“เกี่ยวอะไรกับเจ้า”
“...”
หนิงเจิงพบว่าคนผู้นี้เข้าหาหายากนางถลึงตาพูดกับเขาว่า “ข้าเป็นถึงองครักษ์ของไท่จื่อ หากความลับที่ข้าเพิ่งทำแตกไปเกี่ยวข้องกับเจ้าคนเดียวข้าก็ไม่สนใจหรอก แต่ถ้าหากเกี่ยวข้องกับความปลอดภัยของไท่จื่อข้าไม่ทนนั่งนิ่งดูดายแน่นอน!”
“เหอะ”
ชายหนุ่มหัวเราะประชด“แล้วเจ้าคิดจะจัดการยังไง”
หนิงเจิงกล่าวอย่างเคร่งขรึมว่า “หากเจ้าทำร้ายไท่จื่อให้ตกอยู่ในอันตรายข้าจะฆ่าเจ้าอย่างแน่นอน!”
ชายหนุ่ม “...”
ไม่รู้ว่ามันเป็นภาพลวงตาของเธอหรือเปล่า แต่หลังจากที่เธอพูดยั่วยุอย่างชัดเจนชายหนุ่มไม่เพียงแค่ไม่โกรธ แต่ความเยือกเย็นรอบตัวเขาก็จางหายไปเช่นกัน
เขาถามเรียบนิ่ง“เจ้าแน่ใจว่าจะสู้ข้าได้หรือ”
นางขมวดคิ้ว“สู้ไม่ได้ก็ต้องสู้ไง!”
“เจ้าจงรักภักดีขนาดนั้นเชียว”
“มันแน่นอนอยู่แล้ว
“เหอะ”
เขาหัวเราะเยาะอีกแล้ว
แต่คราวนี้ไร้ซึ่งความประชดประชัน
หนิงเจิงส่งเสียงฮึดฮัดพูดด้วยความหงุดหงิด “เจ้าหัวเราะอะไร เจ้าคิดว่าข้าสู้เจ้าไม่ได้หรือคิดว่าข้าล้อเล่นกับเจ้ากันฮะ”
จู่ๆชายหนุ่มก็หันมามองนาง ดวงตาดำขลับดุจน้ำหมึกจ้องนางครู่หนึ่งเขาไม่ตอบแต่กลับย้อนถามว่า“ฉะนั้นหมายความว่าเจ้าจะอยู่ปกป้องไท่จื่อที่จวนตลอดไปใช่หรือไม่”
หนิงเจิงตกตะลึง
วินาทีต่อมานางก็เสมองทางอื่น “อีกไม่กี่วัน ข้าก็จะไปจากจวนไท่จื่อแล้วล่ะ”
สายตาของชายหนุ่มพลันเย็นชาเล็กน้อย“เจ้าจงรักภักดีมากมิใช่หรือ ทำไมต้องไปด้วยล่ะ ไท่จื่อไล่เจ้าออกหรือ”
ไล่นางออก?
นอกจากพูดกับนางว่าไสหัวไปหลังจากที่ได้ยินนางพูดคุยกับจ้าวกงกงในวันนี้แล้วดูเหมือนว่าเขาก็ไม่ได้เอ่ยปากไล่นางออก
เมื่อคิดถึงตรงนี้หนิงเจิงก็รู้สึกสลดใจอย่างไม่มีเหตุผล นางก้มศีรษะส่ายหน้า “เปล่า”
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้แล้วทำไมต้องไปอีก” ชายหนุ่มเยาะเย้ยอย่างหนัก “ความจงรักภักดีของเจ้าล้วนเป็นการแสดงละครตบตาให้ข้าเห็นงั้นหรือ”
“...”
เดิมทีหนิงเจิงก็หงุดหงิดมากพอแล้วยิ่งมาเจอเขาละลาบละล้วงถามอีก ทันใดนั้นก็กลายเป็นความโมโห“แสดงละครให้เจ้าดูงั้นหรือ เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นใครกันฮะ
ปกติตอนทะเลาะกันนางจะเป็นฝ่ายยอมไท่จื่อตลอดแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าใครหน้าไหนก็สามารถเหยียบหัวนางโดยไร้ขอบเขตเช่นนี้ได้
คิดว่านางเป็นคนไม่มีปากไม่มีเสียงหรือไง
บรรยากาศโดยรอบลดลงถึงจุดเยือกแข็ง ช่างเงียบสงบและน่าขนลุกมีเพียงลมราตรีที่พัดมาปะทะปรางแก้มของเธอ
“...ขอโทษ”
น้ำเสียงทุ้มแหบข้างหูเบาลงหลายส่วน“ข้าก็แค่สงสัยใครรู้”
หนิงเจิงหลุบตา“ช่างเถิด ข้าเองก็อารมณ์ไม่ดี”
ชายหนุ่มเหลือบมองสีหน้าเศร้าหมองของนางเขาหรี่ตาเล็กน้อยแล้วเอ่ยว่า “อันที่จริง ข้ามาที่นี่เพราะมีธุระแต่ข้าไม่ทำอะไรไท่จื่อหรอก เรื่องนี้เจ้าวางใจได้”
หลังจากหยุดพูดครู่หนึ่ง เขาก็ถามต่อ “บอกข้าได้ไหมว่าทำไมเจ้าถึงต้องไปจากไท่จื่อทั้งๆ ที่เป็นห่วงไท่จื่อมากขนาดนี้”
เดิมทีหนิงเจิงไม่อยากพูดเรื่องนี้กับใคร
แต่ทว่ายามนี้ไม่รู้เพราะเหตุใด จู่ๆนางก็ปรารถนาที่จะปรับทุกข์กับคนที่บังเอิญพบหน้าและรู้จักได้ไม่ถึงครึ่งชั่วยาม
นางถอนหายใจพูดอย่างเซื่องซึม“อาจเป็นเพราะข้านิสัยไม่ดี มักทำให้ไท่จื่อทรงกริ้ว เข้าจวนยังไม่ถึงเดือนก็ทำให้ไท่จื่อทรงกริ้วหลายครั้งแล้ว...สุดท้ายก็ส่งข้าไปให้เซวียนเช่อเฟยจนข้าต้องถูกขังอยู่ในโรงน้ำแข็งทั้งคืน”
ลมหายใจของชายหนุ่มชะงักครู่หนึ่ง“เขา...”
“นี่มิใช่ความตั้งใจของเขาหรอก”หนิงเจิงขัดจังหวะเขาอย่างรวดเร็ว “ข้ารู้ดี เขาก็แค่หาเหตุผลลงโทษเซวียนเช่อเฟยเท่านั้นส่วนข้าหาได้เป็นคนสำคัญไม่ แน่นอนว่าเป็นได้แค่ข้ออ้าง”
“...เจ้าคิดเช่นนี้หรือ”
“หรือว่าไม่ใช่ล่ะ”
นางก้มหน้าหลุบตาทำให้เห็นแววตาไม่ชัดเป็นเพียงเงาที่ปกคลุมใบหน้าด้านข้างที่ดูเยือกเย็นมากขึ้นเรื่อยๆ“เขารู้ทั้งรู้ว่าเซวียนเช่อเฟยรังเกียจข้ามากแค่ไหนเพียงแค่ข้าตกอยู่ในเงื้อมมือนาง ไม่ตายก็คงพิการแต่ว่าชีวิตความเป็นความตายของข้ามิใช่สิ่งสำคัญดังนั้นเขาจึงใช้ข้าเป็นเหยื่อล่อโดยไม่นึกถึงจิตใจข้าเพื่อลวงล่อให้นางลงมือกับข้า...”
“พอแล้ว!”
จู่ๆ ชายหนุ่มก็ตวาดใส่
หนิงเจิงตกใจแล้วหันหน้ามองอย่างประหลาดใจ“เจ้าทำอะไรน่ะ”
เขาเป็นคนถามเองนี่นา พอตอนนี้นางเล่าให้ฟังเขากลับตะคอกดุนางงั้นหรือ
จวนไท่จื่อนี้แปลกจริงๆ ตั้งแต่เจ้านายไปจนถึงบ่าวไพร่และตอนนี้แม้แต่ชายสวมหน้ากากที่โผล่มาจากไหนไม่รู้ก็แปลกประหลาดมากเช่นกัน!
นัยน์ตาของชายหนุ่มสั่นไหวเกร็งหน้าจนกรามขึ้นสันเป็นคม “ข้าหมายถึง ความตั้งใจเดิมของไท่จื่ออาจจะมิได้เป็นเช่นนั้นก็ได้...เขาต้องการให้เซวียนเช่อเฟยรับโทษจริงๆแต่คิดไม่ถึงว่าจะทำให้เจ้าได้รับบาดเจ็บ บางทีเขาอาจจะส่งคนคอยเฝ้าดูเจ้าก็ได้เพียงแต่ว่าเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันเท่านั้น...”
หนิงเจิงขมวดคิ้ว“เจ้าไม่ต้องปลอบใจข้าหรอก”
“ข้าเปล่าสักหน่อย”
“ถ้าหากไม่ได้ปลอบไท่จื่อจะส่งคนมาคอยเฝ้าดูข้าทำไม” นางยิ้มขมขื่น“เขาแทบอยากจะลงโทษข้าให้สาสมด้วยซ้ำเชียวล่ะ”
ชายหนุ่มมีสีหน้านิ่งขรึม“เจ้าอย่ามาคาดเดาความคิดเขามั่วซั่วนะ!”
หนิงเจิงมองเขาแปลกๆ“ตอนนี้ดูเหมือนว่าเจ้าจะเป็นคนคาดเดาความคิดเขามั่วซั่วมากกว่านะ”
ชายหนุ่ม “...”
บรรยากาศโดยรอบเงียบไปพักหนึ่ง และในที่สุดก็เย็นลงอีกครั้ง
มิใช่เรื่องง่ายที่หนิงเจิงจะหาใครสักคนที่สามารถพูดความในใจได้นางเองก็ไม่อยากทำตัวแข็งกระด้างกับเขา
นางเม้มริมฝีปากแล้วเอ่ยว่า“เฮ้อ เจ้าไม่ต้องปลอบใจข้าหรอก แต่ก็ไม่ได้เป็นเพราะเรื่องนี้เท่านั้นอันที่จริงก่อนหน้านี้ยังมีอีกหลายเรื่องราวเชียวล่ะ...ตัวอย่างเช่นจับข้าโยนเข้ากรงไปเป็นอาหารเสือบ้างล่ะ จับข้าโยนเข้าฝูงหมาป่าบ้างล่ะปลอมเป็นผีมาหลอกข้าบ้างล่ะ...อะไรเทือกนี้ จะมีองครักษ์คนอื่นๆคนไหนที่โชคร้ายแบบข้าบ้าง”
นางเท้าคางพร้อมกับถอนหายใจ“ตั้งแต่วันที่ข้าก้าวเข้าจวนไท่จื่อ องครักษ์คนเดียวที่เคยถูกไท่จื่อลงโทษคืออดีตรองหัวหน้าองครักษ์หลิว
ชายหนุ่ม “...”
เขาหลับตาลง เห็นได้ชัดว่าเขาข่มความโกรธไว้และพูดว่า
หนิงเจิงกะพริบตา“นี่ข้าก็กำลังคิดทบทวนอยู่มิใช่หรือไง ดังนั้นข้าจึงขอลาออกเองไงล่ะ”
นี่เรียกว่าคิดทบทวนดีแล้วหรือ
นี่เขาเรียกว่าหนีปัญหาชัดๆ
ชายหนุ่มเม้มริมฝีปากจนเป็นเส้นตรงกล่าวเสียงเย็นชา “อยู่ต่อไปแล้วเป็นองครักษ์ที่ดี คอยปกป้องเขาสุดความสามารถนี่ถึงจะเรียกว่าทบทวนตัวเอง เข้าใจหรือไม่”
หนิงเจิง “...”
จู่ๆ นางก็ขมวดคิ้ว“เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้าเป็นองครักษ์ข้างกายไท่จื่อดูเหมือนเมื่อกี้ข้าบอกเจ้าแค่ว่าเป็นองครักษ์ในจวนเท่านั้นมิใช่หรือ”
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in