เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
bemine x moviesบีไมนฟอร์อะไวล
Lost in Translation (2003), A | หนังพูดน้อยแต่ต่อยหนักเรื่องอารมณ์
  • ท่ามกลางความเบื่อหน่าย ความสับสน ความเหงา และความไม่รู้ภาษา อดีตดาราดังชายและหญิงสาวที่ตามสามีมาทำงานได้มาเจอกัน อยู่ด้วยกัน ใช้เวลาร่วมกัน แม้ไม่นานแต่เห็นได้ชัดว่าคือความลึกซึ้ง แต่ก็ยังไม่แน่ใจว่าความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นคือเป็นเพียงเพื่อนมิตรภาพหรือคู่รักกันแน่


    คำว่า 'Lost in Transaction' มันโดนใจมากๆ ไม่ต้องแปลให้ได้ประโยคสวยๆ เน้นไปที่ความรู้สึกระหว่างดูหนัง แล้วช่วยให้อินและเข้าใจบริบทต่างๆในหนังได้เยอะขึ้น

    'พูดน้อยต่อยหนัก' คงจะเป็นนิยามที่ส่วนตัวให้กับหนังเรื่องนี้ ด้วยที่หนังเน้นไปที่ Cinematography ใช้ภาพเล่าเรื่องเรื่อยๆ พล็อตเรื่องง่ายๆ ตัวละครหลักเพียงสองตัวละคร บทสนทนาไม่มาก แต่เต็มไปด้วยการถ่ายทอดอารมณ์ที่ลึกซึ้ง แบบชนิดที่ว่าคนดูจะต้องเหงาไปด้วยแน่ๆ


    นำเสนอให้คนดูเห็นถึงความเหงา ความเปล่าเปลี่ยว ความเบื่อของตัวละครทั้งสอง คนดูจะได้สัมผัสถึงความไม่รู้ภาษา บ๊อบแฮร์ริสต้องรับบรีพของการถ่ายงานผ่านล่ามที่แปลให้เขาเพียงน้อยนิด ซึ่งทั้งๆที่ผู้กำกับพูดซะยืดยาว เปิดทีวีเจอแต่ช่องญี่ปุ่นที่เขาฟังไม่รู้เรื่อง ส่วนชาล็อตต์ก็ต้องอยู่กับความเหงา เพราะว่าแฟนหนุ่มช่างภาพต้องออกไปทำงานทุกวัน เธอเพิ่งเรียนจบบปรัชญา แต่ก็ไม่รู้ว่าอยากทำอะไรกันแน่ เหมือนกำลังอยู่ในช่วงค้นหาตัวเอง ซึ่งก็ต้องมาเจอกับความเปล่าเปลี่ยวในต่างแดน จนในที่สุดทั้งคู่ก็ได้เจอกันที่บาร์ของโรงแรม พูดคุยกัน จนพากันออกไปสร้างพื้นที่ของตัวเองในญี่ปุ่น

    แม้ความเหงาจะไม่ได้จางหายไปง่ายๆ แต่การที่มีคนเหงาและโดดเดี่ยวไปด้วยกันก็คงจะดีกว่า ทั้งบ็อบแฮร์ริสและชาล็อตต์อาจจะเหงาเพราะอยู่ต่างแดน แต่ยิ่งไปกว่านั้นทั้งคู่ไร้คนที่เข้าใจเลยจริงๆ บ็อบแฮร์ริสไม่สามารถพูดคุยกับภรรยาอย่างเข้าอกเข้าใจกันได้ ส่วนชาล็อตต์ก็ถูกปล่อยให้เปลี่ยวเหงาในโรงแรมตลอดการเดินทางมาญี่ปุ่นครั้งนี้ และเมื่อทั้งคู่เจอกัน ก็คงจะไม่มีอะไรดีไปกว่าการที่ได้เจอคนที่เข้าใจแล้วล่ะ


    มีเว็บต่างประเทศสงสัยกันว่าในตอนท้ายของเรื่องบ็อบแฮร์ริสกระซิบอะไรกับชาล็อตต์ แม้ผู้เขียนบทและกำลังอย่างโซเฟียคอปโปล่าก็ไม่รู้ เพราะว่า ณ ตอนนั้นคือการด้นสดของบิลเมอร์เรย์ผู้รับบทเป็นบ็อบแฮร์ริส จริงๆแล้วมีหลายทฤษฎีมาก แต่ส่วนตัวชอบทฤษฎีที่บอกว่า บ๊อบคือจอห์นในอดีต เขาเดินทางข้ามเวลาเพื่อแก้ไขความผิดพลาดในอดีต สิ่งที่บ๊อบกระซิบนั้นคือบอกให้ชาล็อตต์จากจอห์นไปซะ เพราะว่าเขาไม่ดีพอสำหรับเธอ และเพื่อให้เธอมีความสุขกับชีวิตปัจจุบันอีกด้วย ถ้าเรื่องราวเป็นแบบนี้จริง หนังเรื่องนี้คือหนังไซไฟชั้นเลิศเลย ถึงแม้บทบาทและเรื่องราวในตอนนี้ยังไม่มีอะไรไม่สมเหตุสมผลก็ตาม

    ref: Theories on What Bill Murray Whispered at the End of Lost in Translation
    ref: Lost in Translation: Bob Harris and the whisper at the end
    ref: Lost in Translation Screenplay Originally Written




เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in