"ท่านลุง~ ลุงสี่~"
เจิ้งเยี่ยนร้องเรียกเจ้าของห้องชั่วคราว มือผลักประตูเข้ามาอย่างถือวิสาสะ
แน่นอน… เพราะที่นี่มิใช่วังหลวง
แต่คือห้องใต้ดินในเรือนชาวบ้านนอกตัวเมืองเจียงโจว และวันนี้คงไม่มีผู้คนใคร่ใส่ใจอยากรู้ว่าทำไมสี่มือสังหารจึงคอยเทียวไปเทียวมาเข้าออกบ้านเรือนเก่าๆ หลังหนึ่งมากนัก เพราะขณะนี้ทั้งเมืองเจียงโจวกำลังโศกเศร้า ชาวประชาร่ำไห้ไว้ทุกข์ให้อดีตจักรพรรดิหลี่เยี่ยนชิวเป็นเวลาล่วงเข้าครึ่งขวบเดือนแล้ว...
หลี่เยี่ยนชิวเอนกายอยู่บนตั่งในห้องพักชั่วคราว พระหัตถ์ประคองตำราเล่มหนึ่งไม่หนาไม่บาง หน้าปกสีน้ำเงินสดดูฉูดฉาด นามผู้ประพันธ์เขียนด้วยหมึกสีทองอร่าม งดงามอ่อนช้อย แต่อักษรพู่กันสีแดงที่เป็นชื่อเรื่องกลับตวัดตัดกันไปมาวุ่นวายฉวัดเฉวียน เจิ้งเยี่ยนมองแล้วคิดในใจว่าช่างน่าเวียนหัวเสียจริง…
พระพักตร์หลี่เยี่ยนชิวละจากตัวอักษรบนกระดาษ ปรายพระเนตรขึ้นมองไปทางเจิ้งเยี่ยนเล็กน้อย ลูกแก้ววาววับสีเมฆายังคงฉายแววเรียบเฉยเย้ยหยันอยู่เป็นนิจ ริมโอษฐ์เหยียดออกรับสั่งถามสุรเสียงชืดชา
"เจ้าเรียกผู้ใด…"
เจิ้งเยี่ยนนัยน์ตาแพรวพราว เม้มปากกลั้นยิ้มนิดหนึ่งก่อนสืบเท้าเข้าหาตั่งประทับ มือซ้ายค่อยๆ ประคองถ้วยใบหนึ่งวางลงบนโต๊ะเล็ก ท่วงท่าพลิ้วไหวดุจสายน้ำ ขยับกายโดยมิได้ละสายตาจากพระพักตร์หลี่เยี่ยนชิวเลยแม้ชั่วครู่ พลางเอ่ยถามด้วยสีหน้าหยอกเย้า
"มิโปรดให้ 'หลาน' ผู้นี้ เรียกว่า 'ลุง' หรือ..."
พระพักตร์หลี่เยี่ยนชิวยามนี้แม้คนตาบอดก็ยังเดาออกว่าคำตอบคือ
'มิโปรดเป็นอย่างมาก'
จริงอยู่... ที่เจิ้งเยี่ยนมีศักดิ์เป็นลูกชายขององค์หญิงห้า... ตามหลักแล้วเขาก็สามารถเรียกอดีตอ๋องสี่ว่าท่านลุงได้ แต่ความสัมพันธ์ของทั้งสองในขณะนี้ หลี่เยี่ยนชิวย่อมมิโปรดให้บุรุษของตนเรียกพระองค์ด้วยสรรพนามสูงวัยเช่นนี้เป็นแน่...
"เจิ้งเยี่ยน..."
พระหัตถ์หลี่เยี่ยนชิวหับปิดหนังสืออย่างไร้สุ้มเสียง มีเพียงเสียงถอนหายใจยืดยาวเท่านั้นที่บ่งบอกราชองครักษ์ข้างพระวรกายว่าบุรุษสูงศักดิ์ผู้นี้กำลังขุ่นเคืองพระทัยยิ่ง พระองค์ขยับลุกขึ้นนั่ง ตรัสถามเสียงต่ำ
"...เข้ามาทำอันใด"
เจิ้งเยี่ยนทำใจดีสู้เสือ แย้มยิ้มพราย นิ้วมือข้างหนึ่งชี้จอกยาบนโต๊ะเล็ก นิ้วโป้งอีกข้างจิ้มที่อกตนเอง พลางกระเซ้าตอบ
"มาชวนท่านดื่มยาบำรุงที่อู่ตู๋คิดค้น… คนต้มก็ข้าเอง"
"บอกเจ้ากี่ครั้งแล้ว… ร่างกายข้าแข็งแรงดี"
"โธ่… ท่านลุ--"
หลี่เยี่ยนชิวฟังได้ไม่ถึงครึ่งคำ ก็ตวัดสายพระเนตรคมกริบดุจมีดบินไปทางต้นเสียง ฉับพลันพระหัตถ์ยกขึ้นฉวยข้อมือของเจิ้งเยี่ยน พละกำลังใช้เพียงห้าหกส่วนก็สามารถกระตุกร่างบอบบางให้ลอยหวือมาตกลงบนตัก…
จนยาที่ถือไว้พลางหกราดลงบนเสื้อคลุมของเจิ้งเยี่ยนทั้งตัว...
ประจวบกับพระกรสองข้างยกขึ้นประสานกัน เกิดเป็นกรงแขนขนาดย่อมๆ กักคนไว้ตรงกลางพอดิบพอดี…
ท่อนแขนแข็งแรงพันธนาการให้คนหันหลังพิงพระอุระตึงแน่นที่ตนเพิ่งฝากร่องรอยรักไว้เมื่อคืนวาน...
แก้มเจิ้งเยี่ยนขึ้นสี คนสะบัดหน้าไล่ความคิดชั่ววูบ ฝืนกายดิ้นขลุกขลักแหกปากร้องเสียงหลง… สรรพนามแทนพระองค์ของโอรสสวรรค์ก็พลั้งหลุดเรียกออกมาแล้ว ยิ่งพาลทำให้อ้อมกอดหดแคบลงไปอีก
"อ๊ะ! ฝ่าบาท! ยาหกหมดแล้ว! ปล่อยข้า!"
เพราะถ้าช้ากว่านี้ยาทั้งชามจะซึมลงไปถึงเสื้อชั้นในข้าอยู่แล้วนะ!!!
ปล่อย!!!!!
"เอะอะมะเทิ่ง…" หลี่เยียนชิวขมวดพระขนงมุ่น ริมโอษฐ์ขยับกระซิบเสียงนุ่มอยู่ข้างแก้มขาวที่ขณะนี้ขึ้นสีแดงเรื่อ จากนั้นคลี่ยิ้ม
"ยาหกก็ดี… เจ้าจะได้เลิกขืนใจข้าเสียที"
"พูดอะไร! ผู้ใดขืนใจท่าน!"
"ข้ากล่าวว่าฝืนใจ..." หลี่เยี่ยนชิวบ่ายเบี่ยง ใบหน้าแจ่มใสอดลอบอมยิ้มมิได้ เพราะไม่ว่าจะกี่ครั้งกี่คราวที่คนผู้นี้เริ่มต้นหยอกเย้าพระองค์ เหตุการณ์มักกลับตาลปัตร จบลงด้วยการที่เจิ้งเยี่ยนถูกย้อนรอยกลั่นแกล้งไปเองเสียทุกครา…
แถมกิริยายามนี้ยิ่งมองก็ยิ่งรู้สึกน่ารักน่าเอ็นดู…
เจิ้งเยี่ยนเอี้ยวตัวกลับ นัยน์ตาคู่งามหรี่ลงคาดโทษ ปากร้องโวยวาย
"ท่านแกล้งข้า! ข้าจะชำระแค้น! บอกอู่ตู่จัดยาตำรับใหม่ ให้ขมขึ้นอีกหมื่นเท่า!"
แขนหลี่เยี่ยนชิวเกี่ยวรั้งคนเข้ามาใกล้อีกนิด ก้มลงจูบแก้มนวลฟอดหนึ่ง หัวเราะเบาๆ พลางตรัสถาม
"ขู่ข้าหรือ"
เจิ้งเยี่ยนหน้าแดงก่ำ หลุบสายตา พึมพำเถียงว่า "ข้าพูดจริงทำจริง… ครั้งหน้าจะไม่จัดขนมหวานให้ท่านด้วย"
"แล้วไฉนรางวัลเมื่อครู่จึงหวานล้ำยิ่ง... แม้ยังมิได้ดื่มยาสักนิดหนึ่ง"
รางวัลอันใด!!! แก้มข้าท่านได้มาโดยการปล้นชิงเอาชัดๆ ยังจะมาหยอกเย้าข้าเล่นอีก เห็นข้าเป็นเชลยศึกบ้านท่านที่นึกจะย่ำยีอย่างไรก็ย่อมได้งั้นหรือ!?!
เจิ้งเยี่ยนร้องหึเสียงดัง โทสะอัดอั้นแทบระเบิด ได้แต่ตีอกชกตัวอยู่ในใจมิอาจพูดออกมาดังๆ ได้
หึ! คอยดูเถิด ข้าจะแก้แค้นท่านให้ดู คนแซ่หลี่!! จักรพรรดิสองหน้า!!!
.
.
.
คืนต่อมา
"ท่านลุง~ ดื่มยาบำรุงเถิด"
เจิ้งเยี่ยนร้องเรียกหลี่เยี่ยนชิวเสียงใส ในมือถือโอสถชามใหญ่เข้ามาในห้อง
"ข้าไม่ดื่ม" หลี่เยี่ยนชิวปฏิเสธเรียบๆ อ่านหนังสือสืบต่อ พระพักตร์ไม่แม้แต่จะผินขึ้นมอง
"โอสถตำรับนี้เพิ่มพลังหยาง บำรุงร่างกายบุรุษ… แต่ถ้าท่านมิชมชอบข้าก็ไม่อยากฝืนใจ" เจิ้งเยี่ยนเอ่ย จากนั้นหมุนกายยอมออกไปง่ายๆ
หลี่เยี่ยนชิวขมวดพระขนง เงยหน้าขึ้นมองอย่างประหลาดใจ…
ใยวันนี้เจิ้งเยี่ยนจึงยอมแพ้เร็วนัก…
พระองค์ครุ่นคิดเล็กน้อย จากนั้นเมื่อสายพระเนตรทอดลงบนแผ่นหลังเปล่าเปลือยของเจิ้งเยี่ยน หลี่เยี่ยนชิวจึงทราบทันทีว่าเบื้องหลังการยินยอมนี้คือสิ่งใด…
ภาพเส้นผมสีน้ำหมึกแซมเชือกสีชาดพลิ้วสยาย คลอเคลียลาดไหล่ขาวเนียนเรื่อยลงไปถึงสะโพกกลมกลึงปรากฏต่อสายตา ผืนผ้าอาภรณ์ใดๆ ก็ไม่มีเหลือปกปิดแผ่นหลังสักนิด มีเพียงเงื่อนปมสีเหลืองนวลสองสายคล้องคอและบั้นเอวไว้เท่านั้น… จะปิดบังซุกซ่อนทรวดทรงใดๆ ก็มิได้ทั้งสิ้น!
แก้วตาสีพยับเมฆแปรเปลี่ยนเป็นพายุฝนบดบังใบหน้าคมคายให้ครื้มดำไปสามส่วน พระหัตถ์กำตำราแน่นเสียจนปกแทบขาดติดปลายนิ้วขึ้นมา สุรเสียงตรัสถามเยียบเย็น
"เหตุใดมิสวมใส่อาภรณ์"
เจิ้งเยี่ยนแย้มยิ้ม ก่อนเอี้ยวตัวกลับกระตุกชายผ้ากันเปื้อนไปตอบคำถามไป
"นี่อย่างไรอาภรณ์ข้า"
"นั่นมิใช่อาภรณ์" สุรเสียงหลี่เยี่ยนชิวยิ่งมายิ่งหนาวยะเยือก
เมื่อเจิ้งเยี่ยนได้ฟัง คนเกือบโยนผ้ายอมแพ้คุกเข่าขอรับโทษที่สติเลอะเลือนหยอกเย้าเบื้องสูงเลยทีเดียว
แต่… เขายังยอมแพ้ตอนนี้ไม่ได้
ภรรยาอย่างข้ายังต้องสั่งสอนนายท่านสองหน้าไร้ยางอาย เมื่ออยู่ลำพังให้ปฏิบัติกับข้าอย่างเท่าเทียม สุภาพเรียบร้อยเหมือนที่ท่านแสดงให้ผู้คนภายนอกเห็นเสียบ้าง!
"ปกติท่านชอบเปลื้องอาภรณ์ข้า… แบบนี้มิสะดวกกว่าหรืออย่างไร"
"สองเราอยู่นอกตำหนักบรรทม…" สุรเสียงหลี่เยี่ยนชิวทุ้มต่ำ ฟังดูอันตรายอย่างยิ่ง
"เจ้าโง่ คนขายเกี๊ยวและบิดาเขาล้วนผ่านเข้าออก ยังมีเหล่ามือสังหารสหายเจ้าอีก"
"เช่นนั้น… ตลอดระยะเวลาที่อยู่ที่นี่ห้ามรุ่มร่ามใช่หรือไม่"
"ถูกต้อง" หลี่เยี่ยนชิวตอบสั้นกระชับ
เจิ้งเยี่ยนยิ้มกริ่ม… จักรพรรดิดำรัสมิอาจเรียกคืน ท่านตกหลุมข้าแล้ว… หลี่เยี่ยนชิว
"ได้! งั้นข้าจะไปสวมเสื้อคลุม ท่านดื่มยาเสีย" เจิ้งเยี่ยนสาวเท้าเข้าหา สองมือยื่นชามโอสถให้หลี่เยี่ยนชิว
"อ๊ะๆ!"
กรงแขนราชสีห์ที่ยกขึ้นหมายรวบลูกเสือดาวตัวดีไว้ในอ้อมอกพลันชะงักงัน เมื่อเจิ้งเยี่ยนร้องเตือน ก่อนจะถามออกมาว่า
"ฝ่าบาท… จักรพรรดิตรัสแล้วมิอาจเรียกคืน ยามนี้ท่านจะกลับคำทำรุ่มร่ามรังแกข้าหรือ"
หลี่เยี่ยนชิวเชิดมุมปากนิดหนึ่ง… จากนั้นสองแขนฉุดรั้งร่างบางเข้ามาทั้งตัว จนผู้คนทั่วหล้าได้ยินเจิ้งเยี่ยนร้องเสียงหลงเพราะเผลอทำยาหกราดรดเรือนร่างไปทั่วอีกแล้ว
"ฝ่าบาท!!! ยา! ยาหกหมดแล้ว!!!!!"
ริมโอษฐ์อิ่มแย้มยิ้ม พรมจูบไปทั่วลาดไหล่ พลางตรัส "อันดับแรก… คำสั่งคือมิให้เจ้าแต่งกายรุ่มร่าม... มิใช่เรา"
ริมฝีปากยังลากลงเรื่อยมา ทั้งยังรับสั่งต่อไปอีก "อันดับต่อมา… เราจำมิได้ว่าอนุญาตให้เจ้าต่อรอง"
"อันดับสุดท้าย… ยาหกก็ไม่เป็นไร" หลี่เยี่ยนชิวแตะจุมพิตทั่วแผ่นหลังนวลเนียน ก่อนลากขึ้นมากระซิบรอยยิ้มบางเบาที่ริมใบหู
"ต่อจากนี้เราดื่มโอสถจากเรือนร่างเจ้าก็สิ้นเรื่อง"
.
.
.
คืนนั้น… เมื่อต้วนหลิ่งเดินทางมาถึงเรือนของบิดาชายขายเกี๊ยวก็เป็นยามค่ำแล้ว อีกทั้งหลี่เยี่ยนชิวยังทิ้งคำอนุญาติให้ไปพักผ่อนมิต้องเข้าเฝ้ากลางดึก แจ้งไว้ว่า รั่วเอ๋อร์... เมื่อเจ้ามาอาสี่คงเข้านอนแล้ว สองเราค่อยพบหน้ากันยามกินมื้อเที่ยงทีเดียวเลยก็แล้วกัน…
แปลก… คืนนี้อาสี่บรรทมเร็วมาก… ดวงจันทร์ยังมิทันฉายบนฟ้า ห้องหับก็ลงดาลสนิทแล้ว... แถมภายในห้องยังได้ยินเสียงครวญครางแผ่วๆ ดังเป็นระลอกอีกด้วย ต้วนหลิ่งย่นจมูก... เหตุการณ์เช่นนี้แปลก… แปลกมาก... แปลกจริงๆ...
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in