สมัยเราเข้ามาปีหนึ่งใหม่ๆ ครั้งแรกที่ได้เจอสายรหัสเราดีใจมาก มีพี่อยู่ครบทั้ง 6 ชั้นปี พี่ปีสอง ปีสาม ปีสี่ ปีห้า ปีหก...และปีเจ็ด
ใช่ พี่เขาเรียนซ้ำชั้น ตอนนั้นเราคิดว่าการเรียนซ้ำชั้นเป็นอะไรที่โหดร้ายมาก สอบเข้าว่ายากแล้ว เรียนให้จบนั้นยากกว่าสิบเท่า เราได้ฟังเรื่องเล่ามากมายของพี่เขาตลอดเวลาที่ไปกินข้าวเลี้ยงสายรหัสกัน วันนั้นเรายังเป็นเด็กปีหนึ่งที่ไม่รู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับการเรียนคณะทันตแพทย์เลย สิ่งที่พี่พูดปรึกษากันบนโต๊ะอาหารเราก็ได้แต่ฟังหูไว้หู พูดถึงใครก็ไม่รู้จัก เรื่องวิชาการต่างๆ ก็ยังไม่ได้เรียน ความรู้สึกของเด็กปีหนึ่งวันนั้นคือโดดเดี่ยวเคว้งคว้างมากๆ
จนกระทั่งผ่านไปหลายปี พี่คนนั้นเรียนจบและทำงานเป็นทันตแพทย์แล้ว เรานัดกินข้าวด้วยกันอีกครั้ง คราวนี้หัวข้อสนทนาบนโต๊ะอาหารเปลี่ยนไป เปลี่ยนจากเรื่องเรียนเครียดๆ เป็นเป้าหมายในชีวิต เป็นหัวข้อที่พอดีกับเราในวันนี้ที่กำลังเหน็ดเหนื่อยและท้อใจกับการเรียน มันเป็นวันที่เราเพิ่งผ่านการทำแลปที่กดดันมากจนอยากร้องไห้ และเป็นวันที่ใกล้สอบแต่ยังอ่านได้ไม่ถึงครึ่ง แต่เราก็เลือกที่จะไปกินข้าวกับพี่ หวังว่าจะได้ผ่อนคลายกับเวลาสักสองสามชั่วโมงที่ได้เปลี่ยนโฟกัสจากตัวหนังสือเป็นอย่างอื่นบ้าง ซึ่งเราว่ามันเป็นการตัดสินใจที่คุ้ม ไม่ได้บอกว่าถูกที่ไม่ยอมอ่านหนังสือแล้วไปเที่ยวเล่นกับพี่ แต่มันคุ้มกับเรื่องเล่าที่เหมือนทำให้เราโตขึ้นอีกสักห้าปี
เราถามพี่คนนั้นว่าสนใจอยากกลับมาเรียนต่อมั้ย คำตอบของพี่คืออยาก แต่คงไม่ใช่ในเร็ววันนี้ พี่บอกว่าอยากเก็บเงินเพื่อตั้งตัวให้ได้ก่อน อยากขอแฟนแต่งงานสักที คำอธิบายต่อมาคือ กว่าจะเรียนจบมาได้ก็อายุก็เลยเลขสองมาเกือบครึ่งแล้ว ถ้าเรียนต่อให้จบแล้วค่อยแต่ง กว่าจะมีลูก กว่าลูกจะโต ถึงตอนนั้นอายุของพี่คงไม่ใช่น้อยๆ พี่ไม่ได้กลัวว่าจะมีลูกไม่ทันใช้ แต่พี่กลัวว่าจะแข็งแรงไม่พอที่จะเล่นกับลูก ซึ่งถ้าเราเลี้ยงลูกในตอนที่เรายังหนุ่ม ยังแข็งแรง มันคงจะดีกับเด็กมากกว่า
ฟังแล้วเรารู้สึกเซอร์ไพรส์มาก เกิดคำถามว่าอะไรทำให้พี่เขามีความคิดลึกซึ้งขนาดนี้ทั้งๆ ที่เราก็ห่างกันแค่ห้าหกปี คำตอบคือ พี่บอกว่าเพราะพี่รู้สึกเหมือนได้ gap year มาหนึ่งปีตอนที่เรียนซ้ำชั้น มันทำให้พี่ได้สนใจสิ่งอื่นนอกเหนือจากเรื่องช่องปากและการเรียนในคณะ ได้คิดเรื่องอื่นที่ไม่ใช่เรื่องเรียน มีเวลาปล่อยให้ความคิดได้ตกตะกอน โลกของพี่จึงมีมิติอื่นๆ เข้ามาร่วมด้วยเยอะพอสมควร
เราเริ่มคิดว่าจริงๆ แล้วการมี gap year ก็เป็นเรื่องที่ดีนะ ในหนังฝรั่งหลายเรื่องที่เราเคยดูก็มีการพูดถึง
gap year กันพอสมควร เราเคยสงสัยเหมือนกันว่า gap year ให้อะไรบ้าง ตอนนี้ก็ยังไม่ได้ข้อสรุปที่แน่ชัดเพราะไม่เคยมี แต่ที่ฟังจากพี่คืออย่างน้อยเราได้เวลาเพื่อคิดถึงเรื่องราวต่างๆ ได้ลองไปสังเกตผู้คน ความคิดคนเรามันไม่ได้ตกตะกอนกันง่ายๆ มันต้องอาศัยเวลา ยิ่งเรื่องที่เป็นเป้าหมายในชีวิตยิ่งต้องคิดนานเข้าไปอีก ซึ่งสำหรับนักเรียนไทยส่วนใหญ่เวลาในชีวิตก็หมดไปกับการเรียนและทำกิจกรรม เราไม่ได้มีเวลาในการไตร่ตรองหรือสำรวจสิ่งที่ผ่านมาเท่าไหร่เลย นั่นทำให้ผู้ใหญ่ชอบบอกว่าเด็กจบใหม่เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยมีคุณภาพ บางคนก็ทำงานไม่ตรงสายกับที่เรียนมาอีก สาเหตุที่เป็นแบบนี้เพราะเราไม่ได้มีเวลาคิดถึงอนาคตอย่างละเอียดพอ หลายคนถึงเลือกคณะไปแบบสุ่มๆ ไม่ได้มีแรงจูงใจในการทำงานด้านนั้นอย่างแท้จริง
เราเองก็เป็นเด็กคนหนึ่งที่เรียนมาเพื่อสอบเข้ามหาวิทยาลัย ฝันว่าจบไปแล้วจะได้ทำงานดีๆ มีเงินใช้ เราบอกทุกคนว่าเป้าหมายของเราคือการเรียนจบแล้วมีงานทำ สามารถดูแลครอบครัวได้ แต่เราเพิ่งรู้ความหมายของการดูแลครอบครัวจริงๆ ก็ตอนนี้ การดูแลครอบครัวไม่ได้หมายความว่าเราส่งเงินให้พ่อแม่ใช้ พาไปตรวจสุขภาพ แต่เราต้องมีเวลาและแข็งแรงพอที่จะแบกรับความเป็นครอบครัวไว้ด้วย ในกรณีของพี่ที่กำลังจะสร้างครอบครัว เขาก็ต้องมีเวลาให้แฟน มีเวลาเลี้ยงเด็กคนหนึ่งให้โตขึ้นเป็นคนที่ดีได้ และแข็งแรงพอที่จะเป็นที่พึ่งให้คนในครอบครัว
ส่วนในกรณีของเราคงต้องภาวนาให้เรียนจบให้ได้ก่อน ส่วนแผนในอนาคตค่อยว่ากันทีหลัง
จบ.
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in