เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
S O M E T H I N G B O R R O W.ManualEyeko
รูปพรรณสัณฐานของน้ำตา
  • “ในวันที่เราคิดว่าน้ำตาเหือดแห้งและหมดลงได้คือวันที่เราอาจร้องไห้จนไม่เหลืออะไรที่จะร้องออกมาอีกแล้ว” ฉันกลับเห็นต่างจากประโยคนี้ จริงๆแล้วเป็นเพราะเคยมีคนบอกไว้ตอนเด็กๆ ว่าน้ำตาของเราเหมือนห้วงมหาสมุทรที่ไม่มีวันหมดสิ้นลง 

    ฉันเคยเชื่อแบบนั้น เชื่อว่าฉันคงสามารถร้องไห้ออกมาได้ทุกเมื่อเวลาที่ฉันเศร้า เสียใจ และทุกข์ใจเพราะโดยปกติแล้วฉันเป็นคนร้องไห้ง่ายมาก พอเป็นคน impressed กับทุกอย่างได้ง่ายดายเหมือนถูกโปรแกรมมา ก็มักจะมีน้ำตาเอ่อคลอรอทำหน้าที่ของมันอยู่ที่ขอบตาทุกเวลาเท่าที่จำได้ตั้งแต่เด็ก ฉันจำได้ว่าฉันร้องห่มร้องไห้อย่างเอาเป็นเอาตายที่สุด (ร้องไห้เวลาเมาเป็นข้อยกเว้นเพราะนั่นคือการปลดล็อคการกดทับทางอารมณ์อย่างตั้งใจด้วยแอลกอฮอล์) คือตอนมัธยมปลาย ฉันผิดหวังกับทุกอย่าง สังคมไม่เป็นอย่างที่คิด ครูมีอคติ ปรับตัวกับห้องเรียนไม่ได้ ในช่วงที่ยังไม่สนิทใจกับใครสักคน ตอนนั้นทำได้แต่กลับบ้านไปร้องไห้กับแม่ พูดหมดทุกอย่างที่มีอยู่ในใจ ร้องไห้สะอึกสะอื้นจนไม่เป็นผู้เป็นคนทุกเย็น ซึ่งมาคิดดูตอนนี้แล้วมันไม่คูลเลย

    แล้วความคูลคืออะไรล่ะ มันดีกับเรายังไง

    ความคูลในตอนนี้คือถึงแม้จะอยากร้องไห้แค่ไหนอยากจะตะโกนงอแงกับใครสักคนมันก็ไม่ทำ ให้ตายยังไง ต่อให้ใจสลายไปแล้วกี่ครั้ง สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือการไปแอบร้องไห้คนเดียวในห้องน้ำเหมือนซีรี่ส์สะท้อนสังคมที่มันเซอร์เรียลสักเรื่องแค่ความเป็นจริงแม่งโคตรเรียลเลย เราทำได้แค่ร้องไห้อยู่เงียบๆคนเดียวจริงๆตอนนั้นคิดแค่ว่าเพื่อตัวเองและก็เพื่อไม่ให้ลำบากคนอื่นด้วย

    พอใช้ชีวิตอยู่แบบนี้มาเรื่อยๆ จำๆไม่ได้ด้วยซ้ำว่าร้องไห้โฮออกมาเหมือนโลกจะแตกครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ (ใครจำได้มาช่วยเตือนความจำหน่อย) สุดท้ายก็รู้ตัวว่าไม่ได้อยากเป็นคนคูลๆ ที่ดูไม่ค่อยมีหัวใจแบบนั้น  ถ้าเลือกได้ก็อยากกลับไปเป็นนางเอกเจ้าน้ำตาในซีรี่ส์เกาหลีบ้าง ในบางครั้งเวลาที่เราอยากจะมีน้ำตา ก็ให้มันไหลออกมาอย่างเป็นธรรมชาติที่มนุษย์คนหนึ่งจะเป็น 

    หลายครั้งตอนที่รู้สึกว่าร้องไห้ออกมาไม่ได้อย่างที่เคยเป็น แท้จริงฉันแอบรู้สึกเหงาและในห้วงเวลาที่คิดว่านี่มันไม่มีน้ำตาหลงเหลืออยู่อีกแล้วหรือยังไง จนฉันรู้สึกว่าทำไมมนุษย์เราถึงแปลก แปลกมากที่พยายามผลักความโศกเศร้า เสียใจ ความทุกข์ และน้ำตาให้กลายเป็นคนแปลกหน้า พอไม่รู้จักมักคุ้น ก็ไม่สามารถรับมือกับการเผชิญหน้ากับมันได้ เหมือนที่เราเป็นทุกครั้ง เวลาเดินถนนคนเดียว พอเจอกับคนรู้จักแล้วก็เลือกจะเลี้ยวหลบตรงมุมใดมุมหนึ่งเพียงเพราะไม่รู้จะทักทายเขาในสภาพที่ประดักประเดิดเช่นนี้อย่างไร

    พอถามว่าคิดถึงน้ำตาของตัวเองบ้างไหม

    รู้สึกเหมือนเพื่อนเก่าที่เวียนมาเจอกันได้ยากแล้ว แต่ถามว่าได้เจอกันบ้างมั้ย เราติดต่อกันบ้าง

    แต่มันเป็นเพื่อนที่น่าจะแอบคิดน้อยใจเอาเองว่าตัวเองไม่ค่อยเป็นที่ต้องการและไม่ต้องการให้ใครมาเจอมันบ่อยๆ อีกแล้วล่ะมั้ง สุดท้ายมันก็มาๆไปๆ เหมือนก๊อกน้ำที่ใกล้พัง มันมาหาแค่พอให้ใจชื้นอยู่ว่าเรายังร้องไห้เป็น หัวใจเราไม่ได้เจ็บปวดจนด้านชา และในทะเลแห่งน้ำตาไม่ได้แห้งเหือดไปเหมือนฤดูแล้งในดินแดนห่างไกล

    เมื่อใดก็ตามที่น้ำตากลับมาไหลอีกครั้งหนึ่ง ฉันรู้ว่ามันเป็นพยานของความสุข ความเศร้า ที่เกิดขึ้นในใจอย่างแท้จริง เห็นรูปร่างหน้าตาของมันชัดเจนในความทรงจำ เป็นฝ่ามือที่คอยปลอบประโลมความเป็นมนุษย์ให้งดงามในใจฉันทุกครั้ง

    ในวันที่เราคิดว่าน้ำตาเหือดแห้งและหมดลงได้คือวันที่เราอาจร้องไห้จนไม่เหลืออะไรที่จะร้องออกมาอีกแล้ว”

    ประโยคนี้ย้ำเตือนบางอย่างในใจฉันเสมอ แม้ในวันที่หัวใจเหมือนขาดอากาศไปหล่อเลี้ยงจะเกิดขึ้นหลายครั้ง แต่เมื่อถึงเวลาธารน้ำตายังคงไหลบางเบาและแห้งเหือดรวดเร็ว เหมือนแค่ต้องการบอกให้โลกรู้ว่าฉันเจ็บปวดนะ แต่มันจะหายไปอย่างรวดเร็วในที่สุด ขอบคุณที่มันไม่ได้แห้งเหือดหมดไปจากใจฉันเสียทีเดียว

    ฉันอุ่นใจที่ห้วงมหาสมุทรแห่งน้ำตาของฉันยังคงอยู่.

     

Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in