เบื่อ เบื่อ เบื่อ
ใช่สิ คนเงียบๆอย่างเรา มันเป็นคนส่วนน้อย มันแปลกแยก ในขณะที่คนทั่วไปเดินไปคุยกับคนโน้นที คุยกับคนนี้ที พวกเราได้แต่นั่งจดจ่ออยู่กับโต๊ะตัวเอง ไม่ค่อยสุงสิงกับใคร
เป็นชายก็ประหลาด ยิ่งเป็นผู้หญิงแล้วเงียบยิ่งประหลาด โดนจิกกัดประจำว่า นางนี่เงียบจัง วันๆไม่คุยกับใครเลย ผิดแผกแตกต่างจากผู้หญิงทั่วไปเสียจริง
ไหน งัดกฎหมายมาดูซิ มีข้อไหนบังคับว่าผู้หญิงต้องพูดมากไหม ก็ไม่มี คิดว่าเป็นคนส่วนใหญ่แล้วจะทำอะไรก็ได้เหรอ
ขอเราบ่นคนช่างจ้อบ้าง
จริงๆแล้วเนี่ย เราก็มีิสิ่งที่เราไม่ชอบในตัวของพวก extrovert อย่างคุณๆทั้งหลายเหมือนกันนะ แต่เผอิญเราพูดไม่เก่ง(เราชอบเขียนมากกว่า..อุ๊บส์) และเราก็ขี้เกียจเถียงกับใครๆ แต่ขอเราระบายบ้างเถอะ
สิ่งที่คนโลกส่วนตัวสูง(introvert) ไม่ชอบในตัวคนชอบเข้าสังคม(extrovert) อย่างพวกคุณ มีดังต่อไปนี้
เราไม่ชอบที่คุณลอยออกจากโต๊ะไปบ่อยๆ
จะว่าไป พูดว่าไม่ชอบอาจแรงเกินกว่าเหตุ เอาเป็นว่า เราไม่ค่อยเข้าใจจะดีกว่า ว่าทำไมหลังจากนั่งทำงานไปเรื่อยๆแล้วเนี่ย พอเงยหน้าขึ้นมาอีกที
อ้าว คนข้างๆหายไปแล้ว??
ไม่ทันต้องหาคำตอบนาน สักพักเสียงพูดคุยหัวร่อต่อกระซิกก็ดังมาจากที่ไหนสักแห่ง นั่นไง เดินไปคุยเล่นฝั่งกระโน้นนะเอง
แล้วก็นะ ต้องคุยกับคนอื่นที่ไม่ใช่เราด้วย
ทีนี้ ถ้ามันไม่มีอะไร มันก็ไม่มีอะไร อยากจะคุยกับใครก็เรื่องของคุณ ปัญหาคือ บางที เรามีเรื่องที่ต้องปรึกษาคุณ แน่นอน เรื่องงาน แล้วพอกำลังคิดว่าจะไปหาคุณที่โต๊ะ อ้าว คุณเอ้อระเหยลอยชายไปไหนอีกแล้วเนี่ย???
มีคนบอกว่าคนแบบคุณต้องใช้การคุยเป็นการผ่อนคลาย ซึ่งก็เป็นสิ่งที่เราไม่ค่อยเข้าใจเหมือนกัน เพราะเวลาต้องการผ่อนคลาย เราชอบทำทุกอย่าง...ที่ไม่ใช่คุยกับคน
แล้วก็ ดูตาม้าตาเรือก่อนลอยออกจากโต๊ะด้วยล่ะ ตอนอยู่ที่ทำงานเก่า มีรุ่นน้องคนนึงเป็นแบบนี้แหละ ผลน่ะเหรอ
หัวหน้าซึ่งค่อนข้างจะอยู่ติดโต๊ะ มองลอดแว่นไปที่โต๊ะน้องอย่างไม่สบอารมณ์
"มันไปไหนอีกแล้วเนี่ย"
ตัวใครตัวมันเด้อ
เรื่องต่อมา เราเบื่อเวลาสังคมชอบตั้งคำถามว่า "ทำไมเราเงียบจัง"
เมื่อไหร่พวกคุณซึ่ง(ยังโชคดีที่)เป็นคนส่วนใหญ่ของสังคมจะเข้าใจเสียทีว่า การชอบหรือไม่ชอบคุยไปทั่ว มันไม่ใช่ความบกพร่อง แต่มันเป็นความชอบส่วนบุคคล
เดี๋ยวเรารวมตัวกันตั้งคำถามกับพวกคุณว่า "เมื่อไหร่จะหุบปากซะที"
เมื่อนั้นคุณจะรู้สึก
เราไม่ชอบ ทุกกิจกรรมที่บังคับให้เราต้องเข้าสังคม
เผื่อคุณไม่รู้ คนโลกส่วนตัวสูงแบบเราต้องใช้พลังงานมากกว่าคนทั่วไปเวลาเข้าสังคม ผลที่ตามมาคือเราต้องใช้เวลาในการชาร์จพลังเป็นอันมากหลังจากหมดเวลางานในแต่ละวัน
ความโชคร้ายก็คือ สังคมเราดันถูกควบคุมด้วยพวกชอบเข้าสังคม
แล้วไม่รู้อะไรนักหนากับเรื่องการเข้าสังคม ประชุม สัมมนา งานเลี้ยง ฯลฯ โอ๊ย เยอะแยะ
จริงๆแล้ว ถ้าเป็นเรื่องสำคัญๆจริงๆ เราก็ไม่ขัดข้องหรอกที่จะปฏิบัติตาม แต่ไอ้กิจกรรมนอกเวลาราชการน่ะ มันรบกวนเวลาส่วนตัวอันเป็นช่วงเวลาสำคัญที่เราแสนจะหวงแหนมากเลย คุณรู้ไหม
มีอาจารย์ท่านหนึ่ง พอมีงานกลางคืนท่านขอบายแทบจะตลอด แล้วท่านก็บอกว่า
"อาจารย์อ้างลูกอย่างเดียวเลย อาจารย์ไปรับลูกก่อนนะ"
อาจารย์เป็นไอดอลของเราจริงๆ
เพราะฉะนั้น อยากจัดอะไรก็จัดไป หากมารบกวนเวลาส่วนตัว โดยไม่จำเป็นเมื่อไหร่
เตรียมฟังข้ออ้างละกัน
บางที เราก็เบื่อนะ ที่เรามักถูกคนคุยเก่งๆ ประเมินความสามารถต่ำกว่าความเป็นจริง เพียงเพราะเราไม่พูดไม่คุย
จะว่าไม่ชอบเลยก็เกินจริง เพราะบางที การโดนหาว่าโง่ก็ไม่ได้เลวร้าย ดีเสียอีกตรงที่คนไม่เอางานยากๆมาให้เราเพราะคิดว่าเราไม่มีปัญญา
นอกจากนี้ การที่คนคิดว่าเราทำโน่นนี่นั่นไม่ได้ แล้วไม่ให้เราช่วย มันก็เป็นความซวยของเขาเอง เราไม่เกี่ยว(ยักไหล่)
แต่การที่พวกปากหอยปากปูเอาไปโพนทะนาว่าเราไม่เอาอ่าว บางทีก็น่าโมโห โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่างานเราน่ะโคตรหิน
สูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วสวดคาถาพระไพรีพินาศ ระลึกถึงพระไพรีพินาศและพระทั้งหลายที่พกติดตัวอยู่ ข้าพเจ้าไม่ทำอะไรใครอยู่แล้ว แต่ท่านจะรอดหรือ ship lost...
ไปเจรจากับสิ่งศักดิ์สิทธิเหนือเกล้าข้าพเจ้าเอาเอง ข้าพเจ้าไม่เกี่ยว(ยักไหล่อีกที)
เราหน่ายมาก กับการถูกคนคุยเก่งตั้งแง่/ตั้งข้อหา หรือกีดกัน
จุดนี้ผู้ชายอาจจะไม่รู้สึกเท่าไหร่ โลกนี้เคยชินกับผู้ชายเงียบๆอยู่แล้ว แต่การเป็นคนเงียบๆจะอยู่ยากขึ้น...หากคุณเป็นผู้หญิง
นับนิ้วให้ดูก็ได้นะ ที่เคยได้ยินกับหูว่า "เธอเงียบมากเลย" มากี่รอบแล้ว นี่แค่ที่เคยได้ยิน ไม่รู้ที่อยู่นอกเหนือการรับรู้นั้น กี่สิบกี่ร้อยรอบ
ผิดตรงไหนที่เงียบ?
แล้วมันก็จะมีโมเม้นท์ อยู่คนเดียว เดินคนเดียว กินข้าวคนเดียว ไปไหนมาไหนเองคนเดียว ฯลฯ ละพอกลุ่มผู้หญิงมาเห็น...
'น่าสงสารจังเลย อยู่คนเดียว' (กลอกตาเบาๆ)
...เชื่อเถอะ อยู่คนเดียวสบายใจและน่าสงสารน้อยกว่าทนทู่ซี้อยู่กับกลุ่มคนที่ไม่ได้ยอมรับเราอย่างแท้จริง มากมายนัก
ละมันก็จะมีสถานการณ์ที่อยู่คนเดียว แล้วเจอกลุ่มผู้หญิงมองหน้าและส่งรังสีแบบ "อีนี่ประหลาด"
ที่ประหลาดจริงๆก็คือ การอยู่คนเดียวของเราดันไปหนักหัวชาวบ้านนี่แหละ
บางที มันก็จะมีรังสีจากกลุ่มผู้หญิงว่า "อีนี่หยิ่ง ไม่คุยกับใคร"
ไม่มีปัญญาผูกมิตรและได้ประโยชน์จากคนอย่างเราก็อย่าพาลสิ
น่าแปลกที่ไม่ค่อยรู้สึกถึงรังสีอำมหิตเทือกนี้จากกลุ่มผู้ชายสักเท่าไหร่นัก จะมีก็แต่เสียงกระซิบเบาๆว่า "คนเขาไม่กล้าเข้ามาจีบเธอก็เพราะเธอเงียบแบบนี้เนี่ยแหละ"
...สรุปว่าอยู่กับผู้ชายดันกลายสภาพเป็นสารดูดความกล้าไปซะฉิบ
...หรือไม่ บางทีเราอาจจะไม่มีใครมาชอบเลยก็ได้...มั้ง
และเราก็ไม่ชอบ ที่เราไม่สามารถไว้ใจคุณได้...อย่างเต็มที่
เพราะสนิทกับใครยาก การได้สนิทกับใครสักคน มันจึงมีคุณค่ากับเรามาก เวลาคุณเล่าอะไรให้เราฟัง โดยไม่ต้องพูดมาก หากเรารู้สึกว่าเรื่องนั้นมันไม่ควรจะบอกใคร คุณเชื่อได้เลยว่ามันจะอยู่กับเราอย่างเงียบๆไปจนตาย
ในทางกลับกัน พอเราเล่าอะไรให้คุณฟัง สักพักเวลาคุณไปคุยกับคนอื่น แล้วเราได้ยินเสียงคุณพูดถึงเรา มันทำให้เราไม่แน่ใจว่า
...คุณเอาเรื่องของเรา ซึ่งก็ไม่ได้เล่าให้ใครฟังง่ายๆ ไปป่าวประกาศเกินความจำเป็น รึเปล่า และด้วยเหตุนี้ เราก็จะเริ่มระแวงในตัวคุณ
บางที คุณอาจไม่ศรัทธากับเรื่องที่รับฟัง ไม่ศรัทธาในความสัมพันธ์กับเรา เพราะความคุยเก่งของคุณทำให้คุณหาเพื่อนใหม่ได้อย่างเรี่ยราด เอ๊ย ขอโทษ ได้อย่างดารดาษ พอปริมาณมันมากและได้มาง่าย คุณค่าในสายตาก็อาจจะลดลงไป
คุณอยากสนิทกับใครมากกว่าเรา ก็เรื่องของคุณ แต่ทุกครั้งที่คุณทำให้เราระแวง ความสนิทใจที่เรามีต่อคุณ มันก็จะน้อยลงไปเรื่อยๆ ใครจะรู้ วันหนึ่ง แม้เราอาจจะปฏิบัติกับคุณไม่ต่างจากเดิม แต่ในสายตาของเรา คุณอาจมีความสัมพันธ์ระดับเดียวกับคนที่รู้จักทั่วๆไป แล้วก็ได้
การเป็นคนเงียบไม่ได้แปลว่าเราตีสองหน้าไม่เป็น...
สุดท้ายแต่ไม่ท้ายสุด เราเบื่อมาก ที่คุณไม่ค่อยตระหนักถึง privacy ของเราเท่าไหร่
privacy สำหรับเรา หมายถึง ช่วงเวลาที่เราได้อยู่เงียบๆ ตามลำพัง โดยไม่ถูกใครเข้ามารบกวน
ว่ากันอย่างเป็นธรรม เราไม่คิดว่าคุณกลั่นแกล้งหรอก เพราะเท่าที่เราสังเกต(ถึงปากจะปิด แต่ตาเราเปิดอยู่ เราเห็นนะ) คุณก็ไม่เคยตั้ง privacy ให้ตัวเองเลย ไม่ว่าจะทำอะไรอยู่ ใครเข้ามาคุยด้วย คุณก็คุย ใครขอให้ช่วย คุณก็ช่วย แม้การช่วยจะทำให้คุณเดือดร้อนและทำงานของตัวเองไม่เสร็จ
ช่างมีน้ำใจประเสริฐ
แต่คุณคงลืมไปว่าไม่ใช่ทุกคนที่มีน้ำใจประเสริฐและเปิดตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง(คล้ายเซเว่น)แบบคุณ และหนึ่งในคนที่มีเวลาเปิดปิด ก็คือคนเงียบๆแบบเรา
เราอึดอัด เวลาที่คุณเข้ามาคุยกับเรา แล้วคุณไม่ออกไปสักที ทั้งๆที่คุณคุยจบแล้ว! การที่คุณนั่งแช่อยู่กับเรามันเป็นการทำลายเวลาส่วนตัวที่เราหวงแหนอย่างที่สุด
...แล้วเราก็ยังมารยาทดีเกินกว่าจะไล่ เอ่อ ขอโทษ เชิญคุณออกไป ซะด้วยสิ
อยากให้พวกเข้าสังคมเก่งที่ไม่เคยวางรั้วให้ตัวเองเข้าใจเหลือเกินว่า
การที่คุณไม่ตั้ง privacy ให้ตัวเอง ไม่ใช่ใบอนุญาตให้คุณมารุกล้ำ privacy คนอื่น ตามอำเภอใจได้ !!
ช่วยเข้าใจเอาไว้ด้วย
นี่เป็นเพียงตัวอย่างคร่าวๆที่เราไม่ชอบใจในตัวคุณ ไม่ใช่ว่าการที่คุณคุยเก่งกว่าเราจะทำให้คุณเป็นฝ่ายถูก และทุกการกระทำเป็นที่ยอมรับเสมอไป คุณควรเข้าใจและให้เกียรติในความแตกต่างระหว่างบุคคลด้วย
และขอบอกเป็นครั้งสุดท้าย เราไม่ใช่คนพูดไม่เป็น
เราแค่ไม่อยากคุยกับคุณ
เข้าใจตรงกันนะ
ก่อนจบ ขออนุญาตประชาสัมพันธ์ เนื่องจากตั้งแต่ประมาณ 2 กุมภาพันธ์ 2566 เป็นต้นมา ทาง minimore เปลี่ยนรูปแบบเว็บใหม่ ผลที่เกิดขึ้นคือ งานเขียนเรา...ไม่มีคนอ่านเลย (คาดว่าหาเจอยาก)ตั้งแต่วันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2566 เป็นต้นไป เราจึงตัดสินใจกลับไปเขียนเรื่องราวในบล็อกเดิมของเราแทน คุณผู้อ่านที่ถูกจริตในงานเขียนของเรา สามารถติดตามไปอ่านได้ที่
https://alwaysfay.blogspot.com/2023/02/blog-post.html ขอบพระคุณสำหรับการติดตาม และขอบคุณทาง minimore ที่ให้พื้นที่เราได้ขีดๆเขียนๆเรื่องราวตั้งแต่วันแรกจนถึงวันนี้
จนกว่าจะพบกันใหม่
สวัสดีค่ะ
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in