เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
ต้นไม้ย้ายกระถางK4M0L
เพื่อนกัน
  • สวัสดีทุก ๆ คนค่ะ ทั้งคนที่ตั้งใจเข้ามาอ่านและคนที่เผอิญเข้ามาไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม สวัสดีอีกครั้งค่ะ



    (เรื่องราว "ของเรา" ทั้งหมดที่จะเล่าต่อไปนี้ มีที่มาและที่ไปเสมอ ที่มาคือการผิดหวังจากสิ่งที่คิดว่าตัวเองชอบ ที่ไปคือการหวังว่าจะทำอะไรสักอย่างแก่ใครสักคน เราไม่รู้ว่าประโยคนี้มันกำกวมหรือสร้างความสับสนให้คนที่เข้ามาอ่านหรือไม่ แต่เราเข้าใจและขอรับไว้เพียงผู้เดียว)



    เราเป็นนิสิตวรรณกรรมสำหรับเด็ก มศว กำลังจะขึ้นปี4 มาฝึกงานเป็นครูผู้ช่วยอยู่ที่ศูนย์การเรียนพอดีพอดี หรือเรียกอีกอย่างว่า โรงเรียนพอดีพอดี เรารู้จักโรงเรียนนี้ครั้งแรกจากการที่เพื่อนเปิดให้ดูผ่านทวิตเตอร์ เพราะมีคนมาเขียนเล่าไว้ และตามอ่านเพิ่มเติมจากเว็บไซต์ต่าง ๆ ซึ่งเป็นโรงเรียนที่น่าสนใจไม่น้อยสำหรับเรา แต่ในตอนนั้นการฝึกงานที่ต่างจังหวัดยังคงมีข้อจำกัดหลายอย่างสำหรับเราและเพื่อน ทำให้โรงเรียนพอดีพอดีถูกพับเก็บไว้ในใจต่อไป และพยายามหางานในกรุงเทพฯ มากกว่า แต่ไม่นานมานี้ เราและเพื่อนมีโอกาสมาเที่ยวเชียงใหม่ เลยหาโอกาสพากันแวะมาดูโรงเรียนพอดีพอดี เพราะอยากเห็นสภาพแวดล้อมของโรงเรียนจริง ๆ แต่ครั้งแรกคนเราย่อมผิดพลาดได้เสมอ เพราะดันพากันหลงทางในซอยซะงั้น(ซอยวัดอุโมงค์ซับซ้อนมาก) แต่ก็ต้องบอกเลยว่า มาครั้งแรกหลงทาง แต่มาครั้งที่สองจำได้ขึ้นใจ ยืนยันได้จากการเดินทางไปฝึกงานวันแรก 

    เราบอกทาง เพื่อนขี่มอเตอร์ไซค์ และถึงที่หมาย




    "โลกอีกใบกำลังต้อนรับเรา" (เราคิดแบบนั้นนะ)


    และนับต่อจากนี้ เราขอเรียกช่วงชีวิตนี้ของตัวเองว่า

    "ให้ชีวิตมันพาไป"




    ช่วงสัปดาห์แรกของการฝึกงาน ครูแตงโมนัดเรากับเพื่อนมาเจอกันวันแรกคือวันเปิดเทอมพร้อมกับเด็ก ๆ ซึ่งเราต้องมาถึงโรงเรียนประมาณ 8.00 น. เพื่อเรียนรู้งานกิจกรรมเบื้องต้นของโรงเรียน และเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการปรับตัวให้สามารถเข้ากับเด็ก ๆ ได้ โดยมีเด็กประมาณ 9 คน อายุ 5-15 ปี เด็กบางคนมาทุกวัน บางคนสลับวันมา ซึ่งเราได้รับมอบหมายให้ดูแลเด็กโต ช่วงแรกครูแตงโมแนะนำให้เราสังเกตและเรียนรู้ในตัวเด็ก ๆ แต่ละคน เพื่อที่จะรับมือได้อย่างเหมาะสมและมีความเข้าใจในตัวเด็กให้มากขึ้น ช่วงแรกทุกคนดูตื่นเต้นไปหมดสำหรับทุกอย่าง(เราเองก็ด้วย) ทั้งเรื่องเรียนและเล่น แต่สักพักทุกอย่างก็เริ่มนิ่งมากขึ้น(แต่ก็ยังมีความตื่นเต้นอยู่นะ) ซึ่งความนิ่งนั้นทำให้เราสังเกตเห็นอะไรเยอะมากขึ้นกว่าเดิม เหมือนภาพที่หมุนช้า ๆ และทำให้เห็นในสิ่งที่ไม่เคยเห็น(เรายอมรับเลยว่าเวลาประมาณ 5 วันที่นอกจากเราจะสังเกตเด็ก ๆ เพื่อเรียนรู้แล้ว ในอีกแง่เรากลับสังเกตเห็นอะไรบางอย่างในตัวเราเองด้วยแบบที่ไม่เคยรู้มาก่อน บางอย่างเราคิดว่าดี แต่บางอย่างก็ต้องยอมรับนั่นแหละว่า อย่าทำอีกนะ)


    ส่วนเรื่องการเรียนการสอนของโรงเรียนจะแบ่งเป็นวิชาการและทักษะการใช้ชีวิต โดยจะเป็นช่วงเช้าและช่วงบ่าย แต่สามารถปรับและยืดหยุ่นได้ตามความเหมาะสม โดยการเรียนวิชาการจะเริ่มต้นด้วยการให้ทดลอง คิดวิเคราะห์ หรือทำกิจกรรมบางอย่างที่เชื่อมกันก่อนทำแบบฝึกหัด อย่างเช่นการเรียนคณิตศาสตร์ เริ่มต้นด้วยการเล่นเกม กระตุ้นให้เด็ก ๆ เริ่มคิด ซึ่งเวลาครูแตงโมสอนจะค่อย ๆ เริ่ม ไม่รีบร้อน เมื่อเด็ก ๆ เจอแบบฝึกหัดจะค่อนข้างนิ่งและตั้งใจทำ อาจจะมีเบื่อ ๆ กันบ้าง เพราะทำไม่ได้ หรือยากเกินไป แต่เมื่อเราค่อย ๆ พูด ค่อย ๆ สอน ทุกคนจะใจเย็นและพยายามมากขึ้น(ถ้าตอนเราเรียนคณิตศาสตร์และเจอครูที่ใจเย็นกับเราแบบนี้ เราคงจะรักวิชานี้แน่เลย แต่ไม่ทันซะแล้ว)


    ต่อมาเป็นการเรียนเรื่องเรือแล่นเรือลอย ตอนแรกเราจะทดลองกันด้วยวิธีง่าย ๆ ด้วยการใช้ดินน้ำมันทดสอบตามหลักวิทยาศาสตร์ เพื่อให้เด็กสังเกตและคิดเองมากกว่าบอกหรือสั่งให้ทำ เมื่อเด็ก ๆ รู้การลอยของเรือแล้ว ก็ถึงเวลาที่ประตูห้องเรียนต้องปิด และเปิดประตูห้องใหม่ที่ไร้กำแพง เพราะเราจะปฏิบัติการสร้างเรือจริง 


    "แบกไม้ไผ่ เลื่อยให้เท่ากัน ผูก ๆ มัด ๆ มันจะลอยไหม"

     (เราคิดเองนะ55555 แต่ตอนนี้ขณะที่เขียน เด็ก ๆ พึ่งเลื่อยไม้เสร็จ)


    ซึ่งการทำกิจกรรมต่าง ๆ ของโรงเรียนจะทำตามความเหมาะสมและความพร้อมของผู้เรียนเอง เพราะฉะนั้นแผนบางอย่างอาจจะไม่ตรงตามที่คิดไว้ แต่ไม่เป็นไร ทุกอย่างดำเนินต่อไปเสมอ


    เรียนเสร็จถึงเวลาอาหารกลางวัน ที่นี่เราจะกินและอยู่แบบเด็ก ๆ มีอะไรต้องกินอันนั้น เพราะคุณครูคิดมาแล้วว่าครบตามหลักโภชนาการ ตอนช่วงแรกเราค่อนข้างตกใจ เพราะอาหารแทบจะไม่มีรสชาติเลย แต่อยู่ไปเรื่อย ๆ อ้าว ก็กินได้และมันก็อร่อยนะ(จริง ๆ นะ) หลัง ๆ ไม่มีปัญหาเลย กินได้หมด แต่วันพฤหัสบดี เราจะกินข้าวกันช้านิดนึง เพราะต้องทำอาหารกินกันเอง เด็ก ๆ ดูชอบกันมาก ๆ คุณครูคอยสอนตอนเริ่มต้น หลังจากนั้นเชฟตัวจิ๋วบ้าง ไม่จิ๋วบ้างจะรับช่วงต่อเอง เราชอบการเดินเก็บผักเป็นพิเศษ เพราะชอบดึง ๆ เด็ด ๆ 55555 ส่วนรสชาติไม่ซ้ำ จำสูตรไม่ได้ แต่อร่อยทุกจานแน่นอน!!!


    มื้อแรกที่ทำด้วยกันคือผักทอดและยำวุ้นเส้น


    เมื่อกินข้าวอิ่มแล้วเด็ก ๆ ทุกคนจะต้องล้างจานของตัวเอง และเก็บให้เรียบร้อย(เราก็ทำนะ) หลังจากนั้นจะมีเวลาส่วนตัว เพื่อพัก หรือทำกิจกรรมที่ชอบ เด็กที่นี่ชอบเล่นวิ่งไล่จับมาก เราเล่นแทบจะทุกเที่ยงเลย บางคนก็ชอบอ่านหนังสือทำสลับกันไปมา เหนื่อยก็พัก พลังมาก็ปล่อย(เด็กที่นี่วิ่งเร็วมาก ๆ อยู่มา 5 วันเรายังไม่เห็นใครล้มเลย)


    ภาพรวมของการเรียนในแต่ละวัน เมื่อเรียนวิชาการเด็ก ๆ จะค่อนข้างง่วงนอนหน่อย ๆ ตอบบ้าง ไม่ตอบบ้าง แต่ถ้าเวลาทำกิจกรรมทีไร ตาโตและพูดเก่งกันทุกคน โดยเฉพาะวันไหนที่ได้ออกไปข้างนอกจะตื่นเต้นและพลังเยอะกันเป็นพิเศษ(อาจจะเป็นเราด้วย) อย่างวันศุกร์ไปเล่นกันที่อ่างแก้ว พากันวิ่งจนเหนื่อย เล่นสไลด์เดอร์จากเนินข้างบนลงมาข้างล่าง(สนุกมากกกก) มีเด็กคนหนึ่งเดินมาบอกเราว่า สามารถกลิ้งลงจากเนินได้นะ เราเลยให้เด็กอีกคนทดลองทำ ปรากฎว่าตอนสุดท้ายโดนแกล้งคืน เสื้อข้างหลังดำกันทั้งคู่เลย555555

















    ________________________


    ส่วนนี้เราบันทึกไว้สำหรับตัวเองในช่วง 5 วันแรกของการฝึกงาน


    • โรงเรียนพอดีพอดีเป็นสถานที่แรกที่เราถูกเรียกว่า ครูกมล ด้วยความสัตย์จริงในใจ เราค่อนข้างรู้สึกทำตัวไม่ถูกที่ถูกเรียกว่า ครู เพราะเรามองว่าตัวเองมาเป็นเพื่อนของเด็กมากกว่า ไม่รู้ตัวเองจะเป็นครูได้ไหม และเหมาะสมที่จะเป็นหรือเปล่า เลยงง ๆ ทุกครั้งที่จะแทนตัวเองว่า ครู แต่พอผ่านไปประมาณ 3 วันก็เริ่มชิน และพยายามปรับตัวให้มากขึ้น(ด้วยการลดระดับความซนของตัวเองลงเยอะมาก ๆ)

    • เราชอบที่เด็ก ๆ พยายามจะแสดงสิ่งที่เขารู้และทำได้ให้เราฟัง(แต่บางครั้งก็ฟังได้ไม่ครบทุกอย่าง) อย่างวันแรกเด็กสอนเราพับดอกเข็ม เป่าใบไผ่ จับลูกอ๊อด และบอกว่ามันจะโตเป็นกบนะครู หรือพวกเรื่องความรู้และสัตว์ต่าง ๆ เขาจะพูดสิ่งที่รู้ออกมาเอง อย่างวันแรกนี่เราโดนสอนให้อุ้มไก่เลย ซึ่งคำที่จะได้ยินบ่อย ๆ คือ "ครูรู้หรือเปล่าว่า..."

    • ทุกตอนเที่ยงเวลากินข้าวเสร็จจะมีเด็ก ๆ ชอบวิ่งมาชวนเราให้ไปวิ่งไล่จับ(ทุกวัน) แล้วต้องพูดตลอดว่า "พึ่งกินข้าวเสร็จ ถ้าไปวิ่งอาจจะปวดท้องหรืออ้วกนะ ต้องรอให้อาหารย่อยก่อน" เด็ก ๆ ก็จะเข้าใจ พร้อมกับเดินหน้าหงอย ๆ ไปเล่นอย่างอื่นรอ ส่วนที่ทำให้เราอยากจำเรื่องนี้ไว้คือ พอวันต่อมาเด็กก็จะมาชวนเหมือนเดิม และเราพูดเหมือนเดิมทุกวัน เหมือนเป็นกิจวัตรเลย

    • การมาเจอเด็ก ๆ ทำให้เรารู้ว่ามีอีกหลายอย่างเลยที่เราไม่เคยรู้และลองมาก่อน คิดแต่ว่าโตไปคงเรียนรู้ได้เอง แต่ลืมไปว่าเด็ก ๆ บางคนไม่ต้องโต เขาก็สามารถเรียนรู้ได้ก่อนเรา ถ้าไม่รู้อะไร แค่ลองมองลงมาและถามว่า สิ่งนี้คืออะไร เด็ก ๆ อาจจะรู้และบอกเราได้เหมือนกัน
    • บางอย่างมองว่าเป็นเรื่องยากหรือเรื่องที่ไม่ทำจะดีกว่า แต่พอเห็นเด็ก ๆ ทำด้วยท่าทีเฉย เราก็ย้อนกลับมาคิดว่า ถ้ามันไม่ใช่เรื่องที่สร้างความเดือดร้อน หรือหนักหนาอะไร บางทีมันก็ไม่ได้มีอะไรเลยนะ ทำไมถึงกลัวหรือไม่กล้าล่ะ(ถึงจะเป็นเรื่องเล็ก ๆ แต่มันทำให้เราคิดได้เยอะจริง ๆ) อย่างช่วยกันแบกไม้ที่เปื้อนดิน แต่ก่อนเราคงจะไปหาอะไรมาจับแทน เพื่อไม่ให้มือเปื้อน แต่เด็ก ๆ ทำให้รู้ว่า มือเปื้อนได้ เดี๋ยวเราค่อยไปล้างกัน แค่นี้เอง

    • ส่วนเรื่องการแต่งตัวไปสอน เราต้องซื้อรองเท้าใหม่ เพื่อให้สะดวกต่อการเรียนรู้และวิ่งเล่นกับเพื่อน ๆ ตัวเล็ก เสื้อผ้าจะพยายามใส่ให้สะดวกที่สุด(เหมือนย้อนกลับไปเป็นเด็กอีกครั้ง) ที่สำคัญเราซื้อกระบอกน้ำเป็นของตัวเองด้วย อยู่ด้วยกัน ทำเหมือนกัน เป็นเพื่อนกัน(เราชอบเรียกเด็ก ๆ ว่าเป็นเพื่อน เพราะเรากำลังเรียนรู้และโตไปพร้อม ๆ กัน)


    จริง ๆ แล้วภายในเวลา 5 วันที่เราไปโรงเรียนพอดีพอดี สำหรับเราเกิดเรื่องขึ้นมากมาย และในแต่ละวันก็ไม่สามารถเดาได้เลยว่าจะเจอกับอะไรบ้าง นอกจากเราจะไปสอนแล้ว เรายังเรียนรู้จากเด็ก ๆ ด้วย มันทำให้เราย้อนกลับมามองตัวเองเยอะมากขึ้น


    เราเป็นกมลในแบบที่เราอยากเป็นมาทั้งชีวิต ไม่ขึ้นอยู่กับใคร รักตัวเองที่สุด แต่พอเราเป็นพี่กมล ครูกมล ครูกะมวน ทีชเชอร์ฮาร์ท(heart) หรือเป็นใครก็ตามในมุมมองของเด็ก ๆ เรากลับคิดเยอะขึ้นมาก ๆ ไม่รู้ว่าด้วยเหตุผลอะไร(หรืออาจจะรู้อยู่แล้ว แต่แค่ไม่กล้าตอบตัวเอง) แต่เรามั่นใจว่าเราอยากเป็นคนที่ดีขึ้น ไม่ใช่เพื่อตัวเองอย่างเดียว แต่เพื่อคนที่กำลังมองเราอยู่ และกำลังจะโตขึ้นเป็นใครสักคนเช่นกัน


    กระต่าย เพื่อน และเรา จากเด็กผู้หญิงที่วิ่งเก่งมาก ๆ

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in