เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Dangerous Love (Deadly Companions #1)Aki_Kaze
บทที่ 1: โดมินิค
  • Dangerous Love

    1
    โดมินิค

    เสียงโทรศัพท์ปลุกผมให้ตื่นขึ้นกลางดึก มีเพียงไม่กี่คนที่จะโทรศัพท์หาผมในเวลาเช่นนี้ยกเว้นการโทรฯ เรื่องงานจากคนใกล้ชิดที่รู้จักเบอร์ส่วนตัว
    “ว่า” ผมขานรับ เสียงที่เปล่งออกมาแหบเล็กน้อย ผมกระแอมเบาๆ
    “นั่นคีตันใช่ไหม โดมินิค คีตัน” ปลายสายเป็นเสียงจากบุคคลที่ผมไม่เคยได้ยินมาก่อน “ผมได้เบอร์ของคุณจากรัสตี้ ผมมีงานให้คุณทำ”
    แหงล่ะ งาน “ดูเหมือนว่าคุณจะรู้จักผมเป็นอย่างดีนะ คุณ...” ช่องว่างที่เว่นไว้ ผมตั้งใจให้เขาตอบชื่อ ทว่าอีกฝ่ายก็ไม่คิดจะบอก ผมจึงพูดต่อ “งั้นคุณก็รู้ว่าผมไม่รับงานง่ายๆ ต่อให้เป็นเพื่อนของรัสตี้ก็ตาม”
    “งานนี้เงินดีนะ คุณคีตัน” ผมขอถอนคำพูดที่บอกว่าเขารู้จักผมดี
    “มาพบผมวันพรุ่งนี้ในดาวน์ทาวน์หรือไม่ก็ให้ผมไปพบคุณที่บ้าน”
    “ไม่” เขาร้องขึ้น “ผมไม่คิดว่าเราควรพบกัน เราไม่ควรรู้จักกันชื่อกันไม่ใช่เหรอ”
    ตลกมาก “บทสนทนานี้จบลงแล้ว คุณเพื่อนของรัสตี้”
    ก่อนที่ผมจะทันได้วางสายเขาก็ตะโกนขึ้นมา “ผมจะพบคุณ คุณคีตัน จะมีคนไปรับคุณพรุ่งนี้เช้าตอนเจ็ดโมง” จากนั้นสายก็ถูกตัดไป
    เยี่ยมจริงๆ เขารู้ว่าผมอาศัยอยู่ที่ไหน
    ตอนนี้เป็นเวลาตีสองและผมก็ตาสว่างจากโทรศัพท์ของชายนิรนามนั่น ถ้าให้เดาเขาคงเป็นคนสำคัญไม่ก็พวกคนรวยที่มีปัญหาเรื่องยาไม่ก็ผู้หญิงหรืออาจจะผู้ชาย ใครจะรู้ แต่เท่าที่รู้ผมรู้สึกไม่ดีกับงานนี้เอาเสียเลย
    ผมลุกจากเตียง เดินผ่านห้องแต่งตัวสู่ห้องน้ำในตัวเพื่อล้างหน้าล้างตา สิ่งที่สะท้อนผ่านกระจกคือชายวัยสามสิบสี่ปีผู้มีใบหน้ายาว ส่วนกรามปกคลุมด้วยหนวดเคราสั้นๆ ที่ตัดแต่งอย่างพิถีพิถัน ผมสั้นสีน้ำตาลเข้ม ดวงตาสีเทา ใต้ตามีรอยคล้ำจากการพักผ่อนไม่เพียงพอ
    ผมถอนหายใจก่อนจะเดินกลับมาที่ห้องนอนเพื่อออกกำลังกายยามเช้า ในเมื่อชายคนนั้นได้ขัดกิจวัตรประจำวันของผมด้วยปัญหาของเขาไปเรียบร้อยแล้ว
    ตอนหกโมงครึ่งผมก็เตรียมตัวพร้อมเสร็จสรรพ นั่งจิบกาแฟในครัวรอให้รถมารับ สำหรับผู้ชายที่อยู่ตัวคนเดียวมานานหลายปีก็เริ่มชินชากับความอ้างว้างและกว้างขวางของห้องพักแห่งนี้ ทำให้ผมรู้จักที่จะอิ่มเอมไปกับยามเช้าแสนสงบ
    ประมาณอีกสิบนาทีเจ็ดโมง ผมลงลิฟท์ไปยังล็อบบี้ด้านล่างของอพาร์ทเมนต์หรูแห่งนี้ ผมไม่ต้องการให้ลูกค้าเข้ามาในห้องพักของผมหรือกระทั่งภายในตัวอาคาร สถานที่แห่งนี้ถือเป็นสถานที่ปราศจากเรื่องธุรกิจ ลูกค้าส่วนมากของผมจะติดต่อไปยังสำนักงานที่อยู่ในดาวน์ทาวน์
    รถ SUV สีดำเคลื่อนตัวมาหยุดลงตรงหน้า ชายในชุดสูทสีดำ สวมแว่นตากันแดดเดินลงจากรถเพื่อมาเปิดประตูผู้โดยสารด้านหลังให้ผมได้ก้าวเท้าเข้าไปนั่ง คนขับแต่งตัวแบบเดียวกันกับชายอีกคนไม่ผิดเพี้ยน เขาเคลื่อนรถออกจากหน้าที่พักของผมเข้าสู่ถนนสายหลัก
    ผ่านมาได้สี่สิบนาทีผมก็พอรู้แล้วว่าเรากำลังจะไปที่ใด ผมมาที่ส่วนนี้ของเมืองหลายต่อหลายครั้ง ลูกค้าหลายคนของผมอาศัยอยู่ในละแวกนี้ เป็นการยืนยันว่าชายคนนี้ร่ำรวย รถยนต์เลี้ยวซ้ายสู่ซันนี่ ไดรฟ์ซึ่งเป็นย่านที่มีบ้านหลังใหญ่โตตั้งเรียงรายสองข้างทาง มีทั้งสวนหน้าบ้านและสระว่ายน้ำ รถขับผ่านสวนสาธารณะก่อนจะหยุดลงหน้าบ้านสองชั้นที่มีชานบ้านสวยงาม ผู้ชายคนเดิมลงมาเปิดประตูให้ผม นำทางสู่ตัวบ้าน
    ผมใช้ช่วงเวลานั้นสำรวจบริเวณโดยรอบ มันเป็นย่านเงียบสงบและเต็มไปด้วยสีเขียว ไม่ว่าจะหันไปทางไหนก็จะต้องพบต้นไม้ใหญ่กับสวน บ่งบอกสถานะของคนที่อาศัยในละแวกนี้ได้ไม่ยาก พวกเขามีทั้งความร่ำรวยและความปลอดภัยที่จะไม่มีใครทำอันตรายพวกเขาได้ บ้านแต่ละหลังในละแวกนี้ออกแบบแตกต่างกันทว่ามักใช้สีที่คล้ายๆ กัน ไม่ขาวหรือครีมกับหลังคาสีเข้ม บ้านหลังนี้มีสีครีมกับหลังคาบ้านสีน้ำตาล ผ้าม่านปิดสนิทจากทุกหน้าต่าง ผมก้าวขึ้นบันไดสามขั้นก็มาถึงยังเฉลียงของบ้าน ทางขวามือมีชุดโต๊ะกาแฟสีขาวกับชิงช้าแบบม้านั่งตั้งอยู่ใกล้กัน
    ประตูหน้าบ้านถูกเปิดโดยชายในชุดสูท เขานำทางผมไปยังห้องรับแขก ผ้าม่านภายในห้องยังคงถูกปิดสนิทป้องกันไม่ให้แสงแดดจากภายนอกทะลุเข้ามาได้แต่โคมระย้าเหนือหัวก็ทำหน้าที่ให้ความสว่างแก่ห้อง
    ผมนั่งลงบนโซฟากลางห้อง ชายชุดสูทสีดำอีกคนยืนเฝ้าด้านหน้าประตูคอยมองมาทางผมราวกับผมจะขโมยของภายในบ้าน ผมเคยพบคนแบบนี้มาก่อน อย่างไรก็ตามเขาไม่สามารถขู่ให้ผมกลัวได้มากกว่าที่ผมจะทำให้เขากลัว
    ผมเอนหลังพิงพนักโซฟาด้วยท่าทีผ่อนคลาย แม่บ้านเดินเข้ามาในห้องพร้อมถาดสีเงิน เธอวางถ้วยกาแฟตามด้วยโถน้ำตาลและเหยือกเล็กๆ สำหรับใส่นม
    “ไม่ทราบว่ารับกาแฟแบบไหนคะ”
    “กาแฟดำ ไม่ใส่น้ำตาล ขอบคุณครับ”
    เธอพยักหน้า หลังจากรินกาแฟให้ผมเสร็จก็ลุกออกจากห้องไปพร้อมกับถาดเงิน
    ผมจิบกาแฟเพียงเล็กน้อยตามมารยาท ใช้เวลาสิบนาทีในการกวาดสายตามองไปเรื่อยอย่างไร้จุดหมายยามรอให้ลูกค้าปริศนาคนนี้ปรากฏตัว
    บรรยากาศรอบข้างเปลี่ยนไปทันทีที่ผมได้ยินเสียงฝีเท้าใกล้เข้ามา เสียงฝีเท้านั้นไม่ได้เร่งรีบและไม่ได้แสดงออกถึงความหนักแน่นราวกับเจ้าตัวเกิดความลังเลกับการพบปะในครั้งนี้ แต่ถ้าเขาคิดจะเบี้ยวผม เขาคงให้คนมาไล่ผมกลับไปนานแล้ว ในเมื่อเขาไม่ได้ทำเช่นนั้นก็แสดงว่าผู้ชายคนนี้กำลังประสบปัญหาอย่างหนัก
    ผู้ชายคนหนึ่งก้าวเท้าเข้ามาในห้อง เขาสวมสูทสั่งตัดอย่างดี ทรงผมตัดแต่งอย่างปราณีต สวมนาฬิกาข้อมือสีทองที่ข้างซ้าย ทุกอย่างบนตัวของเขาแสดงออกถึงความร่ำรวยและอำนาจ ผมลุกขึ้นยืน สำรวจชายตรงหน้า ผมคิดถูก ผมเคยเห็นเขาจากหนังสือพิมพ์หรือไม่ก็ตามข่าวท้องถิ่นจากโทรทัศน์ เขาคือ...
    “อีริค โกลด์” เขายื่นมือมาให้ผมจับ มันหนักแน่นและสายตาที่ใช้มองมาเป็นเชิงข่มขู่ เป็นอีกวิธีที่จะบอกผมว่าเขามีอำนาจมากขนาดไหน
    แต่สำหรับผมแล้วชายคนนี้ก็แค่คนที่ใช้เงินเพื่อหนีปัญหาที่ตัวเองก่อไว้
    “มีอะไรให้ผมรับใช้ครับ คุณโกลด์” ผมนั่งลงหลังจากที่เขานั่งแล้ว
    เขาโบกมือส่งสัญญาณให้คนอื่นๆ ออกจากห้อง เมื่ออยู่ตามลำพังเขาก็พูดขึ้น
    “คุณไม่สามารถเปิดเผยบทสนทนาต่อไปนี้กับใครได้” โกลด์เตือน ผมพยักหน้า ประโยคถัดมาของเขาไม่ได้สร้างความแปลกใจให้ผมมากนัก “มีชายคนหนึ่งที่ผมเจออยู่สองสามครั้ง เขาเป็นเด็กดี กระทั่งเขาไม่ใช่ คุณเข้าใจใช่ไหม ผมมีครอบครัว มีบริษัท เขามีภาพถ่าย”
    อันที่จริงเขาไม่จำเป็นต้องพูดต่อผมก็เข้าใจได้แต่ผมก็ยังถามอยู่ดี ทำไมจะไม่ล่ะ “ภาพถ่ายอะไร”
    “คุณรู้ว่ามันเป็นภาพแบบไหน” เขาอ้ำอึ้ง
    ช่างน่าขัน ยามที่กำลังกระทำความผิดคนเหล่านี้ไม่รู้สึกสำนัก แต่เมื่อเรื่องบานปลายถึงมานึกได้ว่าไม่สมควร
    “เขาชื่ออะไร”
    “มิลเลอร์ เขาชื่อแอมโบรส มิลเลอร์” ใบหน้าของเขามีเหงื่อผุดซึม โกลด์หยิบผ้าเช็ดหน้าจากกระเป๋าเสื้อสูทขึ้นมาซับสองสามที
    “มิลเลอร์” ผมถามย้ำ “หมายถึงมิลเลอร์คนนั้นน่ะเหรอ”
    อีกฝ่ายไม่ต้องพยักหน้ารับผมก็เข้าใจสถานะการของเขาเป็นอย่างดี แอนเดอร์สัน มิลเลอร์เป็นหนึ่งในมหาเศรษฐีชื่อดังของเมืองแต่อีกนัยหนึ่งเขาเป็นผู้มีอิทธิพลกับพวกวงการใต้ดิน แอมโบรส มิลเลอร์คือลูกชายของเขา ถ้าจำไม่ผิดน่าจะยังเรียนอยู่ในมหาวิทยาลัย
    ผมควรปล่อยให้พวกเขาจัดการกันเองด้วยซ้ำ
    “คุณต้องการภาพถ่ายคืน”
    “ใช่ ทั้งภาพถ่าย ทั้งไฟล์ภาพ ทั้งหมดทุกอย่างที่เขามี”
    “แล้วพวกคุณรู้จักกันได้อย่างไร” โกลด์แสดงสีหน้าไม่พอใจผมจึงอธิบาย “ผมจำเป็นต้องรู้ที่มาที่ไปเพื่อให้ทำงานได้ง่ายขึ้น”
    เขาลุกขึ้นยืนด้วยท่าทางขุนเคือง
    “หน้าที่ของคุณคือเอาภาพถ่ายกลับมา คุณคีตัน นอกนั้นมันไม่ใช่เรื่องของคุณ ห้าสิบเปอร์เซนต์ของค่าจ้างจะถูกโอนเข้าบัญชีของคุณภายในวันนี้ก่อนเที่ยง เงินที่เหลือจะเข้าหลังจากผมได้ภาพกลับมาและไฟล์ถูกทำลาย”
    ผมลุกขึ้นยืน ติดกระดุมสูทให้เข้าที่ “ผมถามอย่างหนึ่ง คุณรู้ก่อนหรือเปล่าว่าเด็กคนนั้นเป็นใคร”
    โกลด์พยักหน้า
    “ถ้าอย่างนั้นคุณก็รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น” ผมเตรียมเดินออกจากห้องก่อนนึกได้ว่าตัวเองไม่ได้ขับรถมา “จะว่าอะไรไหมถ้าจะให้คนของคุณขับรถไปส่งผมที่ดาวน์ทาวน์”
    “เชิญ”
    เมื่อมาถึงสำนักงาน คนแรกที่ผมเจอคือ มาร์กาเร็ต บรู๊คส์ เธอทำหน้าที่รับโทรศัพท์ ประสานงาน และจัดการอะไรหลายๆ อย่างแทนผม แม้เธอจะเหมือนเลขานุการทั่วไปแต่ถ้าเมื่อไรที่ให้เธอออกสู่ภาคสนาม...ผมคงไม่อยากทำให้ผู้หญิงคนนี้โมโหอย่างแน่นอน
    “อรุณสวัสดิ์ค่ะ บอส” เธอทักแบบนั้นแม้รู้ดีว่าผมไม่ชอบชื่อที่เธอและคนอื่นๆ ใช้เรียก
    “เมย์” ผมทักกลับ “หาข้อมูลของแอมโบรส มิลเลอร์ให้ที”
    มาร์กาเร็ตเลิกคิ้วมอง ดวงตาสีเขียวของเธอเต็มไปด้วยความสงสัยแต่ผู้หญิงคนนี้รู้ดีว่าไม่ควรถามอะไรเซ้าซี้
    “จัดการให้ค่ะ”

    สามสิบนาทีต่อมา ผมจอดรถหน้าร้านกาแฟแห่งหนึ่ง สายตามองตรงเข้าไปในร้านเห็นพนักงานหนุ่มวัยรุ่นทั่วไปกำลังรับออเดอร์หน้าเคาน์เตอร์ เขาดูเป็นคนธรรมดามากเมื่อเทียบกับการเป็นลูกชายของผู้มีอิทธิพล สีหน้าของเขายิ้มแย้มต้อนรับลูกค้าตลอดเวลา พอช่วงใกล้เที่ยงเขาก็หายไปในหลังร้าน ผมลังเลระหว่างการนั่งอยู่ในรถต่อกับเดินเข้าไปในร้าน มันเป็นช่วงพักของพนักงานและเขาน่าจะกินมื้อกลางวันในห้องพัก แต่อีกฝ่ายตัดสินใจแทนผม น้อยครั้งนักที่มีคนตัดสินใจแทนแบบนี้
    ผู้ชายคนนั้นเดินออกจากร้านทางประตูด้านหน้า ตรงมายังรถของผม เขาเคาะกระจกสองที สีหน้าของเขายากที่จะอ่านความคิดออก
    ผมลดกระจกลงและเขาก็ถามขึ้น “คุณจะอยู่แต่ในนี้หรือจะเข้าไปสั่งอะไรกินในร้าน”
    ผมสวมแว่นกันแดดอยู่และมันช่วยปกปิดสายตาของผมที่กำลังสำรวจอีกฝ่าย เขาเลิกคิ้ว
    “จริงเหรอ คุณจะทำเป็นไม่รู้เรื่องแบบนี้จริงๆ เหรอ คุณรู้ว่าผมเป็นใคร และคุณกำลังตามผมอยู่ เพราะฉะนั้นเลิกเสียเวลาพักของผมและเวลาทำงานของคุณแล้วบอกมาดีกว่าว่าคุณต้องการอะไร”
    กล้ามเนื้อใบหน้าของผมกระตุกยิ้มอย่างไม่ทันตั้งตัว เขาน่าสนใจจนผมไม่อาจหยุดยั้งปฏิกิริยาตอบสนองได้ทัน
    “ฉันไม่คิดว่ามันเป็นเรื่องที่เราควรคุยกันที่นี่”
    อีกฝ่ายทำท่าเปิดประตูรถแต่ผมล็อกไว้อยู่ ดวงตาสีเขียวตวัดมองฉับพลัน “โอเค ผมมีเวลาพักเหลืออีกครึ่งชั่วโมง บ้านคุณอยู่ไกลหรือเปล่า หรือจะให้ผมพาไปที่ใกล้ๆ แถวนี้”
    ผมอยากรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อจากนี้ หรือบางทีผมรู้อยู่แล้วว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น ผมถึงได้ปลดล็อกประตูรถแล้วให้เขาก้าวขึ้นมา ผมปิดกระจกและขับรถออกจากร้านกาแฟไป
    “ผมโบรส” เขาพูดขึ้น “แต่คุณคงรู้จักอยู่แล้ว ปกติผมไม่รับงานระหว่างทำพาร์ทไทม์อยู่นะ”
    “กรณีพิเศษเหรอ”
    เขาหันมองผม ใช้สายตาซุกซนคู่นั้นสำรวจผมตั้งแต่ศีรษะจรด...ผมคงไม่พูดว่าเป็นปลายเท้าในเมื่อสายตาของเขาหยุดก่อนถึงบริเวณนั้น
    “คุณหน้าตาดี” มุมปากของเขายกยิ้ม และผมจินตนาการถึงช่วงเวลาที่ริมฝีปากนั้นสัมผัสส่วนที่ผมต้องการให้สัมผัส
    เขาดูธรรมดาในฐานะของลูกชายผู้มีอิทธิพล แต่ไม่ธรรมดาเลยในฐานะผู้ชายคนหนึ่ง
    ผมตามแอมโบรสเข้าไปในตึกแถวซอมซ่อแห่งหนึ่งห่างจากร้านกาแฟไม่กี่ช่วงถนน จากข้อมูลที่มาร์กาเร็ตให้มา สถานที่แห่งนี้คือที่พักของอีกฝ่ายและใช้สำหรับรับแขก สิ่งที่ทำให้ผมสนใจระหว่างเดินตามผู้ชายผมทองขึ้นบันไดไปคืออะไรทำให้ลูกชายของมหาเศรษฐีตัดสินใจทำเรื่องแบบนี้ ในเมื่ออีกฝ่ายคงได้ทุกอย่างที่ตัวเองต้องการ
    ความไม่รู้ทำให้ผมหงุดหงิดราวกับมีบางอย่างที่ผมมองข้ามไป
    แอมโบรสเปิดประตูห้องพักริมสุดของชั้นสาม ข้างในดูกว้างขวางกว่าที่คิด ทางด้านซ้ายเป็นหน้าต่างที่มีมูลี่ปิดอยู่แต่เสียงจากรถยนต์ด้านล่างก็เล็ดลอดเข้ามาได้ ตรงกลางมีโซฟากับโต๊ะกลางหนึ่งตัว ถัดไปด้านในเป็นเคาน์เตอร์ทำอาหาร มีบันไดทอดยาวสู่ด้านบนที่ใช้สำหรับเป็นห้องนอน ผมสามารถมองเห็นตู้เสื้อผ้าและส่วนหนึ่งของเตียงจากบริเวณที่ยืนอยู่
    “ผมมีเวลาไม่มาก” แอมโบรสพูดพลางถอดแจ็คเก็ตของตัวเองทิ้งลงพื้น เขาหันกลับมาทางผม ถามขึ้นด้วยน้ำเสียงเชิญชวน “คุณต้องการแบบไหนเหรอ”
    “มันต่างกันด้วยเหรอ”
    “ต่างสิ” แอมโบรสเข้าประชิดตัวผม ยื่นมือทั้งสองมาถอดแว่นกันแดดออก “คุณหน้าตาดีอย่างที่ผมคิดไว้”
    น้ำเสียงพึงพอใจทำผมอมยิ้มขึ้นมา เขาถือแว่นของผมไว้ในมือพลางก้าวถอยหลัง ปลายลิ้นไล่เลียขาแว่น ส่งสายตาเย้ายวนบอกให้ผมเดินตามไป
    ผมเดินตามแต่เว้นระยะห่างระหว่างกัน
    “ตัดสินใจได้หรือยังว่าคุณต้องการแบบไหน”
    “เธอมีเวลาไม่มากไม่ใช่เหรอ”
    ริมฝีปากเชิญชวนกระตุกยิ้ม “มากพอที่จะทำให้คุ้มค่ากับเงินของคุณ”
    “หมายความว่าถ้าฉันจ่ายหนัก เธอจะทำได้ดีอย่างนั้นเหรอ”
    ผมมองตามแอมโบรสที่กำลังคุกเข่าลงตรงหน้า เขามองตอบพร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงมั่นใจ “ผมดีที่สุด”
    พอถึงตอนนี้ผมต้องเลือกระหว่างหยุดหรือปล่อย สิ่งที่เกิดขึ้นตอนนี้ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับงาน นอกจากเป็นการยืนยันว่าแอมโบรส มิลเลอร์ทำแบบนี้จริง มันยากที่จะเชื่อว่าพ่อของอีกฝ่ายจะไม่รู้เรื่อง ผมไม่ได้กลัวแอนเดอร์สัน มิลเลอร์ มันควรกลับกันเสียมากกว่า
    “เธอควรกลับไปทำงานต่อ”
    มือที่กำลังรูดซิปกางเกงชะงักก่อนจะรูดลงต่อราวกับผมไม่ได้พูดอะไรออกไป ผมจับข้อมือของเขา แม้ไม่ได้ออกแรงมากนักแต่สีหน้าอีกฝ่ายก็แสดงความเจ็บปวดออกมาครู่หนึ่ง
    “กลับไปทำงาน”
    แอมโบรสปล่อยมือจากผมแล้วลุกขึ้นยืน ถึงเขาจะสูงแค่บริเวณอกของผมแต่สีหน้าและสายตาไม่ได้แสดงให้เห็นว่าเป็นผู้ที่ด้อยกว่า ท่าทางที่เหมาะสมกับการเป็นลูกชายของผู้มีอิทธิพล
    “นี่มันเรื่องเกี่ยวกับพ่อของผมอย่างนั้นเหรอ”
    “พ่อของเธอเกี่ยวอะไร” ผมตีหน้าซื่อ สายตาสงสัยของเขาคลายกังวลไปเล็กน้อยแต่ระมัดระวังตัวมากกว่าเดิม
    “ผมควรกลับไปทำงาน” เขาส่งแว่นกันแดดคืนให้ผม ก้มหยิบแจ็คเก็ตจากพื้นขึ้นมาสวมใส่ ผมหยิบธนบัตรจากกระเป๋าสตางค์ส่งให้เขา แอมโบรสทำเสียงหัวเราะขึ้นจมูก “เก็บเงินของคุณไป ขอแค่อย่ามาเสียเวลาผมอีก”
    “ฉันอยากเจอเธออีก”
    “ผมเลิกเรียนสี่โมงเย็น คุณรู้ว่าจะหาผมได้ที่ไหน” อีกฝ่ายเดินไปทางประตูแล้วโบกมือให้ “ล็อกประตูก่อนออกจากห้องด้วยล่ะ”
    ผมมองประตูห้องที่ปิดสนิทอีกครั้ง เขากล้าให้คนแปลกหน้าเข้าบ้านไม่พอ ยังปล่อยให้คนแปลกหน้าอยู่ในบ้านตัวเองตามลำพัง ผมใช้สายตาสำรวจรอบห้องอย่างรวดเร็ว ลังเลว่าควรตามหาภาพถ่ายและไฟล์ตอนนี้ดีหรือไม่
    ลังเล ไม่ได้อยู่ในพจนานุกรมของโดมินิค คีตันมานานแล้ว และทั้งที่เห็นหน้ากันไม่กี่นาที เขากลับเพิ่มคำศัพท์ในชีวิตผมได้อย่างรวดเร็ว
    ผมเดินออกจากห้องพร้อมล็อกประตูตามที่อีกฝ่ายต้องการ ไม่ว่าไฟล์ภาพจะอยู่ในห้องนี้หรือไม่ ผมยังมีโอกาสค้นหาได้เสมอ หากปิดงานได้ง่ายเกินไปก็คงไม่คุ้มค่าแรงที่ผู้ชายคนนั้นจ่ายมา
Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in