เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Dangerous Love (Deadly Companions #1)Aki_Kaze
บทที่ 4: โดมินิค
  • 4

    โดมินิค


    ผมมาถึงออฟฟิศตั้งแต่เช้า แน่นอนว่ายังมาช้ากว่ามาร์กาเร็ต เธอใส่หูฟัง นั่งหลับตา พาดขาทั้งสองไว้บนโต๊ะทำงาน มีเอลเลียตนอนนิ่งๆ อยู่บนตักของเธอ ผมยังไม่อยากรบกวนเลยเดินผ่านโต๊ะของเธอไป

    “อรุณสวัสดิ์ค่ะ บอส” เธอทักขึ้น ยืดตัวบิดขี้เกียจแล้วยกขาลงพลางหมุนเก้าอี้มาทางผม เอลเลียตกระโจนลงจากตักของเธอมาคลอเคลียที่ขาของผม

    “ถ้าเร็จจี้กับเฟอร์กัสมา บอกให้เขามาหาด้วย”

    “ค่ะ”

    “แล้วก็...” ผมหันกลับไปทางเธอ “ถ้าได้ข้อมูลที่ผมให้เช็คเมื่อคืนแล้วบอกด้วย”

    มาร์กาเร็ตพยักหน้ารับก่อนเริ่มลงมือทำงาน

    ผมเดินเข้าไปในห้องทำงานของตัวเอง เปิดประตูทิ้งไว้เพื่อให้ทุกคนรู้ว่าผมอยู่และสามารถเข้ามาหาได้ทุกเมื่อ เอลเลียตกระโดดขึ้นมานั่งบนตัก ผมลูบเส้นขนสีเทาเพลินมือ คุยเล่นกับเขาเพื่อให้เขาสบายใจ

    ไม่กี่นาทีต่อมาก็มีเสียงเคาะประตูหน้าห้องของผม

    “บอสเรียกเหรอครับ” เร็จจี้โผล่หน้าเข้ามาก่อน ตามมาด้วยเฟอร์กัส

    เร็จจี้เป็นหนุ่มวัยยี่สิบสี่ปีที่เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยี เขายิ้มแย้มและเป็นมิตรเมื่ออยู่ท่ามกลางคนรู้จักแต่จะเก็บเนื้อเก็บตัวทันทีที่เมื่ออยู่ในสภาพแวดล้อมใหม่ๆ เขาชอบสวมฮู้ดไซส์ใหญ่กว่าตัวกับกางเกงยีนส์ขายาว 

    ส่วนเฟอร์กัส รอส-แฮริส อายุยี่สิบแปดปี รูปร่างสมส่วน มีผมและตาเป็นสีน้ำตาลเข้ม เป็นคนพูดน้อยก็จริง แต่สามารถปรับตัวเองให้เข้ากับสถานการณ์ต่างๆ ได้เป็นอย่างดี เขาทำงานภาคสนามมากกว่าอยู่ในออฟฟิศ บางครั้งผมก็ให้เขารับงานบอดี้การ์ดด้วย

    “ได้ความคืบหน้าอะไรเกี่ยวกับมิลเลอร์บ้าง”

    “ไม่มีครับ” ผมเลิกคิ้ว “ประวัติทางการเงินของมิลเลอร์สะอาดจนผมต้องขอเวลาขุดอีกหน่อย” “บางทีมันอาจไม่จำเป็นแล้ว” ผมพูดก่อนหันไปทางเฟอร์กัส “เธอช่วยไปเช็คบ้านของแอมโบรสให้ที พวกไฟล์กับภาพถ่าย”

    “ครับ”

    ทั้งสองยังคงยืนที่เดิม ผมเลยต้องบอกให้พวกเขาออกไปได้

    “เปิดหรือปิดประตู” เร็จจี้ถาม

    “เปิดไว้”

    ผมมองทั้งคู่เดินกลับไปที่โต๊ะทำงานผ่านทางหน้าต่าง สามคนนั้นทำงานกับผมมานานเลยสนิทกันเป็นอย่างดี บรรยากาศในนี้ไม่ได้เคร่งเครียดอย่างที่คนนอกเข้าใจ หากลูกน้องมีความสุข พวกเขาจะทำงานให้ผมได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    ผมนั่งเคลียร์งานเอกสารแม้ว่าสายตาจะคอยมองเวลาบนจอคอมพิวเตอร์แบบพกพาที่เปิดทิ้งไว้อยู่บ่อยครั้งก็ตาม พอได้เวลาผมก็ลุกขึ้นยืน ลืมไปด้วยซ้ำว่าเอลเลียตนอนอยู่บนตัก เขารีบกระโดดลงไปบนพื้น หันมองผมด้วยสีหน้าไม่พอใจก่อนจะวิ่งไปหามาร์กาเร็ตแทน

    “เอลเลียต มันหนักนะ” เสียงของเธอดังแว่ว พอมาร์กาเร็ตเห็นผมสวมสูท เดินออกมาจากห้องก็ทักขึ้น “บอสคะ ข้อมูลเกี่ยวกับลูกน้องของทอสคาโน่”

    ผมเลี้ยวไปที่โต๊ะทำงานของเธอ มองดูภาพถ่ายบนจอคอมพิวเตอร์

    “เมื่อคืนเฮนรี่สะกดรอยตามเขาไปก็พบว่าเขาเอายาเสพติดที่ต้องเอาไปให้ฟิชเชอร์ไปปล่อยขายเสียเอง”

    มุมปากของผมกระตุกยิ้มโดยอัตโนมัติยามดูภาพถ่ายเหล่านั้น ผมล้วงหยิบโทรศัพท์มือถือออกจากกระเป๋าด้านในของสูท เลื่อนหาชื่อทอสคาโน่ทันที อีกฝ่ายรับสายเร็วกว่าที่คิด

    “ผมคิดว่าคุณคงไม่ได้จัดฉากทำร้ายผม” ผมพูด “ผมจะส่งบางอย่างไปให้คุณ ส่วนคุณจะทำอะไรกับข้อมูลนี้เป็นเรื่องคุณ แต่คุณติดหนี้ผม คุณทอสคาโน่”

    ผมตัดสายทิ้ง บอกมาร์กาเร็ตให้ส่งไฟล์ภาพไปให้ทอสคาโน่

    “แฮงก์ยังไม่เข้ามาเหรอ”

    “ตอนฉันโทรไปเขาเพิ่งตื่นด้วยซ้ำ” มาร์กาเร็ตตอบ

    “บอกเขาให้นอนพักไปแหละ ไม่ต้องเข้ามา” อย่างน้อยตอนนี้ผมก็อารมณ์ดีขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อย เรื่องลูกน้องของทอสคาโน่ควรปล่อยให้อีกฝ่ายจัดการ ส่วนหนี้ที่ว่าผมคงมีโอกาสให้เขาชดใช้ได้แน่

    “บอสใจดีกับเฮนรี่ตลอดเลยนะ” เธอพึมพำ 

    ผมไม่มีความจำเป็นที่ต้องให้เฮนรี่ ควินแลน หรือที่ผมเรียกว่าแฮงก์เข้ามาที่นี่ อีกอย่างถ้าเมื่อคืนเขาสะกดรอยตามลูกน้องของทอสคาโน่จนดึกดื่นก็ควรปล่อยให้พัก แต่เมื่อผมกวาดสายตาไปรอบๆ ออฟฟิศก็พบว่ามีแต่มาร์กาเร็ตที่นั่งอยู่ในห้อง

    “ถ้าเหงานักก็โทรเรียกเขาเข้ามาก็ได้”

    เธอทำเสียงขึ้นจมูกทันที “ให้ฉันเลี้ยงแมวตัวเดียวพอแล้ว”

    ผมตบบ่ามาร์กาเร็ตเบาๆ เธอหันมาทัก “บอสจะไปไหนเหรอ”

    “ร้านกาแฟ”

    “วันนี้เขามีเรียนทั้งวันนะคะ” เสียงพูดของเธอไล่ตามหลังผมมา “ตอนกลางคืนก็ไปทำงานที่สปาร์ค”

    ผมไม่ได้ตอบอะไร เดินออกจากสำนักงานไปยังลานจอดรถ

    การจราจรในย่านดาวน์ทาวน์ช่วงสายเป็นไปอย่างคล่องตัวผิดกับช่วงชั่วโมงเร่งด่วนลิบลับ ระหว่างที่กำลังเดินทางไปมหาวิทยาลัยของแอมโบรสผมก็ได้รับโทรศัพท์จากอีริค โกลด์ เขาต้องการความคืบหน้าเพราะกลัวไม่คุ้มกับเงินที่เสียไป ผมรับปากว่าจะรีบจัดการให้เสร็จโดยเร็ว ที่ผมไปหาแอมโบรสก็ด้วยเหตุนี้

    ผมจอดรถที่ลานจอดส่วนกลาง แสงแดดจากภายนอกทำให้ผมสวมแว่นกันแดดค้างไว้ ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะหาคนๆ เดียวในมหาวิทยาลัยหลักของเมืองซึ่งมีจำนวนนักศึกษาและเจ้าหน้าที่รวมกันนับหมื่น ผมโทรศัพท์หามาร์กาเร็ตเพื่อขอข้อมูลการศึกษาของแอมโบรส อดแปลกใจไม่ได้ที่พบว่าเขาเรียนด้านอนิเมชัน ผนวกกับช่วงเวลาการทำงานของเขาแล้วผมไม่รู้เลยว่าผู้ชายคนนั้นเอาเวลาไหนไปนอน

    ภาควิชาคอมพิวเตอร์มีอาคารเป็นของตัวเอง ตั้งอยู่ถัดจากหอสมุด ผมเดินผ่านสนามหญ้าโล่งกว้างที่มีจุดให้นั่งพักผ่อน เสียงพูดคุยของนักศึกษาดังแว่วเป็นระยะอย่างมีชีวิตชีวา เป็นบรรยากาศที่ไม่คุ้นชินเท่าไรนัก

    หลังพ้นบริเวณที่พักผ่อนมาได้ผมก็เห็นหอสมุดและฝั่งตรงข้ามกันคือจุดหมายปลายทางของผม มันคงง่ายกว่านี้ถ้าผมโทรศัพท์หาแอมโบรส การจะหาเบอร์ของเขาไม่ใช่เรื่องยาก

    ขณะกำลังจะเดินไปยังอาคารสูงสี่ชั้นผมก็เห็นหนุ่มผมทองเดินลงบันไดมาพร้อมกับชายหนุ่มอีกคนที่มีส่วนสูงไล่เลี่ยกัน ดวงตาสีเขียวของแอมโบรสหันมาเห็นผมก่อนที่จะทันได้ทัก หัวคิ้วของเขาขมวดเข้าหากันอย่างรวดเร็ว

    “เจอกันช่วงบ่ายนะ โบรส”

    “โอเค” แอมโบรสตอบกลับก่อนจะเดินมาทางผมด้วยสีหน้าไม่พอใจ “คุณมาทำอะไรที่นี่”

    “กินอะไรหรือยัง”

    เขาทำหน้าเหมือนต้องการต่อว่าอะไรบางอย่างแต่ก็เปลี่ยนใจ “ทำไมครับ”

    “ฉันเลี้ยง มีที่ไหนที่เราจะคุยไปด้วยกินไปด้วยได้ไหม”

    “ใกล้เที่ยงแบบนี้ร้านไหนๆ ก็คนเยอะทั้งนั้นแหละครับ” แอมโบรสออกเดินต่อ น่าแปลกที่ผมเดินตามเขาไปโดยอัตโนมัติ “มีร้านอาหารแม็กซิกันห่างไปประมาณแปดนาที คุณกินอาหารแม็กซิกันได้ใช่ไหม”

    “ฉันไม่มีของที่ชอบหรือเกลียดเป็นพิเศษ”

    เขายักไหล่ “ผมชอบอาหารแม็กซิกันเป็นอันดับที่สอง”

    “แล้วอันดับที่หนึ่งล่ะ”

    แอมโบรสหันกลับมามองด้วยสีหน้าและแววตาที่ทำให้ผมคิดถึงเรื่องอกุศลขึ้นมา เขายิ้มขึ้นราวกับล่วงรู้ความคิดของผม

    “ไม่มี อันดับที่สูงที่สุดสำหรับผมคือสอง”

    “แล้วฉันอยู่อันดับไหนล่ะ” ผมแกล้งถามแต่แอมโบรสแทบไม่ต้องใช้เวลาในการคิด

    “ขึ้นอยู่กับว่าคุณอยากให้ผมจัดอันดับอะไร เราไปทางนี้”

    เขาพาผมเดินออกนอกมหาวิทยาลัย ข้ามถนนฝั่งซ้ายทีขวาทีจนมาถึงร้านอาหาร ภายในไม่ได้กว้างขวางนักแต่มีความลึก โต๊ะด้านในมีลูกค้ากลุ่มใหญ่นั่งอยู่ เสียงหัวเราะดังขึ้นเป็นระยะ แอมโบรสเลือกนั่งโต๊ะสำหรับสองที่นั่งที่ตั้งชิดผนัง พนักงานเดินมาพร้อมเมนูอาหาร

    “ผมเอาบูร์ริโตหมูฉีกกับนาโชส์แล้วก็ชาเย็น”

    พนักงานจดเมนูของแอมโบรสก่อนจะหันมาทางผม “ฟาฮิต้าไก่กับน้ำเปล่า”

    “ลืมไปเลยว่าคุณเลี้ยง ผมน่าจะสั่งเยอะกว่านี้” เขาพูดขึ้นหลังจากที่พนักงานเดินจากไปแล้ว “คุณจะต้องกินก่อนหรือเราสามารถคุยกันได้เลย”

    “เธอใจร้อนกว่าที่ฉันคิดนะ”

    “แต่ผมรู้จักอดทนในช่วงเวลาที่ต้องการ” มุมปากของเขายกขึ้นเล็กน้อย ทำเป็นเล่นหูเล่นตา ยิ่งเขานั่งเท้าค้างยิ่งเหมือนกำลังเย้ายวน

    ก่อนที่เราจะได้พูดอะไรต่อเสียงโทรศัพท์ของผมก็ดังขึ้น ผมตั้งใจจะตัดสายแต่ชื่อของเฟอร์กัสทำให้ไม่อาจเพิกเฉยได้

    “ขอโทษนะ ฉันต้องรับสายนี้” ผมลุกจากที่นั่ง เดินออกไปนอกร้านสู้กับแสงแดดยามกลางวัน “ว่าไง”

    “บอสครับ ผมอยู่ที่ห้องของแอมโบรส มิลเลอร์ เรามีปัญหากันนิดหน่อย”

    “ปัญหาที่ไหนกัน” เสียงของเร็จจี้แทรกเข้ามา น่าแปลกที่เขาออกภาคสนามด้วย “คืองี้ครับ ห้องของแอมโบรสมีกล้องวงจรปิด”

    สายตาของผมหันไปทางผู้ชายที่เรากำลังพูดถึงโดยอัตโนมัติ อีกฝ่ายกำลังคุยกับพนักงานที่นำอาหารมาเสิร์ฟ

    “มีสองจุดในห้องนั่งเล่น สองจุดบริเวณที่นอน” เร็จจี้พูดต่อ “ผมว่าพวกคลิปกับภาพถ่ายพวกนั้นคงมาจากกล้องพวกนี้”

    “ปัญหาคืออะไรล่ะ”

    “ตอนเราเข้ามาในห้อง...กล้องจับภาพพวกเราไว้ได้ครับ แต่ผมสามารถลบบันทึกช่วงเวลานั้นได้”

    “ถ้าเขาเช็คกล้องวงจรปิดเขาก็จะรู้ว่ามีช่วงเวลาที่หายไป”

    “ใช่ครับ แต่ผมสงสัยว่าเขาจะเช็คทุกวัน อีกอย่างกล้องพวกนี้น่าจะมีจุดประสงค์ของมัน” ถึงเร็จจี้ไม่ได้ขยายความแต่ผมก็เข้าใจความหมายของเขา ผมไม่จำเป็นต้องถาม เขาก็พูดต่อ “ผมกำลังเช็คคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะของเขาอยู่ แต่ไม่พบอะไรน่าสงสัย ไม่มีไฟล์ภาพหรือคลิปอยู่ในนี้ เขาอาจจะมีคอมพิวเตอร์อีกเครื่อง”

    “เขาสะพายเป้แบบที่ใส่โน้ตบุ๊คได้”

    “ผมอาจจะต้องหาโอกาสดูโน้ตบุ๊คเครื่องนั้น แต่มีสิ่งหนึ่งที่บอสควรรู้” น้ำเสียงของเขาจริงจัง “ผมเช็คสถานะทางการเงินของเขา เขามีเงินเข้าจำนวนมากคงเป็นรายได้จากอาชีพเสริม แต่ทุกเดือนเขาจะโอนเงินจำนวนมากไปยังบัญชีนึง ผมยังเช็คปลายทางไม่ได้อาจจะต้องรอกลับออฟฟิศก่อน”

    ถ้าแอมโบรสแบล็คเมลลูกค้า เขาควรมีเงินเข้ามากกว่าเงินออก ข้อมูลที่ได้ทำให้ผมสงสัยเรื่องของผู้ชายคนนี้มากขึ้นไปอีก

    เสียงผิวปากลอดขึ้น “เขามีของไม่ธรรมดาอยู่ในลิ้นชักเพียบเลย”

    “เรจินัล” เฟอร์กัสทำเสียงดุก่อนเป็นฝ่ายคุยโทรศัพท์กับผมต่อ “ผมกำลังเช็คห้องของแอมโบรสเพื่อหาภาพถ่าย อาจต้องใช้เวลานานกว่าที่คิด เรจินัลเองก็ต้องใช้เวลานานเหมือนกัน”

    “ฉันทำงานไวกว่านาย” คนถูกพาดพิงแย้งทันควัน เสียงของเขาเบากว่าน่าจะเป็นเพราะยืนคนละที่ “จริงสิ บอส เราสามารถดูการเคลื่อนไหวของเขาผ่านกล้องวงจรปิดได้นะครับ บอสจะให้ผมทำไหม”

    ผมหันมองแอมโบรสอีกครั้ง เขาทำท่าเหมือนจะบอกว่าอาหารจะเย็นเสียหมดถ้าผมไม่รีบวางสาย ผมพยักหน้าให้เขา

    “จัดการให้ด้วย ฉันต้องไปแล้ว”

    “คุณทำงานอะไรกันแน่นะ” จากน้ำเสียงของแอมโบรสบ่งบอกว่าไม่ใช่ประโยคคำถาม ผมจึงไม่ได้ตอบอะไรแล้วนั่งลงฝั่งตรงข้ามเขา

    “เธอควรกินก่อนที่มันจะหายร้อนนะ”

    “ผมจะกินก่อนคนเลี้ยงได้ยังไง” ผมมองไม่ออกเลยว่าเขามีมารยาทหรือกำลังแหย่ผมกันแน่ ทั้งที่การอ่านสีหน้าและสังเกตพฤติกรรมคนอื่นเป็นจุดแข็งของผม

    “ฉันอยู่นี่แล้ว เพราะงั้นกินสิ”

    สีหน้าของแอมโบรสเปลี่ยนไปเล็กน้อย ความประหม่าของเขาส่งมาถึงตัวผม เราลงมือรับประทานอาหารอย่างไร้ซึ่งบทสนทนา ผมทบทวนสิ่งที่เร็จจี้กับเฟอร์กัสรายงาน คำตอบที่ผมต้องการไม่ได้อยู่ที่บ้านของเขา

    “ผมอิ่มแล้ว คุณอิ่มแล้ว ที่นี่เข้าเรื่องได้หรือยังครับ” แอมโบรสเอนหลังพิงพนักเก้าอี้พร้อมถือเครื่องดื่มในมือ

    ผมเลิกอิดออดต้องการจบเรื่องนี้โดยเร็ว “เธอมีของที่ฉันต้องการ”

    หัวคิ้วของเขาพุ่งเข้าหากันด้วยความสงสัย ผมขยายความ “ภาพถ่าย” ความขี้เล่นหายไปจากใบหน้าของแอมโบรส เตือนสติผมว่าผู้ชายคนนี้เป็นลูกชายของผู้มีอิทธิพล

    “ใคร” คราวนี้กลายเป็นผมที่ไม่เข้าใจ มุมปากของเขากระตุกขึ้น “ผมมีลูกค้าหลายคน ผมจะรู้ได้ยังไงว่าคุณกำลังพูดถึงใคร”

    “เธอแบล็คเมลทุกคนเหรอ”

    “แบล็คเมล?” แอมโบรสทำเสียงเย้ยหยัน “ภาพพวกนั้นเป็นหลักประกันของผม คุณไม่รู้หรอกว่าคนพวกนั้นเป็นยังไงเวลาอยู่บนเตียง”

    “พวกเขาทำร้ายเธอเหรอ”

    รอยยิ้มของแอมโบรสคล้ายกำลังบอกว่าผมพูดจางี่เง่าออกไป “คุณใสซื่อได้ถึงขนาดนี้เลยเหรอ” เสียงหัวเราะหลุดจากริมฝีปากของเขา และมันน่าฟังอย่างที่ผมไม่เคยคิดมาก่อน “ไม่ว่าใครก็ตามที่ขอให้คุณมาหาผม บอกเขาว่าผมไม่คืนภาพถ่ายให้ แต่ผมไม่คิดจะนำไปทำอะไรอยู่แล้ว ตราบใดที่เขาไม่ทำอะไรผม”

    “เธอกลัวว่าพ่อของเธอจะรู้อย่างนั้นเหรอ”

    “บทสนทนาของเราจบแล้ว” แอมโบรสหยิบเป้พร้อมลุกขึ้นยืน ระหว่างที่กำลังสะพายกระเป๋าเขาก็พูดถึง “ผมคงไม่ได้เจอคุณอีกสินะ”

    “ผิดแล้ว” ผมลุกขึ้นยืน เห็นความแตกต่างระหว่างส่วนสูงของเราอย่างชัดเจน “ฉันรับงานมาแล้ว และฉันไม่เคยทำงานพลาด”

    ไม่ว่าแอมโบรสจะรู้สึกถูกข่มขู่ คุกคามหรือไม่ เขาไม่ได้แสดงออกมา

    “ผมคงห้ามคุณไม่ได้ แต่คุณไม่มีทางหาภาพพวกนั้นเจอ และผมไม่มีวันให้คุณ”

    ผมมองตามแอมโบรสเดินออกจากร้านอาหาร ผมวางเงินลงบนโต๊ะ ก้าวเท้าออกจากร้านแต่ไม่ได้ตามเขาไป มีอย่างหนึ่งที่ผมเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับผู้ชายคนนี้ คือเขาไม่ชอบให้พูดถึงแอนเดอร์สัน มิลเลอร์ คงมีอะไรบางอย่างเกิดขึ้นกับพวกเขา

    อย่างไรก็ตามสิ่งที่ผมต้องกังวลไม่ใช่เรื่องของครอบครัวมิลเลอร์ แต่เป็นเรื่องงานที่ผมรับมาจากอีริค โกลด์ ถึงจะไม่พอใจกับพฤติกรรมของชายคนนั้น แต่งานก็คืองาน จากที่คิดว่าง่ายมันอาจไม่เป็นเช่นนั้น ผมไม่คิดว่าเฟอร์กัสจะเจอภาพถ่ายที่บ้านของแอมโบรส



    -------------------------------------------


    สวัสดีค่า


    ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามเรื่องนี้นะคะ ออยล์ตั้งใจจะอัปเดตทุกวันเสาร์ค่ะ

    แต่สัปดาห์หน้าของดนะคะเนื่องจากเป็นช่วงเดินทางไปต่างประเทศ

    2 ส.ค. เริ่มเปิดเรียนแล้ว หลังจากนั้นจะอัปเดตได้ช่วงไหนยังไง จะมาแจ้งให้ทราบอีกครั้งค่ะ


    ขอบคุณมากค่า

    Aki_Kaze


Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in