เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
THE NERD OF MICROSOFTSALMONBOOKS
/ 02 / :_To Hell and Back . . .
  • หลังจากเข้าเรียนใน University of Washington, Seattle ได้ เวลาก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว ผมคร่ำเคร่งแข่งขันกับเด็กหัวกะทิจากทั่วโลก จนเรียนมาถึงปีสี่ของชีวิตนักศึกษาก็ถึงเวลาต้องเลือกว่าอยากจะมุ่งเน้นเจาะจงไปสายงานอะไร เช่น Computer Animation, Game Programmer, Software Engineer, AI, Hardware, ฯลฯ

    อันที่จริง ผมควรมุ่งไปเขียนโค้ดสร้างซอฟต์แวร์ตามที่อาจารย์ในบทก่อนชี้ทางสว่างให้ใช่มั้ยครับ

    เรื่องก็ควรจะเป็นแบบนั้นแหละ ถ้าผมไม่ดันไปตกหลุมรักแอนิเมชั่นเรื่อง Toy Story เสียก่อน

    ผมชอบแอนิเมชั่นเรื่องนี้มากจนลืมไปเลยว่าตั้งใจมาทำ อะไร ผมเลือกสายแอนิเมชั่น โดยไม่คิดสงสัยในเส้นทางนั้นแม้แต่น้อย ไม่ได้เอะใจเลยว่าต่อจากนี้ผมจะต้องเผชิญกับหนึ่งปีแห่งการอดหลับอดนอนอันแสนทรมาน และหลุดมาไกลจากทางที่ควรจะเดินมากเท่าไหร่

    ผมเริ่มเรียนรู้การสร้างแอนิเมชั่นจากศูนย์ เช่น การใช้โปรแกรม Maya เพื่อสร้างตัวละคร ทำโครงร่างกระดูก วิธีการเดิน การขยับตัว รายละเอียดผิวหนัง ดวงตา เล็บ เส้นผม รอยพับเหี่ยวย่นบนร่างกาย

    ผมเรียนวิธีการสร้างสัตว์น้อยใหญ่ อุปกรณ์ประกอบฉาก ต้นไม้ ก้อนหิน ดิน ทราย เมฆ สายลม ไปจนกระทั่งการจัดองค์ประกอบของแสงและบรรยากาศรอบๆ ตัว
  • เมื่อเรียนพื้นฐานเสร็จเรียบร้อย ผมก็ต้องหัดเขียนสตอรี่บอร์ด และสร้างเนื้อเรื่องเพื่อทำแอนิเมชั่นขนาดสั้น เหมือนกับที่ฉายปะหน้าหนังใหญ่ของ Pixar นั่นแหละครับ ผมและเพื่อนๆ กลุ่มนักศึกษาอีกกว่ายี่สิบชีวิตที่มีใจรักในสิ่งเดียวกันแทบจะทุ่มเททุกลมหายใจเข้าออกเพื่อให้ผลงานออกมาอย่างดีที่สุด

    แปลกที่แม้ตอนนั้นจะเหนื่อยขนาดไหน แต่ผมก็สนุกกับมันมากทีเดียว จนกระทั่งต้องเริ่มต้นเขียนเรซูเม่เพื่อสมัครงานกับบริษัทต่างๆ

    Pixar, Dreamworks และ Walt Disney Pictures ถือเป็นเป้าหมายหลักของพวกเราทุกคน แต่ความจริงอันน่าสลดใจคืออะไรรู้ไหมครับ

    ในบรรดานักศึกษาผู้มีความหวังทั้งหมด มีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ถูกเรียกสัมภาษณ์

    และที่น่าเศร้ายิ่งกว่าคือเขาคนนั้นไม่ผ่านการคัดเลือก

    ต้องบอกก่อนว่าช่วงต้นยุค 00s การหางานประจำในสายอาชีพคอมพิวเตอร์แอนิเมเตอร์โหดหินยิ่งกว่าเกมโปรแกรมเมอร์เสียอีกนะครับ ความที่เป็นตลาดใหม่ บวกกับ ผลตอบแทนและกำไรที่ยังน้อยนิดจากการเข้าฉายในโรงภาพยนตร์ จึงทำให้บริษัทไม่ได้ต้องการพนักงานจำนวนมากนัก

    ความจริงดังกล่าวเป็นความจริงที่เจ็บปวดสำหรับผมมาก เนื่องจากการหางานหลังเรียนจบมหาวิทยาลัยสำคัญต่อนักศึกษาต่างชาติเป็นอย่างยิ่ง เพราะถ้าไม่มีบริษัทออกวีซ่าทำงานให้ ผมก็ต้องม้วนหางเดินคอตกกลับสยามบ้านเราแน่นอน

  • แต่พอคิดว่าดั้นด้นมาถึงตอนนี้แล้ว ผมก็ไม่อยากจะยอมแพ้ง่ายๆ เลยลองขอเข้าไปคุยกับอาจารย์ที่ปรึกษาของคณะ เขาเสนอทางออกให้ว่า ผมต้องไปเรียนสาย Software Engineer เพิ่ม แต่แทนที่จะไปเสียเวลาเรียนอีกสามสี่เทอม อาจารย์ก็แนะให้ลองสมัคร Programmer Internship ที่อินเทลดู เป็นการฝึกงานแบบหนึ่งปี (ที่โน่นเขานับเป็นเทอมละสามเดือน หนึ่งปีมีสี่ควอเตอร์ส คือ Spring, Summer, Fall, Winter) โดยข้อดีของมันคือสามารถนับเป็นหน่วยกิตของวิชา Computer Engineer ซึ่งถือเป็นวิชาบังคับของคนเรียนสายซอฟต์แวร์ได้ แถมหลังจากฝึกงานเสร็จ ผมก็แค่กลับมาเก็บหน่วยกิตสุดท้ายที่เป็นการเขียนโปรแกรมเป็นกลุ่มอีกหนึ่งเทอมก็จบแล้ว

    พูดง่ายๆ ว่านี่คือการเปลี่ยนสายแบบทางอ้อม

    ได้เงิน ได้ประสบการณ์ แถมยังได้ชั่วโมงเรียน

    ฟังดูเป็นทางออกที่ไม่เลวทีเดียว

    แล้วผมก็ตัดสินใจเบนเข็มลงใต้ไปยังอินเทล บริษัทสร้างชิพคอมพิวเตอร์ยักษ์ใหญ่ ซึ่งตั้งอยู่ที่เมืองแชนด์เลอร์ รัฐแอริโซนา

    พื้นที่แถบนั้นไม่มีอะไรน่าพิศมัยแม้แต่น้อย ไม่ว่าจะเป็นทะเลทรายสีแดงที่เต็มไปด้วยต้นกระบองเพชรสูงโด่ อากาศที่ร้อนและแห้งคล้ายกับอยู่ในเตาอบตลอดเวลา แต่พอช่วงกลางคืนมาถึง ก็กลับเย็นลงจนน่าตกใจ บางครั้งอุณหภูมิต่างกันเป็นสิบกว่าองศาฯ ในเวลาห่างกันไม่ถึงสิบสองชั่วโมง ช่างสุ่มเสี่ยงต่อการป่วยเหลือเกิน
  • ตลอดช่วงเวลาหนึ่งปีที่อินเทล ผมก้มหน้าก้มตาทำงานอย่างหนักเพื่อเอาชนะใจหัวหน้างาน แม้ว่าผมจะเรียนสายแอนิเมชั่น แต่ก็พอมีความรู้การเขียนโปรแกรมติดตัวมาบ้าง ทำให้ช่วงนั้น ไม่ว่าโปรเจกต์ไหนที่หัวหน้าต้องการคนช่วยเหลือ เช่น ทำโปรแกรมแปลงไฟล์วิดีโอ ทำชิพให้เครื่องใช้ไฟฟ้า ตรวจสอบโค้ดของคนอื่น ผมก็ยกมือก่อนใครอย่างไม่ลังเล ผมทำโอทีโดยไม่เรียกร้องค่าจ้างเพิ่ม ไม่ว่าจะเสาร์-อาทิตย์หรือ วันหยุดไหนๆ ไม่เคยมีอยู่ในสมอง ทำงานหามรุ่งหามค่ำ เข้าออฟฟิศคนแรก ออกคนสุดท้าย เวลาหัวหน้าและครอบครัวต้องเดินทาง ผมก็อาสาเทียวรับเทียวส่งจากบ้านไปสนามบิน ช่วยยกกระเป๋าเดินทางขึ้นรถ เข็นไปส่งที่เคาน์เตอร์ออกตั๋ว สู้งานถวายหัว เหนื่อยจนสายตัวแทบขาด แต่ก็ไม่เคยปริปากบ่น เพราะคิดว่าวันหนึ่งเขาอาจมองเห็นความดีความงามที่เราสั่งสมมา แล้วตกลงจ้างงานแบบประจำและให้กรีนการ์ด (ใบรับรองการเป็นประชากรถาวรของประเทศสหรัฐฯ อย่างถูกกฎหมาย) กับเรา

    แต่ความจริงก็ไม่เป็นไปตามที่หวัง เมื่อหยาดเหงื่อและแรงกายตลอด 365 วันพลันระเหิดหายไปพร้อมกับไอแดดของแอริโซนา เพราะแม้หัวหน้าจะอยากจ้างงานผมแค่ไหน แต่ก็ติดข้อจำกัดเดียวจริงๆ นั่นคือ บริษัทจะรับแต่นักศึกษาที่จบปริญญาโทมาแล้วเท่านั้น

    ครับ...ชีวิตไม่ง่ายดายเลยสักนิด

    สุดท้ายผมจึงต้องหอบหิ้วความเจ็บปวดขับรถขึ้นเหนือกลับไปซีแอตเทิลเพื่อไปเก็บหน่วยกิตวิชา Software Engineer ที่เหลือตัวสุดท้ายในมหาวิทยาลัย

    ช่วงเวลาบนถนน ผมอึดอัดใจจนน้ำตาคลอเบ้า ถนนที่เลือกเดินออกจากบ้านมาตั้งแต่อายุสิบแปดแสนจะวกวนและยืดยาว จนเกิดเป็นความสงสัยว่าหรือเราจะตัดสินใจผิดพลาดมาโดยตลอด 

    ชีวิตผมในตอนนั้นอยู่ในจุดที่ไม่มีทั้งทางเลือกหรือเวลาให้คร่ำครวญโวยวาย ผมเหลือเวลาในรั้วมหาวิทยาลัยอีกแค่สามเดือน ต้องพยายามเรียนให้หนักและส่งใบสมัครงานไปยังบริษัทต่างๆ ขอแค่มีที่ไหนรับแล้วทำวีซ่าให้ก็ถือว่าโอเคแล้ว

    “เอาวะ” ผมกัดฟันตั้งใจสู้ต่อ มวยยังไม่ครบยก และผมก็ยังไม่แพ้น็อค

    เป็นไงเป็นกัน!

Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in