หนิงเจิงลอบเบะปากสมกับเป็นลูกหลานอัครมหาเสนาบดีจริงๆ ปากปราศรัยแต่น้ำใจเชือดคอชั่วพริบตาก็กลายเป็นคนชนะผู้มีจิตใจเมตตาดั่งพระโพธิสัตว์ แต่...คำว่าอันที่จริงองครักษ์หนิงก็ไม่ได้เสียหายอะไรมันหมายความว่ายังไง!
นางเสียหายหลายแสนเชียวนะจะบอกให้
โดนใครหลายคนชีหน้าด่าอยู่นานสองนาไม่เสียหายตรงไหนมิทราบถ้าหากนางไม่มีวิชาสะกดจิตติดตัว ไม่สามารถพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตัวเองได้ก็คงแทบสิ้นชีวิตไปแล้วมิใช่หรือ!
นี่มันฉวยโอกาสของคนอื่นชัดๆ
แต่ในเวลานี้อวิ๋นกุ้ยเฟยก็ออกมาพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนเช่นกัน “นั่นสิเพคะฝ่าบาทหม่อมฉันก็คิดเช่นนั้น โทษประหารค่อนข้างเกินไปกว่าเหตุนะเพคะ”
หากได้รับโทษถึงตายจริงไม่แน่เยี่ยเหลียงเซวียนก็อาจจะแว้งกัดนางดังนั้นตอนนี้นางจำเป็นต้องวิงวอนด้วยเช่นกัน
จิ่งตี้นิ่งเงียบสักพักก่อนตรัสว่า “อัครมหาเสนาบดีเยี่ย เจ้าว่าอย่างไร”
“เรื่องนี้...”เยี่ยหลิ่นหรันขมวดคิ้วเล็กน้อย คำพูดติดที่ริมฝีปาก จู่ๆ เขาก็หันไปมองหนิงเจิง“องครักษ์หนิง วันนี้เจ้าถึงจะเป็นผู้ที่เสียหายมากที่สุด เจ้าคิดเห็นเช่นไร”
หนิงเจิงชะงักครู่หนึ่งนึกไม่ถึงว่าเยี่ยหลิ่นหรันจะถามความคิดเห็นของนาง
เยี่ยเหลียงเซวียนเอ่ยเรียกท่านลุงของตนพวกเขาเป็นครอบครัวเดียวกัน และในเมื่อฝ่าบาทเป็นคนถามเขาเพียงแค่อัครมหาเสนบดีเยี่ยเอ่ยปากยังไงฝ่าบาทก็ต้องเห็นพ้องต้องกันกับเขาอยู่แล้ว
เพราะฉะนั้นนางจึงคิดไม่ถึงเลยว่าอัครมหาเสนาบดีเฒ่าผู้นี้ยังจดจำได้ว่านางคือผู้ที่ถูกทำร้ายมากที่สุด
ทันใดนั้นหนิงเจิงก็รู้สึกซาบซึ้งใจแล้วหันไปยิ้มให้เขา “ข้าน้อยทราบดีว่าท่านอัครมหาเสนาบดีเยี่ยยุติธรรมที่สุดไม่ว่าท่านจะตัดสินใจอย่างไร ข้าน้อยล้วนไร้ข้อคิดเห็นขอรับ”
“ได้”
เยี่ยหลิ่นหรันพยักหน้าก่อนหันไปเอ่ยกับฮ่องเต้อย่างเคารพ “ในเมื่อฝ่าบาททรงถามความเห็นของกระหม่อมเช่นนั้นกระหม่อมขอทูลตามตรงก็แล้วกันพ่ะย่ะค่ะ”
จิ่งตี้ตอบเสียงอืม
เยี่ยหลิ่นหรัน“ถึงอย่างไรเหลียงเซวียนก็เป็นหลานสาวของกระหม่อมกระหม่อมก็ไม่ต้องการเห็นนางตายไปต่อหน้าต่อตาดังนั้นขอพระองค์ทรงไว้ชีวิตนางด้วยพ่ะย่ะค่ะ แต่ทว่ายากที่จะหลีกหนีโทษประหารนางกระทำเรื่องเช่นนี้ ก็ให้นางรับผลกรรมที่ก่อไว้...นอกจากที่ไท่จื่อตรัสไล่นางออกจากจวนไท่จื่อแล้วยังต้องโดนโบยอีกสามสิบที พร้อมกับเนรเทศออกจากเมืองหลวงพ่ะย่ะค่ะ
“ท่านลุง
“การไว้ชีวิตเจ้าก็ถือว่าเมตตามากเกินพอสำหรับองครักษ์หนิงแล้ว!”เยี่ยหลิ่นหรันตวาดลั่น
เยี่ยเหลียงเซวียนคำราม“เมตตาอะไรกัน เขาเสแสร้งทั้งนั้น เขาต้องการให้ข้าตาย
นางอยู่สุขสบายมาตั้งแต่เกิดหากโดนไล่ออกจากจวนไท่จื่อแล้วต้องจากบ้านอีก ต่อไปนางจะใช้ชีวิตอย่างไร
ชื่อเสียงเสื่อมเสียไร้อำนาจเงินทอง...สิ่งของที่สำคัญที่สุดสำหรับนางล้วนสูญสิ้นนั่นมันทรมานยิ่งกว่าความตายอีกมิใช่หรือ!
แววตาของเยี่ยหลิ่นหรันดำดิ่ง“เจ้าหมายความว่า เจ้าอยากตายมากกว่าถูกเนรเทศออกจากเมืองหลวงงั้นหรือ”
เยี่ยเหลียงเซวียนตกตะลึงสะท้านนาง...ไม่อยากตาย
จิ่งตี้มีสีหน้าเคร่งขรึมอยู่นานสุดท้ายก็ยกพระหัตถ์ขึ้นโบก “ถ้าอย่างนั้นก็เอาตามที่อัครเสนาบดีกล่าวเถิด”
...
คดีของสระบัวได้รับการตัดสิน บิดาของเยี่ยเหลียงเซวียนเข้าไปในวังเพื่อขอร้องก็ไม่เป็นผลในที่สุดเยี่ยเหลียงเซวียนก็ถูกลงโทษ ทหารคุ้มกันพานางออกจากเมืองหลวงด้วยความเจ็บปวด
พวกคุณหญิงคุณนายจากแต่ละจวนต่างมีความรู้สึกหลากหลายหลังจากกลับจวนกันไป ก็รีบเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในวังวันนี้ให้กับสามีที่บ้านฟัง
และด้วยเรื่องนี้นี่เองที่ทำให้เหล่าขุนนางบู๊บุ๋นนึกถึงสิ่งที่องครักษ์น้อยผู้นี้สร้างวีรกรรมก่อนหน้าหลายครั้ง...ไม่ว่าเรื่องไหนๆก็ล้วนเป็นความสามารถที่ไม่ธรรมดาทั้งนั้น
ในไม่ช้าเหล่าขุนนางบู๊บุ๋นก็มองหนิงเจิงในอีกมุมมองหนึ่ง!
ณห้องทรงอักษรในเพลานี้แม้กระทั่งสายตาของจิ่งตี้ก็เจือแววชื่นชมในความสามารถของนาง “หนิงเจิงความสมารถของเจ้า ไม่น้อยเลยทีเดียว”
หนิงเจิงกำลังจะกล่าวขอบคุณทว่าวินาทีต่อมา จิ่งตี้กลับเอ่ยขึ้นมาอีกครั้งอย่างคาดไม่ถึง “เจ้าสนใจลองมาเป็นขุนนางในวังชั่วคราวหรือไม่”
เมื่อถ้อยคำนั้นหลุดออกไปสีหน้าของคนในห้องทรงอักษรก็เปลี่ยนไป
เซียวหนานสวินหรี่ตาเขาต้องการหันไปมองหนิงเจิงโดยไม่รู้ตัว แต่ก็ยังระงับความอดทนไว้ได้อยู่
ไม่ว่าจะเป็นตอนเซียวเฉิงอิ่งหรือใครหน้าไหนต้องการคนของเขาไปเขาสามารถปฏิเสธอย่างไม่ไว้หน้าได้ทั้งนั้น
แต่ทว่าตอนนี้กลับเป็นเสด็จพ่อ
หากประมุขของแว่นแคว้นต้องการถ้าหากหนิงเจิงปฏิเสธ...ผลจะเป็นอย่างไรก็ไม่มีผู้ใดทราบ
ยิ่งไปกว่านั้นเขาก็มิอาจปฏิเสธได้...โอกาสทองเช่นนี้มันแตกต่างกับตอนที่เหอโหย่วเหวยเกลี้ยกล่อมในตอนแรกโดยสิ้นเชิงเมื่อได้รับคำชื่นชมจากเสด็จพ่อนั่นก็หมายความว่าสามารถเข้ามาสวมหมวกขุนนางในวังได้จริงๆ
ขณะที่ความคิดนี้กำลังผุดขึ้นในหัวก็ได้ยินน้ำเสียงปลาบปลื้มยินดีดังมาจากข้างกาย “แน่นอนว่าสนใจพ่ะย่ะค่ะ
รูม่านตาของเซียวหนานสวินหดตัวลง
เมื่อผลประโยชน์มาอยู่ตรงหน้าก็ควรจะทำเช่นนี้แล
แต่ทว่า...
เซียวหนานสวินแสยะยิ้มอย่างเย็นชาเจ้าสุนัขรับใช้สมควรตายนี่ เสื้อผ้าที่เขาอุตส่าห์มอบให้เมื่อคืนวานคงจะเป็นหมันแล้ว!
“แต่ทว่าฝ่าบาทนี่เป็นเพียงแค่ความสนใจเท่านั้น กระหม่อมมิอาจทำเช่นนั้นได้หรอกพ่ะย่ะค่ะ”หนิงเจิงกล่าวอีกครั้ง
แววตาของเซียวหนานสวินแปรเปลี่ยนเล็กน้อยสักพัก เขาก็ตัดสินใจหันไปมองนางอยู่ดี
ขณะที่เยี่ยหลิ่นหรันและเฮ่อเหวินจงต่างก็ขมวดคิ้วอย่างอดมิได้
จิ่งตี้พลันมีสีหน้าเคร่งขรึม“เจ้าว่าอะไรนะ”
ทันทีที่น้ำเสียงแหบและสุขุมเย็นชานี้เผยออกไปบรรยากาศภายในห้องทรงอักษรก็แข็งกระด้างฉับพลัน
ทว่าดูเหมือนหนิงเจิงจะไม่ได้สังเกตเห็นปฏิกิริยาของทุกคนในที่นี้นางหันไปมองฮ่องเต้ด้วยสีหน้าสงบ พร้อมยิ้มกล่าว“กระหม่อมรู้สึกดีใจอย่างยิ่งที่ได้รับการชื่นชมความสามารถจากฝ่าบาทและปลาบปลื้มยิ่งนัก!แน่นอนว่ากระหม่อมก็ทราบดี หากได้เข้ามาเป็นขุนนางในวังจะต้องมีอนาคตมากกว่าเป็นองครักษ์และสามารถเชิดชูเกียรติยศวงศ์ตระกูลได้อย่างรวดเร็วเป็นแน่แท้!
จิ่งตี้แย้มสรวลอย่างเย็นชา“ในเมื่อเป็นเช่นนั้น แล้วทำไมเจ้าถึงบอกว่าตัวเองทำเช่นนี้ไม่ได้ล่ะฎ
หนิงเจิงทอดถอนใจกล่าวว่า“เพราะว่าฝ่าบาททรงช้าไปหนึ่งก้าวพ่ะย่ะค่ะ...ตอนนี้กระหม่อมเป็นองครักษ์ของไท่จื่อแล้วจะให้กระหม่อมทรยศเจ้านายเพียงแค่เจอผลประโยชน์ที่ดีกว่าเล่าพ่ะย่ะค่ะหากวันนี้กระหม่อมตอบตกลงฝ่าบาท แล้วในอนาคตมีผู้ยื่นข้อเสนอที่ดีกว่านี้ให้ กระหม่อมก็คงทรยศฝ่าบาทเพื่อไขว่คว้าผลประโยชน์ที่ดีกว่ามิใช่หรือพ่ะย่ะค่ะผู้ที่ขาดหัวใจที่จงรักภักดีแบบนี้พระองค์คิดว่าสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้หรือพ่ะย่ะค่ะ
จิ่งตี้หรี่ตาเล็กน้อยด้วยสายตาลึกซึ้ง
เซียวหนานสวินก้มหน้าก้มตาและเม้มริมฝีปากบางเล็กน้อย
หนิงเจิงหยุดครู่หนึ่งจากนั้นจึงเอ่ยเพิ่มเติมด้วยความซื่อสัตย์ว่า “ไม่ว่าอดีตหรือปัจจุบันกระหม่อมเพียงแค่ต้องการทำหน้าที่ของตนเองให้ดีที่สุด ถ้าหากไท่จื่อทรงตกรางวัลกระหม่อมสักเล็กน้อยกระหม่อมก็ยินดียิ่งแล้วพ่ะย่ะค่ะ ถ้าหากเจ้านายไม่ตกรางวัล กระหม่อมก็จะไม่ตัดพ้อใดๆแล้วก็จะไม่ทรยศเจ้านายด้วยเหตุผลนี้ด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อกล่าวถึงตรงนี้จู่ๆ นางก็หันไปยิ้มตาหยีให้กับเซียวหนานสวิน “ไท่จื่อกระหม่อมจงรักภักดีกับพระองค์ขนาดนี้แล้ว หลังจากกลับจวนไป พระองค์ทรงตกรางวัลอะไรให้กระหม่อมสักเล็กน้อยไหมพ่ะย่ะค่ะ”
เซียวหนานสวิน“...”
คนอื่นๆ “...”
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in