คุณเพิ่งอายุราว ๆ สามสิบต้น ๆ หากจำไม่ผิดน่าจะแก่กว่าผมราว
คุณทำงานเป็นแรปเปอร์ มีชื่อเสียงพอสมควรในแวดวงของคุณ ผมเองเคยได้ยินและได้ฟังผลงานของคุณมาบ้าง แต่ขอโทษเถอะครับ
“ฟังไม่รู้เรื่องสัส”
ผมพูดขึ้นหลังจากที่คุณเปิดเพลงของคุณที่เพิ่งจะปล่อยออกมาได้ไม่นานให้ผมลองฟัง คุณไม่ได้โกรธเคืองคำวิจารณ์ที่ดูไร้ประโยชน์ของผม ค่อนไปทางชอบอกชอบใจเสียมากกว่า ( คุณมักอยู่เสมอบอกว่าชอบที่ผมเป็นแบบนั้น )
ผมอาจเป็นคนเดียว ( ไม่แน่ใจว่าในหมู่คนที่รู้จักคุณหรือในหมู่คนทั้งโลกที่ได้ฟังเพลงของคุณ ) ที่รู้สึกไม่ชอบใจในผลงานของคุณ โดยไม่รู้เหมือนกันว่าเพราะอะไร แต่ฟังทีไรก็หงุดหงิด
อาจจะเริ่มตั้งแต่ตอนที่ผมบังเอิญรู้เข้าว่าอันที่จริงคุณชอบเพลงบัลลาด ทั้ง ๆ ที่คุณเป็นแรปเปอร์แต่รายชื่อเพลงที่มีอยู่ในโทรศัพท์กลับเรียงรายไปด้วยเพลงบัลลาดอัดแน่นไปหมด
รวมถึงเพลงของผมก็เป็นหนึ่งในนั้น
“พี่ชอบเพลงของนาย นายสื่ออารมณ์ได้ดีมาก วันที่นายออกรายการเพลงแล้วต้องร้องสดวันนั้นพี่ก็ฟัง เห็นว่านายร้องไห้หลังจากร้องเพลงนั้นจบด้วย เข้าใจดีเลยว่าทำไม”
คุณบอกเล่าเรื่องราวที่รู้เกี่ยวกับผมในอดีต นี่เป็นครั้งแรกที่คุณแทนตัวเองว่าพี่แบบที่ควรจะทำมาตั้งนานเสียที
“ไหนว่าพี่ไม่ใช่พวกฝืนทำในสิ่งที่ไม่ควรฝืน”
ผมถามพลางเพยิดหน้าไปทางโทรศัพท์ที่ตอนนี้เปลี่ยนมาเล่นเพลงบัลลาดเพลงโปรดของคุณเสียแล้ว
“พี่ชอบเพลงบัลลาด แต่งานของพี่คือการเป็นแรปเปอร์ ก็แค่นั้น มันไม่ได้แปลว่าพี่ฝืนอะไร แค่ไม่เอาเรื่องที่ชอบมาปนกับเรื่องที่ต้องทำ”
“พูดอะไรเข้าใจยาก”
เปล่า จริง ๆ ผมเข้าใจ เข้าใจในสิ่งที่คุณพยายามจะบอกอย่างชัดเจน ชัดเจนเกินไปเสียด้วยซ้ำ
คุณบอกแฝงมาในประโยคนั้นว่าคุณเด็ดขาดในความรู้สึกของคุณเสมอ นั่นไม่ใช่เรื่องแย่
ที่แย่คือคุณก็เด็ดขาดในความรู้สึกที่มีต่อผมเช่นกัน
คุณไม่พูด แต่เส้นแบ่งความสัมพันธ์ของเรากลับชัดเจนยิ่งกว่าคำพูดใดใดเสียอีก.
ฟีลลิ่งคูปส์บูมากๆ คนน้องปากดีๆ หน่อยส่วนคนพี่ก็ยอมอ่อนให้ แล้วสองคนนี้เป็นความต่างที่ลงตัวมาก ??