One shot : She's mine
และไม่ว่าจะพยายามปิดบังแค่ไหนก็คงต้องยอมรับว่าเธอเอ็นดูความกระตือรือร้นนั่นอยู่ไม่น้อยเจสสิก้ามักจะแสดงทุกอย่างออกมาอย่างตรงไปตรงมาด้วยพลังงานที่ล้นเหลือเสมอ หญิงสาวคือคนในแบบที่ตรงกันข้ามกับเธอโดยสิ้นเชิงและนั่นแหละที่ทำให้เธอไม่เคยละความสนใจไปจากแม่สาวพลังงานสูงคนนี้ได้เลยสักครั้ง รอยยิ้มถูกสวมขึ้นบนใบหน้าครั้งแล้วครั้งเล่าแม้ว่าจะไม่ได้ตั้งใจก็เพราะความน่าเอ็นดูของคนตรงหน้า ถ้าไม่ติดว่า....
ไอ้ความกระตือรือร้นที่ว่า บางครั้งมันถูกแสดงออกมาผิดที่ผิดทาง
“พี่ไพรด์คิดถึงเจไหมคะ?”
นักศึกษาที่แต่เดิมกำลังล้อมวงถกเถียงสลับกับการซักถามถึงปัญหาในชั้นเรียนที่เพิ่งจะจบไปของเธอได้แต่กล่าวขอบคุณ อมยิ้มอย่างมีเลศนัย และเดินจากออกไป
แน่นอนว่าจากไปพร้อมกับความน่าเคารพของเธอในฐานะอาจารย์ด้วย
หลังจากยืนมองลูกศิษย์ทยอยกันเดินจากไปพร้อมกับเสียงโอดครวญในใจของเธอเอง กีรติก็หันมาทำหน้าดุใส่คนที่ยังเกาะแขนกันไม่เลิก แต่อีกฝ่ายนอกจากจะไม่รู้ตัวแล้วยังเอนหัวกลมๆนั่นซบลงมาบนบ่าเธอเสียอีก เห็นทีว่าหากไม่จัดการทำอะไร ความน่าเคารพของเธอในฐานะอาจารย์คงจะถูกคนมือไวข้างๆนี่ทำลายจนป่นปี้แน่
‘จริงจัง’
แต่ในบางครั้งเจสสิก้าก็อดคิดไม่ได้ว่ามันมากเกินไป กีรติเอาจริงเอาจังกับทุกเรื่องตั้งแต่การทำงาน มารยาททางสังคม ไปจนกระทั่งรอยหยดน้ำที่กระเด็นเปื้อนกระจกในห้องน้ำ หล่อนมักจะมีแผนเสมอว่าเมื่อไหร่ควรหรือไม่ควรทำอะไร การวางตัวให้ดูสุขุมและน่าเชื่อถือเป็นเหมือนรายการของสิ่งที่ต้องทำไปตลอดชีวิต ซึ่งนั่นทำให้เจสสิก้าต้องมานั่งจ๋องอยู่ในตอนนี้
“คุณฟังที่พี่พูดอยู่รึเปล่าคะ?”คนถูกถามสะดุ้งโหยงทันที เพราะเอาจริงแล้วเธอไม่แน่ใจนักว่าอีกฝ่ายพูดว่าอะไรบ้าง ได้ยินผ่านๆก็มีคำว่าเหมาะสม ภาพลักษณ์ อะไรเทือกนี้วนเวียนอยู่หลายที
สิ่งที่เธอทำจริงๆขณะนั่งอยู่บนเก้าอี้ฟังแฟน
หลังจากเห็นใบหน้าว่างเปล่าแทนคำตอบ คนอายุมากกว่าก็ต้องถอนหายใจอย่างหน่ายๆแล้วยกมือขึ้นกุมขมับทันที และนั่นทำให้เจสสิก้าต้องจัดอันดับรายการความชอบของเธอใหม่ ตอนแรกเธอให้ใบหน้าสงสัยเหมือนเด็กๆของอีกฝ่ายอยู่ในลำดับห้าของสิ่งที่เธอชอบ ตอนนี้เธอจะให้ท่ากุมขมับสุดเร้าใจนี่ ขึ้นเป็นอันดับห้าแทน แน่นอนว่าอันดับหนึ่งคือตอนที่คนหน้าคมเขินอายและเริ่มต้นทำท่าทางเก้ๆกังๆพร้อมด้วยหน้าที่แดงระเรื่อลามไปจนถึงหู นั่นแหละเป็นอะไรที่ใจแหลกเหลวที่สุด
“เอาเป็นว่าต่อไปคุณก็อย่าทำแบบนี้อีกนะคะ" คนที่ครองตำแหน่งอันดับหนึ่งในลิสต์ของเธอเตือนอย่างไม่จริงจังนัก ซึ่งเจสสิก้าก็ได้แต่นั่งเท้าคางยิ้มรับอย่างชื่นมื่น "หรือถ้าเป็นไปได้ ก็ไม่ต้องมาที่ทำงานพี่บ่อยๆแบบนี้จะดีกว่าค่ะ”
“พี่ไม่อยากเจอเจเหรอคะ?”
“พี่หมายถึงว่าเราน่าจะเจอกันเวลาอื่นที่ไม่ใช่เวลางาน” คนอายุมากกว่าว่าเสียงอ่อน และเมื่อเจสสิก้าตั้งท่าจะเถียง หล่อนก็ยกนิ้วขึ้นห้ามพร้อมพูดต่อ “ถึงไม่ใช่เวลางานก็น่าจะเป็นสถานที่อื่น ที่ไม่ใช่ที่ทำงาน”
“พูดแบบเนี้ยก็เหมือนบอกว่าไม่ต้องเจอกันอีกตลอดไปนั่นแหละค่ะ!”
แทนที่จะเห็นใจกันอีกฝ่ายกลับเอาแต่หัวเราะแล้วส่ายหัวเบาๆเมื่อได้ยินประโยคที่เธอจงใจแสดงด้วยท่าทีแสนปั้นปึง
“คุณนี่มันคุณจริงๆเลยนะคะ”
“ก็มันจริงนี่คะ พี่ทำงานแทบจะตลอดเวลาถ้าเจไม่มาเจอพี่แบบนี้ อาทิตย์นึงก็แทบจะไม่ได้เจอกันเลยนะคะ”
“เอาเป็นว่า ไว้พี่จะลองจัดตารางเวลาใหม่ดูแล้วกันค่ะ”
เรื่องอะไรล่ะ
“นั่นมันเกินไปแล้วนะคะ!
“นี่มันโหดร้ายสิ้นดี ไร้มนุษยธรรม ทำร้ายจิตใจเจเกินไปแล้ว” สารพัดถ้อยคำที่คนอายุน้อยกว่าสรรหาหยิบยกขึ้นมาปาใส่หน้าเธอพร้อมท่าทางเจ็บปวดอย่างยิ่งใหญ่ราวกับกำลังแสดงละครบรอดเวย์
จริงๆกีรติก็นึกอยากจะห้ามอีกฝ่ายอยู่เหมือนกันแต่ก็ไม่ได้ทำ ด้วยเหตุผลง่ายๆว่า มันก็ดูน่ารักดี
“พี่ฟังที่เจพูดอยู่ไหมคะ?
จะรู้ไหมนะ ว่าไอ้ท่าทางขู่ฝ่อๆเหมือนลูกแมวนั่นมันไม่ได้น่ากลัวเลยสักนิด คนหน้าคมได้แต่คิดในใจ แถมนอกจากจะไม่ได้น่ากลัวแล้วมันยังดูน่าแกล้งอีกต่างหาก
“การประท้วงอะไรนะคะ?”
“การประท้วงเงียบไงคะ!”
“พี่คิดว่ามีเรื่องสำคัญอย่างหนึ่งเกี่ยวกับการประท้วงเงียบที่คุณควรรู้”
“อะไรคะ!?”
“เค้าไม่ใช้เสียงกันค่ะ”
แน่นอนว่าคนแกล้งพอเห็นสีหน้าเหยื่อบูดบึ้งเจ้าตัวก็ยิ่งหัวเราะออกมาอย่างอารมณ์ดีราวกับว่าชีวิตนี้ไม่เคยมีเรื่องอะไรให้ทุกข์ใจมาก่อน ยิ่งเห็นการกอดอกเชิดหน้าจนคอแทบหักนั่นแล้วก็ยิ่งนึกขัน ได้แต่คิดในใจว่าท่านั่งแบบนี้มันน่าจะเมื่อยน่าดู
“เอาเป็นว่าให้มาได้อาทิตย์ละครั้งแล้วกันค่ะ” ตัดสินใจยื่นข้อเสนอที่คิดว่ารัดกุมที่สุดให้คนหน้างอ ไม่ใช่ว่าใจอ่อนหรอกนะแค่ไม่อยากให้อีกคนต้องนั่งอยู่ในท่านี้นานๆ เพราะแค่เห็นเธอก็รู้สึกเมื่อยแทนแล้ว
แต่อีกฝ่ายดูท่าจะงอนแรงกว่าที่คิด เพราะหล่อนเล่นสะบัดก้นออกไปจากห้องทำงานส่วนตัวของเธอ พร้อมกับเสียงปิดประตูไล่หลังดังปั้ง
เดี๋ยวนี้ชักจะเอาใหญ่แล้ว
นั่งจ้องประตูที่ถูกปิดอยู่ได้สักพัก คนหน้าคมก็ต้องถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ก่อนจะลุกตามแม่สาวแสนงอนไป ถ้าเป็นเมื่อก่อนอย่าหวังเลยว่าเธอจะมาเดินตามก้นงอนๆของเด็กเอาแต่ใจนี่ แต่จะทำอย่างไรได้ล่ะ ก็ตกหลุมพลางเด็กมันไปแล้วนี่
เจสสิก้าตัดสินใจออกมานั่งที่ระเบียงชั้นสองอย่างหัวเสีย พลางทำคอยืดคอยาวชะเง้อมองว่าจะมีผู้ใหญ่ที่ไหนเดินตามมาหรือเปล่า ถ้าถามว่างอนไหม ก็งอนนั่นแหละ แต่ก็กลัวว่าเค้าจะไม่มาง้อมากกว่า มีอย่างที่ไหน คน(เกือบ)จะเป็นแฟนกันแต่มาห้ามไม่ให้เจอหน้ากัน นี่เธออยู่โอเชียเนียในหนังสือของจอร์จ ออเวลล์หรือไง!?
และความกังวลใจของเธอก็คลายลงไปได้หน่อย เมื่อเห็นว่าอาจารย์สาวหน้าคมที่เธอเพิ่งเดินหนีมาเดินตามมาต้อยๆ ให้ตายสิ เธอนึกเกลียดตัวเองเหมือนกันนะ ที่ขนาดโกรธเขาอยู่ ยังมองว่าเขาดูดีได้ขนาดนี้เลย
"พี่ว่าเรากลับไปคุยกันในห้องทำงานพี่เถอะค่ะ" กีรติมาหยุดยืนตรงหน้าเธอ พลางมองไปรอบๆม้าหินตรงที่ระเบียง ที่มีนักศึกษานั่งกันเป็นกลุ่มอยู่สองสามคน
ดูสิ! ขนาดมาง้อเธอแท้ๆ ยังไม่วายกลัวสายตาของคนรอบข้าง มันน่าโมโหจริงๆ
เมื่อเห็นว่าเธอไม่มีทีท่าว่าจะกลับไป คนหน้าคมก็หย่อนตัวลงนั่งข้างๆ เสมองไปทางซ้ายทีขวาที แต่ก็ไม่ยอมพูดอะไรออกมาสักที ส่วนเธอน่ะเหรอ อยากจะพูดใจแทบขาด แต่ว่าเลือกแล้วว่ากดดันอีกฝ่ายด้วยความเงียบ ซึ่งตอนนี้ไม่แน่ใจนักว่าว่าหล่อนหรือเธอที่ทรมานมากกว่ากัน
และในตอนที่เจสสิก้าใกล้จะหมดความอดทนเต็มที มือเรียวของคนอายุมากกว่าก็เอื้อมมาดึงมือทั้งสองของเธอไปเกาะกุมเอาไว้บนตักนุ่มของอีกฝ่าย โดยที่ไม่แม้แต่จะมองหน้าเธอด้วยซ้ำ แต่ภายใต้ใบหน้าเรียบนิ่งที่ทำเป็นเสมองไปทางอื่นนั่น เจสสิก้าก็เห็นในหูที่แดงก่ำของอีกฝ่ายอย่างชัดเจน
ก็เป็นซะแบบเนี้ย เจสสิก้ารู้ว่าแฟน(ในอนาคต)ของเธอน่ะขี้เขินแค่ไหน ไอ้การจะมาพูดหวานๆ ทำตัวออดอ้อนง้อแบบที่คนทั่วไปเค้าทำกันน่ะเหรอ อย่าหวังว่าจะได้เห็น จะมีก็แต่การไม่พูดไม่จาทำหน้านิ่ง แต่ก็ดึงมือไปกุมไว้ไม่ยอมปล่อยสักที ถ้าให้เดาก็คงตั้งใจจะจับไว้แบบนี้จนกว่าเธอจะออกปากว่าหายงอนนั่นแหละ
และไม่รู้ว่าความเขินมันเป็นโรคติดต่อหรืออย่างไร ตอนนี้เธอถึงได้รู้สึกวูบวาบไปจนทั่วท้อง ลมหายใจก็เหมือนจะหายไปเสียดื้อๆ ไอ้อาการร้อนวูบวาบที่ต้นคอนั่นอีกล่ะ อยากจะเอามือมาตบหน้าตัวเองเรียกสติสักสองสามที แต่ติดปัญหาข้อเดียวคือ มันโดนยึดไปแล้วนี่สิ
"ไม่คิดจะพูดอะไรหน่อยเหรอคะ" เจสสิก้าเอ่ยทำลายความเงียบขึ้นมา เพราะเธอรู้สึกว่าขืนนั่งอยู่อย่างนี้นานไปกว่านี้ เธอคงระเบิดตัวเองตายไปเลยแน่ๆ
อีกฝ่ายไม่ตอบอะไร ได้แต่ออกเเรงบีบเบาๆที่มือของเธอ ไม่รู้ว่าเจสสิก้าคิดไปเอง หรือว่ามือของคนหน้าคมข้างๆมันอุ่นขึ้นจริงๆ
"พี่น่ะ ไปตามศึกษาเรื่องของแฟชั่นตั้งแต่สมัยกรีกโรมัน อ่านพวกบทวิเคราะห์ของอุตสาหกรรมแบรนด์หรู พยายามทำความเข้าใจโครงสร้างแล้วก็ความเป็นมาของบุคคลที่มีอิทธิพลในความหรูหราพวกนี้ ถึงกับพยายามเปรียบเทียบทั้งด้านประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม..."
"พี่พูดอะไรคะ?" อดไม่ได้ที่จะแทรกขึ้นมากลางประโยคของอีกฝ่าย ที่ดูเหมือนว่าอยู่ดีๆก็พูดเรื่องอะไรก็ไม่รู้ที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับสถานการณ์ที่เป็นอยู่เลยสักนิด หรือว่าเขินจนเสียสติไปแล้ว
"พี่กำลังจะบอกว่า พี่เองก็พยายามที่จะเข้าไปอยู่ในโลกของคุณเหมือนกัน แต่ดูเหมือนว่าวิธีการที่พี่ใช้ มันจะไม่ได้เรื่องเลยค่ะ การที่คุณพยายามเข้ามาในโลกของพี่ก็เหมือนกัน เราทั้งคู่ห่วยแตกจริงๆ" คนอายุมากกว่าพูดมาถึงตรงนี้ก็หยุดลง และหันมามองหน้าเธอเป็นครั้งแรก "แต่อย่างน้อยเราต่างก็พยายาม และพี่ก็รู้สึกขอบคุณ ที่คุณพยายามเพื่อเรา"
พอเห็นแก้มเนียนของเด็กขี้งอนข้างๆขึ้นสีระเรื่อแล้ว เธอกลับรู้สึกเขินเสียยิ่งกว่าตอนแรก ก็แค่ตั้งใจว่าจะพูดในสิ่งที่คิดออกไป ไม่คิดว่าจะเจสสิก้าจะเขินได้แบบนี้ กีรติคิดว่าวิธีการของคนตัวเล็กที่อยากเข้าหา อยากใช้เวลาร่วมกันเธอมันดึงดันไปหน่อย แต่ก็ทำให้รู้ว่าอีกฝ่ายก็กำลังพยายามในแบบของตัวเอง เหมือนที่เธอก็กำลังพยายามในแบบของเธอ
คนแสนงอนในตอนแรกทิ้งตัวพิงมาทางเธอ แล้วพูดเสียงพึมพำว่า "หายงอนก็ได้" ถ้าเธอฟังไม่ผิดล่ะก็นะ นี่แหละนะที่ว่ามันต้องปรับตัวเข้าหากัน ไม่ใช่ว่าเธอไม่อยากเจออีกฝ่าย แต่ในเมื่อเจสสิก้ายังวางตัวให้เหมาะสมไม่ได้ ที่เธอยอมอ่อนข้อให้เป็นอาทิตย์ละวันนี่ก็ดีมากแล้ว
อย่างน้อยก็ตกลงกันได้ลงตัว
“งั้นสรุปว่าเป็นอาทิตย์ละสี่ครั้งนะคะ”
ซะที่ไหน
“อาทิตย์ละครั้งค่ะ”
“งั้นสามก็ได้”
“สองก็พอค่ะ”
“สาม”
“สอง”
“…..”
“
รู้อย่างนี้หลับตาเถียงซะก็ดีหรอก
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in