่อนมาระบายเรื่องราวบางเรื่องให้ฟังแล้วก็ขอความคิดเห็น ขอคำปรึกษากลับไป นั่นแหละเป็นวันแรกเลยที่ทำให้เรานึกถึงเรื่องนี้ เรื่องของ คนที่ให้คำปรึกษา
เข้าเรื่องกันเลยดีกว่าเนอะ คนที่ให้คำปรึกษาคนอื่น หรือคนที่คอยรับฟังคนอื่น สำหรับเราแล้วเราคิดว่าเขาก็คงต้องเป็นคนที่มีมุมมองหนึ่ง ที่สามารถเป็นกำลังใจให้ผู้ที่มาขอคำปรึกษาได้หรืออาจจะให้กำลังใจ และรับฟังผู้อื่นได้ดี แต่ในปัจจุบันนี้บอกเลยว่ามันมีเรื่องให้เครียดเยอะมากกกกก ไม่ว่าจะเป็นในรุ่นไหน วัยไหน ก็มีเรื่องให้เครียดอยู่ดี ไม่ว่าจะเป็นวัยเรียนที่มีการแข่งขันกันสูงอยู่ในปัจจุบัน เราจะเข้าโรงเรียนที่หวังไว้ได้ไหม เราจะเข้ามหาลัยนี้ได้หรือเปล่า บางคนกำลังจะเรียนจบก็เครียดว่าจะทำงานอะไรดี จะมีงานรึเปล่า พอเข้าช่วงทำงานใหม่ๆ ก็คิดอีกว่าเราจะเจอเพื่อนร่วมงานยังไง สภาพแวดล้อมในบริษัทที่จะไปทำงานมันดีต่อเราไหม หรือบางคนเครียดเรื่องเงินเดือนที่ได้และเรื่องหัวหน้าต่างๆนาๆ พอเข้าวัยชราเท่าที่เห็นได้จากคุณยายของเรา ตอนนี้ท่านจะกังวลเรื่องสุขภาพ เวลาอยู่บ้านถ้าเห็นโฆษณายาบำรุงหรืออาหารเสริมก็จะจดชื่อไว้แล้วมาให้เราดู ให้หาข้อมูล และถามความคิดเห็นว่าคิดยังไงบ้าง มันก็เลยทำให้เรามั่นใจขึ้นว่า ทุกวัยต้องการคนให้คำปรึกษาและต้องการใครสักคนที่คอยรับฟังปัญหาของพวกเขา
แต่ในทางกลับกัน คนที่คอยให้คำปรึกษาคนอื่นเนี่ยนะ ก็ต้องการคนที่มาคอยรับฟังเขาบ้าง เพราะก็ไม่ใช่ทุกคนที่จะจัดการกับปัญหาที่พบเจอได้ เรายังเชื่อในประโยคที่ว่า สำหรับคนบางคนที่คอยให้คำปรึกษา คอยแก้ปัญหาให้คนอื่นได้ แต่สำหรับปัญหาของตัวเองกลับหาทางแก้ปัญหาไม่ได้ บางทีเราว่ามันไม่ใช่ว่าเขาแก้ปัญหาให้ตัวเองไม่ได้ แต่ตอนนั้นเขากำลังต้องการใครสักคนมาคอยรับฟังเขามากกว่า ถ้าเขาได้ระบายออกมาหรือได้เล่าให้ใครสักคนฟังเขาก็อาจจะแก้ปัญหานั้นก็ได้ คนที่ให้คำปรึกษาเก่ง บางเวลาเขาก็ต้องกาารคนที่จะมารับฟังเขาบ้างเหมือนกัน เพราะฉะนั้นเราว่าทั้งผู้ให้คำปรึกษา,ผู้รับฟัง และผู้ที่มาขอคำปรึกษา ทั้งสองฝ่ายต้องผลัดกันสลับบทบาทของตัวเองบ้าง ในบางสถานการณ์ที่อีกฝ่ายต้องการใครสักคน ที่เป็นผู้ให้คำปรึกษาหรือผู้ฟังที่ดี ไม่ใช่ว่าผู้ที่มาขอคำปรึกษาบางคนหลังจากที่ตัวเองได้ทางออกของปัญหานั้นแล้ว เราจะลืมคนที่คอยให้กำลังใจหรือให้คำปรึกษาอยู่ข้างๆ เพราะถ้าเป็นแบบนั้นแล้วเราคิดว่าหากเกิดขึ้นกับเรา เราคงจะเสียใจมากเพราะในวันที่เราหาทางออกของปัญหาไม่ได้ เราต้องการใครสักคนที่มาอยู่ข้างๆคอยรับฟังและให้คำปรึกษาเรากลับไม่มีใครสักคนเลย มันคงจะเป็นอะไรที่แย่แน่ๆ
และการที่เราพิมพ์เรื่องนี้ขึ้นมาเพราะอยากให้ทุกคนได้เห็นในมุมมองที่แตกต่างออกไป และอยากให้ทุกคนรู้ว่า คนที่คอยแก้ปัญหาให้คนอื่นคนที่คอยรับฟังและให้คำปรึกษาคนอื่น ไม่ใช่ว่าเขาไม่ต้องการใครสักคนมาคอยรับฟังปัญหาของเขาบ้าง ทั้งสองฝ่ายสามารถสลับบทบาทของกันและะกันได้คอยเป็นกำลังใจให้กันและกันได้
สุดท้ายนี้ หากใครยังหา คนที่ให้คำปรึกษาไม่ได้หรือยังหาคนที่คอยรับฟังไม่ได้ คนในครอบครัวคือคำตอบที่ดีที่สุดค่ะ สำหรับเราแล้วคนในครอบครัว คือคนที่คอยให้คำปรึกษาและรับฟังปัญหาของเราได้ดีค่ะและยังคอยเป็นกำลังใจให้เราด้วย หากตอนนี้ใครกำลังเจอปัญหาอยู่เราเอาใจช่วยนะคะแล้วเราจะผ่านปัญหาต่างไปได้ค่ะ
.
.
.
.
.
.
ทุกอย่างที่เราพิมพ์มาเราเจอกับตัวเองมาค่ะ เราไม่รู้ว่ามันไปขัดกับหลักอะไรบ้างหรือเปล่า เราแค่อยากเสนอมุมมองอีกมุมหนึ่งเท่านั้น
ขอบคุณที่อ่านจนจบนะคะ
ประโยคที่เจ้าของห้องยกมาว่า"สำหรับคนบางคนที่คอยให้คำปรึกษา คอยแก้ปัญหาให้คนอื่นได้ แต่สำหรับปัญหาของตัวเองกลับหาทางแก้ปัญหาไม่ได้ บางทีเราว่ามันไม่ใช่ว่าเขาแก้ปัญหาให้ตัวเองไม่ได้ แต่ตอนนั้นเขากำลังต้องการใครสักคนมาคอยรับฟังเขามากกว่า ถ้าเขาได้ระบายออกมาหรือได้เล่าให้ใครสักคนฟังเขาก็อาจจะแก้ปัญหานั้นก็ได้" ตรงส่วนนีี้เราขอขยายความเพิ่มสักเล็กน้อยจากประสบการณ์ของเราเองนะ ซึ่งเรามองว่าประโยคนี้ต้องการจะสื่อว่า การที่เราไม่สามารถแก้ปัญหาได้ มันเกิดจากว่าเวลาเราประสบปัญหามันมีข้อเท็จจริงหลายอย่างมาเป็นปัจจัยสำคัญต่อการคิดตัดสินปัญหาเราด้วย ที่ทำให้เราไม่สามารถที่จะมองต้นตอของปัญหาให้เป็นกลางหรือตรงจุดได้ ปัจจัยสำคัญก็เช่น อารมณ์และความรู้สึก เป็นต้น และการที่เราต้องการคนมาค่อยรับฟังนั่นก็เพื่อที่เราจะได้คิดทบทวนปัญหาเหล่านั้นใหม่อีกรอบ โดยการเอาพวกอารมณ์ ความรู้สึกออกมาตีแผ่แล้วพิจารณาดูมันอย่างถี่ถ้วนอีกครั้ง ซึ่งเมื่อทำเช่นนั้นแล้วเราก็จะสามารถจัดการกับปัญหาที่เกิดขึ้นได้ นี้เองจึงเป็นที่มาว่าทำไมในเมื่อเรารู้อยู่แล้วจึงยังต้องการคนมารับฟังเราบ้าง
และนอกจาก "คนในครอบครัว"แล้วที่ถือว่าเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับใครหลายๆคน เจ้าของห้องก็คงไม่ได้หมายความว่าทางเลือกอื่นจะไม่ดีเท่านะ มันขึ้นอยู่กับว่าเราสบายใจและโอเคกับแบบไหนมากกว่ากัน เพียงแต่ว่าถ้าท้ายที่สุดแล้วเราไม่เหลือทางเลือกอื่นแล้ว การย้อนกลับมามองคนใกล้ตัวอย่างคนในครอบครัวก็ดูจะเป็นทางเลือกที่ดีเช่นกัน