เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
My First Storylava007
คิดถึงไต้หวัน ณ ไทเป และ " อาลีซาน" ป่าแฟนตาซีแห่งความทรงจำ
  •                   
                     ผ่านไป 1 ปีแบบหงอยเหงาที่เราไม่ได้ไปเที่ยวไหนเลยแบบจริงๆ แง ในยามเย็นฝนปรอยแบบนี้ คิดถึงทริปต่างประเทศครั้งแรกและครั้งสุดท้ายก่อนโควิด แต่เราจะไม่ยอมให้เธอเป็นท้ายที่สุดหรอกนะ ยังเก็บเพลย์ลิสต์แห่งทริปแรกไว้อยู่เลย สร้างเตรียมก่อนไปเลยด้วย ทุกวันนี้ก็ยังฟังอยู่เวลาคิดถึงเธอ เช่นตอนนี้ " Lost in Taipei" Now Playing

                     ทริปแรกของเราเริ่มเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2019 เมื่อ 3 สาวน้องน้อย จอมเอ้อระเหยแห่งแก๊งเกิดนิมิตขึ้นมาว่า "อยากไปไต้หวันว่ะ" เพื่อนทั้งคู่ชอบบรรยากาศ อินตามรีวิว และก็ชอบถ่ายรูปมากๆ ส่วนเรานั้นอยากไปไต้หวันเพราะเธอ ศิลปินคนที่เราชอบตอนนั้น น้องไลควานลิน มักเน่แห่งวันนาวัน  พี่จะไปตามรอยบ้านเกิดน้อนน 555 ถึงจะเหตุผลแบบติ่งๆ แต่ก็นำพาเราทั้งสามมารวมกันได้
                   
                     เรื่องแปลกๆในจุดเริ่มต้นนั้นคือ ต้องมานัดรวมกันซื้อตั๋วเครื่องบินที่ศูนย์อาหาร ณ ห้างดังแห่งหนึ่งในตอนค่ำ ชีวิตวัยทำงานแท้ๆ แล้วจริงๆแยกกันไปทำ นอนอยู่บ้านดีๆก็ได้นะ แต่เพราะเราสามคนนิสัยเหมือนกันจริง สุดจะเอื่อยเฉื่อย แต่เรื่องงานพวกเราไฟแรงนะ ไฟสุมเลยด้วย ฮ่าๆ  โปรเจ็คนี้เลยอยากไปนะแต่ก็เรื่อยๆจริง มันเลยไม่คืบหน้าสักที จึงต้องมาสุมหัวกันประหนึ่งทำงานม.ปลาย ห้างก็จะปิดหนี ถถถ

                      
                     "เอาล่ะ ได้บินแล้วโว้ย" 

                      พ่อกับแม่ไปส่งเราที่สนามบินเร็วก่อนใคร แต่ไม่นานนามสมติ " ใจใจ" เพื่อนสาวชาววิศวะของเราก็มา ก็เลยไลน์คุยกัน "เธออยู่ไหน"  "เราไปอยู่ด้วย" ได้คำตอบที่ตรงใจมากคืออยู่ที่เดียวกันเลยตรงหน้าร้านกาแฟ แต่เราชะเง้อยังไงก็ไม่เห็นเพื่อนเลย ก็เลยไลน์เถียงกัน ส่งรูปกันไปมา ต่างคนลากกระเป๋าอ้วนไปทั่ว ผ่านหลายสิบนาทีก็ไม่เจอกัน

                      'เฮ้ย นี่มันแค่สนามบินในไทยนะ' ถามพี่รักษาความปลอดภัยก็แล้วก็ยังไม่เจอ สุดท้ายคำถามตัดสินชะตาก็ฟาดหัวดังปัง " ใจใจ อยู่ชั้นไหนนะ" "อ่า คือร็อกกูน่า (แบบนี่นี่เอง)" เจอกันก็ขำแบบสติหลุด เราสองคนไหวนะ ทำไมถึงเป็นคนแบบนี้!


                  หนึ่งในรูปที่ยิงส่งกันไปมาอย่างเมามัน ประหนึ่งไคลแมกซ์หนัง พระเอกจะไปหานางเอกที่สนามบิน แต่วิ่งว้าวุ่นใจหาเธอไม่เจอ

                    แล้วในที่สุดสามสหายก็ได้บินไปถึงไต้หวัน จากนั้นเราก็นั่งรถไฟความเร็วสูงไปเมืองไทเป ชอบมาก ว้าวตรงที่วิวที่มองจากหน้าต่างมันจะเปลี่ยนไปเรื่อยๆ เวลาเราเคลื่อนผ่านแต่ละเมือง อย่างเช่น ระยะหนึ่งจะมีแต่ภูเขาเขียวชอุ่ม ต่อมาก็มีแต่บ้านตึกที่สีคล้ายกันไปหมด และต่อมาก็เป็นเมืองที่มีแต่ตึกสูงที่ดูทันสมัย ทิวทัศน์ที่มองผ่านรถไฟต่างกันมากอย่างกับด่านในเกมเลย ณ ขณะเวลานั้น ฝนตกปรอยๆด้วย ผู้คนใส่ชุดสีคลุมฝนกันหนาวสีเทา ดำ และกรมคุมโทนคล้ายๆกัน เรานี่สีแปร๊ดแบบรู้เลยว่าเป็นนักท่องเที่ยว
     
                     ที่แรกที่เราบุกคือซีเหมินติง (Ximending) สยามสแควร์แห่งไทเป สิ่งแรกๆที่เราเจอหลังออกจากสถานีรถไฟใต้ดินซีเหมินก็คือ ทางข้ามสายรุ้งหมายเลข 6 (Rainbow Six)  ซึ่งมีการทาสีในเดือนกันยายน ปี 2019 นี้เอง ไม่กี่เดือนก่อนเราไป เพื่อแสดงสัญลักษณ์สื่อถึงความเคารพสิทธิและเสรีภาพขั้นพื้นฐานของมนุษย์ และความเสมอภาคทางเพศ เนื่องจากเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา มีเหตุการณ์ที่สำคัญที่น่ายินดีมากเกิดขึ้น นั่นก็คือไต้หวันเป็นประเทศแรกในทวีปเอเชียที่รองรับให้คู่รักเพศเดียวกันจดทะเบียนสมรสอย่างถูกต้องตามกฎหมาย  ทางข้ามสายรุ้งหมายเลข 6 แห่งนี้จึงเป็นสถานที่ที่สะท้อนเจตนารมณ์อันแรงกล้าและประวัติศาสตร์ของสิทธิมนุษยชนอีกด้วย


    ทางข้ามสายรุ้งหมายเลข 6

                       เมื่อเข้าสู่ย่านแห่งของกินทั้งที ก็มีเป้าหมายที่หัวใจเรานี่ร่ำร้องสุดๆ เราเป็นคนที่หลงใหลในชาไข่มุกมากๆ อ่านรีวิวมาเพียบ ร้านไหนดังซื้อเลย ไปเจอนี่ต้องไม่พลาด ชาไข่มุกน้ำตาลไหม้ เพียงแค่คุณดื่มก็รู้สึกถึงรสชาติชาที่กลมกล่อม กลิ่นหอมของชาผสมกับน้ำตาลไหม้ ฟินลืมร่าง แล้วไหนจะความหนึบหนับของไข่มุก 'อื้ม นี่สิ ออริจินอลที่ใฝ่ฝัน' ระหว่างที่เรากำลังดื่มด่ำอยู่นั้น แจ่มจันทร์ เพื่อนนักวิชาการของเราก็ขอชิม เรานี่รีบหยิบยื่นเลยอยากให้เธอสัมผัสประสบการณ์ที่ดีแบบฉัน แจ่มจันทร์ดูดแล้วร้องว่า " แอ้กๆ แคกๆ โอ๊ย หวานแสบคอ กินเข้าไปได้ไง" โคตรตัดมู้ด คุณเข้าใจใช่มั้ย 5555


                     หลังจากนั้นเราก็ไปพิพิธภัณฑ์แห่งชาติไต้หวัน (National Taiwan Museum) ซึ่งเป็นพิพิธภัณฑ์ที่เก่าแก่ที่สุดในไต้หวัน สะสมวัตถุโบราณไว้เกือบ 700,000 ชิ้น จนไม่สามารถจัดแสดงไว้พร้อมกันได้หมด ต้องหมุนเวียนจัดแสดงให้เข้าชม ส่วนการเดินทางในไทเปนั้นง่ายแสนง่าย แม้คุณจะเป็นชาวต่างชาติที่ไม่รู้ภาษาจีนเลยก็ตาม คุณสามารถดูได้ว่าสายไหนไปจอดป้ายไหนบ้าง ที่ป้ายก็จะมีนาฬิกาดิจิตอลบอกว่าอีกกี่นาทีรถประจำทางที่คุณคอยจะมา ช่างเป็นการรอคอยที่มีจุดหมาย หวังว่าสักวันที่ไทยจะมีแบบนั้น และแล้วรถประจำทางก็มารับพวกเราตรงเวลาเป๊ะ 

     

      ทางเข้าพิพิธภัณฑ์แห่งชาติไต้หวัน

                   พิพิธภัณฑ์แห่งชาติไต้หวัน สถานที่แห่งนี้ยิ่งใหญ่อลังการคล้ายพระราชวัง แค่เดินเข้าบริเวณทางเข้า เราก็กลายเป็นคนตัวจิ๋วไปเลย จากนั้นก็ผลัดกันถ่ายรูปจนสะใจ จ่ายเงินเช่าหูฟัง ฟังเสียงพากษ์อังกฤษบรรยายเรื่องราวของแต่ละห้องและแต่ละสิ่งที่เราพบ ซึ่งก็จะเต็มไปด้วยเครื่องเบญจรงค์ ภาพเขียน สิ่งประดิษฐ์ยุคโบราณ พระพุทธรูป และของเก่าแก่หายากนับไม่ถ้วนจนไม่น่าเดินดูครบในวันเดียว แต่เราอาจจะไม่ว้าวมากเพราะบางอย่างมันคล้ายเคียงกับโบราณวัตถุในไทย แต่ที่เราชอบดูนานๆก็น่าจะเป็นมุมนิทรรศการที่เขาจัดแสงสีให้ดอกบัวไหลตามลำธารดิจิตอลและให้เรากดคลี่ดอกบัวเพื่ออ่านคำทำนาย เธอมันสายมู! และก็ภาพเขียนงานพู่กันที่วิจิตรอ่อนช้อยมาก มีรายละเอียดและเรื่องซ่อนอยู่ในภาพเยอะมาก เราต่างวนดูไปช้าๆ ยืน นั่งพินิจ ฟังหูฟังตัวเอง จนมาถึงภาพใหญ่ยักษ์ที่เก็บอยู่ในตู้กระจก เราเห็นเพื่อนทั้งคู่นั่งก้มอ่านโบชัวร์และฟังอยู่พักใหญ่ เราก็ยืนดูไป เพื่อนคงสนใจภาพนี้มาก ปรากฏหันมา สองนางสัปผงกแผนที่ร่วงกระจุยลงพื้น นึกว่าดื่มด่ำงานศิลป์ที่แท้ 5555


    สวนด้านข้างพิพิธภัณฑ์ ยื่นบัตรชมพิพิธภัณฑ์และไปเดินเล่นได้เลย


                        ตกเย็นก็ถึงเวลาที่พวกเราลอยคอ รอคอย อยากกินชาบูปุ๊ป๊ะ แต่ว่าเดินหลงในซีเหมิน ทั้งที่มีกูเกิ้ลแมปจนต้องไลน์ไปถามเพื่อนในไทย นี่มันอะไรกาน หลังจากรอนานพักหนึ่งก็ได้ไปกินชาบูชื่อดัง สรวงสวรรค์แห่งการกินจริงๆ มีทุกอย่างที่คุณนึกถึง มีของให้เลือกกินเพียบมาก ขนาดไม่กินเนื้อ ก็เริ่มกินที่นี่แหละ นุ่มอร่อย อร่อยไปหมด แต่ความพีคอยู่ที่ตอนจบเนี่ยแหละ เดินอิ่มแน่นตามคุณแจ่มจันทร์ให้พากลับหอ ซึ่งเธอมั่นใจมาก ปรากฏเดินหลงไปซอยไหนไม่รู้มืดๆ สุดท้ายต้องเรียกแท็กซี่ให้ไปส่ง เพราะเดินอ้อมทะลุไปอีกทางที่ไกลกว่าเดิม 5555 "ถ้าเรื่องของเราไม่มีคอนฟลิคท์ก็ไม่สนุกสิครับ" คุณนับสิบ (จากซีรีส์นับสิบจะจูบ) กล่าวไว้



                     วันที่ 2 วันนี้แหละสถานที่ที่พวกเราใฝ่ฝันแน่วแน่ "อุทยานแห่งชาติอาลีซาน ( Alishan National Park)" เมืองเจียอี่ (Chiayi) ซึ่งห่างจากเมืองไทเปประมาณ 330 กิโลเมตร เทียบในไทยระยะทางประมาณขับจากกรุงเทพไปเพชรบูรณ์ และตั้งอยู่บนภูเขาสูงประมาณ 2,200 กิโลเมตรจากระดับน้ำทะเล
                   
                    อันนี้มีการเตรียมตัวนิดหน่อยเพื่อความไม่บู๊จนเกินไป ก่อนบินก็จองรถไฟฟ้าความเร็วสูง (THSR) จากสถานีไทเปไปสถานีเจียอี้ จากแอป Klook ราคา 857 บาท ส่วนที่พักคือความภูมิใจของเรา อุตส่าห์เสาะหาว่าจะนอนที่อุทยานเลย เจอรีวิวโฮมสเตย์น่ารักหนึ่งที่ต้องดีลจองกับคุณเจ้าของในเฟส เราก็ขอรับหน้าที่จองกับคุณเจ้าของเอง คุยกันเป็นภาษาอังกฤษ คุณเขาน่ารักมาก ตื่นเต้นมากว่าที่พักจริงจะเป็นยังไงนะ ถ้าไม่ตรงปกจะรู้สึกบาปต่อสองมิตรของเรามาก 555

                สถานีรถไฟความเร็วสูง สถานีเจียอี้ (Chiayi)

                       การผจญภัยก็เริ่มแต่เช้าจนไม่ได้กินข้าว ต้องซื้ออาหารที่สถานีไทเปคนละกล่อง ขึ้นรถไฟไปคนจะเยอะหน่อยต้องยืน ยืนไปสักพักก็จะได้ที่นั่งมีโต๊ะให้กินข้าวด้วย เมนูช้าวนี้คือ ข้าวไก่สะโพกพะโล้แห้ง ตั้งชื่อเอง 5555 ไก่ตุ๋นเปื่อยดีแต่ค่อนข้างเลี่ยนเล็กน้อย แต่เสิร์ฟพร้อมกะหล่ำซอย พอกินรวมๆก็โอเค หลังจากนั้นก็นั่งยาวออกนอกเมืองไปจ้า ได้เวลาที่เพลย์ลิสต์ของเราจะบรรเลง 
                      
                      พอไปถึงสถานีก็ต้องไปต่อรถบัส ซึ่งทำการบ้านมาอีกแล้ว เขาเล่าว่าจะขึ้นเขาฉวัดเฉวียนเวียนหัว จนคลื่นไส้อาเจียนกันทีเดียว ตอนอ่านเราก็กังวลกันนะว่าจะพาตัวเองมาลำบากรึเปล่า สภาพความแข็งแกร่งของพวกเราไม่น่ารอด แต่สุดท้ายก็อยากดูทิวทัศน์สุดงดงามจริง ก็เลยหาตัวช่วยซึ่งนั่นก็คือ ยาแก้เมารถ จัดการกินคนละเม็ดก่อนขึ้นรถ บอกเลยของเขาดีมาก ไม่เมาจริงๆสลบเหมือด วาร์ปไปเลยจ้าตื่นมาอีกทีมึนๆถึงหมู่บ้านแห่งหนึ่งแล้ว ไม่ได้ดูชื่นชมทัศนียภาพวิวภูเขาเมืองนอกอะไรทั้งสิ้น 

                           สามสาวลากกระเป๋าต๊อกแต๊กจ่ายค่าเข้าอุทยานเดินไปตามแผนที่ที่คุณโฮสต์ให้มาจนในที่สุดก็พบกับที่ทำการไปรษณีย์เก่าสีแดงตามที่คุณโฮสต์แจ้งมา ก็เลยโทรหาคุณเขา และก็ได้เข้าไปในร้านอาหารเล็กๆร้านหนึ่งมีครอบครัวคุณโฮสต์อยู่ พวกเขาต้อนรับอย่างเป็นมิตร แล้วก็ให้กุญแจเราขึ้นบันไดเล็กๆไปห้องข้างบน ซึ่งมีไม่กี่ห้องเองที่เปิดให้พัก พอเข้าไปสบายใจมาก ห้องน่ารักสะอาดขนาดกะทัดรัดอบอุ่น สองเตียง หนึ่งห้องน้ำ มีฮีสเตอร์เล็กๆให้ด้วย สามสหายนักผจญภัยรอดแล้ว หลังจากนั่งพักจนพอใจแแล้วก็เปลี่ยนชุดพร้อมที่จะออกไปขึ้นอุทยานแล้ว ฮุยเล่


    สถานีรถไฟอาลีซาน


                            เดินขึ้นบันไดหินไปจนถึงชั้นสูงสุด คุณจะพบกับสถานีรถไฟอาลีซานที่สร้างจากไม้ เราจองตั๋ว 2 รอบ 2 เส้นทางเลย รอบเช้าพรุ่งนี้ไปดูพระอาทิตย์ขึ้น และก็ตอนเย็นนี้ เอาล่ะ ได้เวลานั่งรถไฟสีแดงคลาสสิคไปฮอกวอตต์แล้ว เมื่อรถไฟเคลื่อนตัวเข้าไปในอุทยาน มองออกมานอกหน้าต่าง คุณจะเห็นต้นสนสูงใหญ่ประมาณ 20-30 เมตรเต็มไปหมด เราเป็นแค่คนตัวจิ๋วเข้ามาในป่าใหญ่อีกแล้ว ป่าสนที่นี่เขียวชอุ่มมาก บางชั่วจังหวะก็ผ่านทางน่าหวาดเสียวมองลงไปเห็นเหว ไม่นานเราก็มาถึงเป้าหมายที่ไม่ใช่โรงเรียนฮอกวอตต์ แต่เป็นสถานีกลางอุทยานแห่งหนึ่งที่ชื่อว่า " สถานีต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์แห่งอาลีซาน ( Alishan Sacred Tree Station)" ลงมาปุ๊บก็ถ่ายรูปกับท่านรถไฟแดงสุดเท่ หนึ่งแผนที่กับการเดินสำรวจเส้นทางป่าก็เริ่มขึ้น เลือดลูกเสือเนตรนารีพลุ่งพล่านเลย แจ่มจันทร์ ใจใจ ตามเรามาได้เลย


    รถไฟสีแดงสุดคลาสสิค ณ สถานีต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์แห่งอาลีซาน


    ถ่ายเบลอว่ารักแถบไปอีก เส้นทางจากสถานีอาลีซานสู่สถานีต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์แห่งอาลีซาน


                            อากาศเย็นสบายเหมาะกับการเดินรับบรรยากาศมาก เส้นทางไปยังจุดหลักจะถูกปูด้วยพื้นไม้เรียงเป็นระเบียบ แต่ก็ไม่ได้ถึงกับบังคับทีเดียว มันมักจะมีทางแยกซ้ายขวา ขึ้นบันไดไม้บนล่างให้เลือก เพราะฉะนั้นจึงไม่เบียดหรือวุ่นวายกับใครเลย แต่ละกลุ่มต่างเดินแยกกันไป ระหว่างที่เราเดินทางก็เสมือนกับป่าใหญ่นี้มีแค่พวกเราสามคน 


                           หมู่บานชื่นก็ออกสำรวจตามเส้นทาง ผ่านต้นไม้รกทึบนานาชนิดไปเรื่อยๆ ก็ได้ยินเสียงคล้ายพระสวด พอเดินไปยังต้นเสียงก็พบกับศาลและวัดเล็กๆ มีพระกำลังทำวัตรเย็นอยู่ แล้วที่นี่ก็เป็นจุดพัก มีห้องน้ำห้องท่าและมีจุดถ่ายรูปยอดฮิตบริเวณหน้าวัด มีม้านั่งหนึ่งตัวตั้งอยู่ข้างต้นไม้ใหญ่คล้ายซากุระ ภาพพื้นหลังคือท้องฟ้าและแพเมฆสีขาว ใส่เอฟเฟคโดยมีใบไม้และดอกไม้ปลิวไปตามลมลงไปยังม้านั่ง ฉากซีรีส์เกาหลีมากๆ จึงมีคู่รักถ่ายคู่เพียบ แต่ชาวคนเหงาที่มีสามคน ไม่มีรูปคู่อะไรทั้งนั้น สลับกันถ่ายหาภาพโปรไฟล์เฟสบุ๊คใหม่ เชื่อว่าเพื่อนหลายคนน่าจะเป็นแบบนี้ รูปคู่รูปหมู่ไม่ต้อง สลับกันถ่ายอยู่นั้นประหนึ่งว่าไม่ได้มาด้วยกัน หรือคู่รักเซเลปตอนที่เปลี่ยนรูปโปรโดยไม่ได้นัดหมายแล้วเป็นซีนเดียวกัน

                           

               วัดซีหยุน (Ciyun Temple )ที่อยู่ห่างจากสถานีต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ไม่ไกล


    เดินตามเส้นทางกระดานไม้แห่งต้นไม้ยักษ์มาเรื่อยๆก็จะมาเจอลานไม้กว้างให้นั่งพักผ่อน


                       หลังจากชาร์ตพลังตรงนี้ เอาจริงก็เมื่อยนิดๆแต่วิวสวยมาก ยังไงก็บรรเทาใจ รักตอนที่มองออกไปก็เห็นท้องฟ้าภูเขา สูดกลิ่นสดชื่นของต้นไม้ มีลมเย็นพัดผ่านไปมา และไม่เคยคิดภาพเหมือนกันว่าต้นไม้พันปี หน้าตาเป็นอย่างไร แต่ที่นี่มีต้นสนไซเปรสไต้หวันที่อายุกว่าสองพันปี ซึ่งสูงถึง 45 เมตร ถ้าสมมุติเราสูง 150 เซนติเมตร ต้นไม้ต้นนี้ก็สูงกว่าเราถึง 30 เท่า สองพันปีนี้นานมากๆๆนะอารมณ์แบบตายแล้วเกิดใหม่เปลี่ยนสมัยไปหลายชาติเลย มหัศจรรย์มากที่ต้นไม้ต้นนี้ยังคงอยู่เหมือนเดิม เข้าใจแล้วเลยว่าทำไมเขาถึงตั้งชื่อว่าสถานีต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์แห่งอาลีซาน 


    ต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์เซียงหลินอายุราว 2,300 ปี

                      แล้วเราก็มาเจอจุดหนึ่งโดยที่ไม่ได้ตั้งใจ มองออกไปฝั่งตรงข้ามเห็นทิวเขาสลับเรียงรายกับแพเมฆเหมือนภาพวาดพู่กันจีน เรายื่นเหม่อมองตอนนี้นานเลย มองจากยอดเขาไกลสุดลูกหูลูกตา เหมือนโลกนี้มันเป็นของเรา แล้วก็แอคท่าเท่พิชิตเอเวอร์เรสต์ จอมยุทธ์ อนิเมะอะไรก็ตามการอยากคอสเพลย์ของแต่ละคน


    ทิวเขาและทะเลเมฆที่ราวกับภาพวาดพู่กันจีน

                 

               เดินมายาวนานจนถึงเส้นทางลงภูเขาผ่านหมู่บ้าน แล้วก็พบกับจุดชมวิวที่คนไปออกันเต็ม พอมองท้องฟ้าเท่านั้นเราถึงกับหยุดเลย มองวิวเหรอ เปล่า ผูกเชือกรองเท้า ล้อเล่น มองออกไปไกลสุดสายตาช่วงเวลาพระอาทิตย์ตกดินสาดสีส้มผสานเหลืองทองพาดผ่านเทือกเขา อยู่ถ่ายรูปกันนานจนเหลือเป็นกลุ่มหลังๆ ทำเอาเราแอบกังวลว่ามืดแล้วเราจะลงยังไง แต่สองสหายก็ยังอินถ่ายรูปอยู่ จนเริ่มออกจากจุดชมวิวก็มืดแล้ว ประมาณเกือบทุ่มมั้ง เราเดินไปตามทางพื้นไม้ ซึ่งเขาจะมีโคมไฟเป็นระยะ เดินไปเรื่อยๆ แอบเจอน้องแมวเหมียว แล้วอากาศก็หนาวขึ้นนิดหน่อย แต่ก็เพลินดี บรรยากาศตอนกลางคืนให้ฟีลตื่นเต้น สบาย และโรแมนติกไปอีกแบบ แต่กว่าจะมาถึงทางออกก็คือแทบหมดพลังงาน รีบเข้าร้านเลยจ้าสั่งหม้อไฟเซ็ตรวมอะไรก็ไม่รู้ แต่กินอะไรอุ่นๆก็ให้รู้สึกที่ดี แต่ก็ไม่วายยังคิดถึงน้ำจิ้ม   ซีฟู้ดที่ไทย และก็ขนขนมมากมายจากร้านสะดวกซื้อ จบภารกิจ


    ยามอาทิตย์อัสดง สามเราลงภูเขา เพียงพบแสงทองเฝ้า จ้องจนเขาเลื่อนลับไป


    ชาบูใส่อะไรบ้างไม่รู้ แต่หนูหิวมาก 5555


                          เช้าตื่นเร็วเวอร์มาก เพื่อขึ้นรถไฟอย่างสะลึมสะลืมไปจุดชมพระอาทิตย์ขึ้น เรานี่โหยหิวหาอะไรกินไปเรื่อยซุปอะไรก็ไม่รู้ มันเผาด้วย รอจนแล้วจนเล่าก็ไม่เห็นแสงพระอาทิตย์ขึ้น พี่ไกด์บอกว่าวันนี้เมฆครึ้ม สุดท้ายพอเมฆผ่านพ้นก็เป็นแสงยามสายเจิดจ้ามาแทน ภารกิจเลยจบไปแบบงงๆ 


              ยามเช้ากับทิวทัศน์ทิวเขาที่เมฆครึ้ม ถึงมันจะไม่ตรงที่คิด แต่อย่างไรก็สวยอยู่ดี เหมือนชีวิตเราที่ยังไงก็สวยอยู่ดี  ได้มั้ยนะ


                      แต่ทีเด็ดของวันนี้อยู่ที่การผจญภัยในป่าอีกเส้นทาง เส้นทางนี่ให้อารมณ์หลากหลายมาก      มีช่วงหนึ่งเป็นทุ่งหญ้าแซมด้วยดอกไม้กลางแสงจ้าประหนึ่งนิวซีแลนด์ มีหอคอยให้ขึ้นไปดูวิวด้วย เดินกันสนุกเลย พอเดินเข้าไปเรื่อยๆจะเป็นป่าสนทึบ มีซากต้นไม้แปลกตาอายุถึงร้อยปีพันปี โพรงต้นไหม้ใหญ่ เราต้องเดินตามโขดหิน คล้ายป่าต้องห้ามในแฮร์รี่สุดๆ มีไม้ใหญ่บังเงา มันเลยจะค่อนข้างมืดๆ  ระหว่างที่เดินทึ่งกับความป่าแฟนตาซีอยู่ เราสามป่วนก็ทะลุไปเจอคู่รักคู่หนึ่งซึ่งเขาได้ยินเราพูดไทยก็เลยทักทายกันแล้วไปถ่ายรูปกับพี่เขาที่เป็นมิตรมากอย่างงงๆ 5555


                    พอผ่านออกไปจะเป็นลำธาร ทางเดินเป็นโขดหินมีตะไคร่ลื่นๆนิดหน่อย เราตั้งใจไปดูศาลาที่ทะเลสาบสองพี่น้อง (Sister Pond) ซึ่งไปถึงมีคนถ่ายรูปกันเพียบ เรายืนถ่ายรูปศาลาริมทะเลสาบอยู่ไกลๆ พักตรงนั้นได้ไม่นาน พวกเราก็ต้องรีบเดินกลับเพราะเดี๋ยวจะตกรถแล้วจ้า ระหว่างทางกลับเราสามคนคุยกันถึงจุดที่ชอบที่สุด มันกลับไม่ใช่จุดสำคัญอะไร แต่กลับเป็นป่าหนาทึบมืดๆ ซากต้นไม้ดึกดำบรรพ์ โพรงต้นไม้ที่ธรรมชาติรังสรรค์ ให้บรรยากาศเหมือนป่าต้องห้ามเนี่ยแหละ ชอบอินสุดๆจนอยากจะบันทึกความทรงจำ แล้วดึงเพนซิฟ วัตถุเก็บความทรงจำในแฮร์รี่มาเปิดฉายความทรงจำนี้ตอนกลับบ้านวนไป


    เดินขึ้นเนินในป่าสนยามสายๆ


    ชอบบรรยากาศเส้นทางเดินนี้มาก สดชื่น สวยงามเหมือนอยู่ในภาพยนต์เลย


    สะพานหินโค้งเซียงหลิน

    ทะเลสาบสองพี่น้อง


                         เราไม่ใช่สายเดินป่าเลยจึงตอบไม่ได้ว่าที่นี่สวยเหมือนหรือต่างบ้านเราอย่างไร แต่ส่วนที่เราชอบคือการผสมผสานระหว่างแหล่งท่องเที่ยวที่คงธรรมชาติไว้อย่างอุดมสมบูรณ์กับการผสานการอำนวยความสะดวกให้นักท่องเที่ยวผู้ไม่แกร่งกล้า ที่นี่ทำได้กลมกลืนมาก สิ่งก่อสร้างอย่างวัด ศาลา จุดชมวิว หรือหอคอย สิ่งอำนวยความสะดวกเช่นพื้นทางเดินไม้ ทางเดินหิน สะพานแขวน อุโมงค์ เครื่อง ขอช่วยเหลือที่ทุกติดอยู่ตามทางเป็นระยะ ๆ เผื่อเราหลง ผนวกกับธรรมชาติที่สวยงามและแปลกตา    ของต้นไม้ที่อยู่มานานเป็นร้อยๆพันๆปี การได้เดินอยู่ท่ามกลางสถานที่แห่งนี้ ทำให้เรารู้สึกสบายใจ ปลอดภัย เหมือนความเครียดก่อนมาเที่ยวได้ถูกชะล้างไปกับธรรมชาติจนหมด เหลือเพียงความรู้สึกและความทรงจำที่ราวกับฉากภาพยนต์สามคนจิ๋วตะลุยป่ายักษ์ลี้ลับที่เราจะได้จดจำ และพาสิ่งเหล่านั้นกลับไปด้วย 

                       

                      จุดหมายไม่ใช่ทุกอย่างจริงๆนั่นแหละ ข้อดีของเจ้าจุดหมายคือบันดาลให้พลังในตัวลุกโชนอยากจะก้าวไปข้างหน้า แต่มันคงจะดีที่สุดเลยถ้าระหว่างทางเราได้ดื่มด่ำกับความสุขไปด้วย สุดท้ายแล้วการไปถึงจุดหมาย อาจจะภูมิใจมากหรือเฟล แต่ถ้าเราได้อินกับทุกจุดที่เราทำแล้ว จะไม่มีอะไรต้องเสียใจเลย

                        

                       และแล้วรถบัสก็พาพวกเราออกไปจากอุทยานแห่งนี้...




                     ถ้ามีโอกาสอยากบันทึกเรื่องวันที่เหลือ ชื่อตอนปั่นจักรยานกลางสายฝน ทำทำไม! และตอน มูเตลู ด้ายแดงแห่งวัดหลงซาน เนื้อคู่หนูอยู่ไหน ผลลัพธ์ที่ได้เหลือเชื่อ และยังน่าประหลาดใจจนถึงวันนี้ 


                         

                        

              
                     
                       
Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in