เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
ห้องตรวจหมายเลข 5นักเล่าเรื่อง
พี่ไม่เคยห้ามเลยนะว่าอย่าตาย
  • เรื่องนี้จะจบอย่างโหดร้ายมากถ้าฉันไม่พูดถึงพี่ T ที่มีพระคุณของฉัน พี่ T เป็นนักสังคมสงเคราะห์ในโรงพยาบาลที่ฉันรักษาอยู่ ฉันเองก็จำไม่ได้แล้วว่าเจอพี่ T ครั้งแรกเมื่อไหร่ น่าจะเป็นตอนที่ฉันเข้าวอร์ดครั้งที่ 2 พี่ T จะคอยมาให้ความรู้ฉันเรื่องสิทธิต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการเบิกค่ารักษา และสิทธิต่างๆที่ฉันจะได้รับระหว่างพักอยู่ในวอร์ด จะว่าไปเราอาจจะรู้จักกันมาก่อนหน้านั้นตอนที่ฉันยังรักษาแบบไปกลับกับหมอ C ไม่รู้สินะ ฉันจำไม่ได้ 
    ในระหว่างที่ฉันอยู่ในวอร์ดรอบ 2 พี่ T จะเป็นคนเข้ามาทำกิจกรรมเล็กๆน้อยๆกับคนไข้ อย่างเช่นการ์ดรูปหัวใจ การ์ดรูปวงกลมอะไรต่างๆที่ง่ายพอที่คนไข้จิตเวชพอจะทำได้ ฉันเองเข้าไปร่วมกิจกรรมกับพี่ T ทุกครั้ง เพราะพี่ T ขอไว้และต้องการหาพรรคพวก การทำกิจกรรมกับพี่ T เป็นอะไรเล็กน้อยที่ผ่อนคลายมากสำหรับฉัน อย่างน้อยการพับการ์ดไปมาให้ได้อย่างใจก็ทำให้ฉันลืมเรื่องเศร้าไปได้ซักชั่วโมงนึง คิดๆไปแล้วการเบี่ยงเบนความสนใจของคนไข้ของพี่ T อาจจะเป็นวัตถุประสงค์หลักของกิจกรรม หลังจากฉันออกจากวอร์ดมาแล้วเราสองคนก็ยังติดต่อกันอยู่ เพราะพี่ T จะมีการจัดกิจกรรมให้คนไข้นอกวอร์ด และฉันก็จะได้ไปเจอเพื่อนที่เคยอยู่ในวอร์ดเดียวกันด้วย
    จนกระทั่งถึงช่วงหนึ่งที่พี่ T เข้ามามีบทบาทในการบำบัด CBT (Cognitive Behavior Therapy การบำบัดโดยเน้นเรื่องความคิดและพฤติกรรมของผู้ป่วย) ของฉัน ฉันไม่รู้ว่าพี่ T เรียนจบอะไรมา แต่พี่ T ก็มีความรู้มากพอที่จะบำบัดฉัน เราจะคุยกันถึงปัญหาต่างๆในชีวิตไม่ว่าจะเป็นปัญหาที่ความคิดที่ฉันมีต่อตัวเอง, ปัญหากับครอบครัว พี่ T ก็เป็นคนพูดคุยกับแม่ของฉันให้, ปัญหาเรื่องการวางแผนอนาคตของฉัน, ความเป็นไปต่างๆและอุปสรรคที่ต้องเจอในการจัดทำร้านหนังสือ มีหลายครั้ง(หรืออาจจะทุกครั้ง)ที่ฉันบำบัดแล้วต้องมีน้ำตาเสมอ พี่ T จะเตรียมกระดาษทิชชู่ไว้ให้และกุลีกุจอหยิบออกมาให้ฉันใช้ ในระหว่างที่ฉันเข้าวอร์ดจิตเวชครั้งที่ 3 พี่ T ก็เข้ามาพูดคุยกับฉันไม่เคยขาด ฉันต้องบอกก่อนเลยว่าหลังจากที่ฉันออกจากวอร์ดครั้งที่ 3 ฉันมักจะเข้าไปกดไลค์ตามเพจเกี่ยวกับการรักษาสุขภาพจิตต่างๆ เข้าร่วม Zoom เพื่อพูดคุยเกี่ยวกับปัญหาด้านความคิดบ้าง ความเหงาบ้าง บางครั้งก็ไป Workshop เกี่ยวกับสุขภาพจิตถือว่าบ่อยทีเดียว ฉันเพียงแต่อยากหาคำตอบและหนทางให้กับโรคที่ฉันเป็น จนวันหนึ่งมีคนจากเว็บสุขภาพจิตเว็บหนึ่ง(ขอไม่บอกละกัน) รู้เรื่องอาการป่วยของฉันจาก Workshop ที่ฉันเข้าร่วม เขารู้สึกสงสารและตกใจมากที่เห็นฉันร้องไห้เมื่อพูดเรื่องฆ่าตัวตาย เขาอาสาโทรคุยกับฉันโดยไม่คิดตังค์ แถมยังแนะนำอาจารย์ด้านการปรึกษาปัญหาสุขภาพจิตให้ฉันอีกด้วย ถึงตอนนั้นฉันบอกตรงๆเลยว่าทุกอย่างทำให้ฉันทุกข์ยิ่งกว่าเดิมมาก วิธีแก้ปัญหาต่างๆประดังประเดเข้ามาไม่หยุด ฉันต้องนั่งเล่าเรื่องตั้งแต่เด็กจนโตที่ฉันอยากจะลืมให้หมด ฉันไปบอกพี่ T เรื่องนี้และร้องไห้ออกมา ก็เป็นพี่ T อีกนั่นแหละที่จัดการไปคุยกับฝ่ายโน้นให้หยุดให้คำปรึกษากับฉันก่อน เพราะดูเหมือนฉันจะเครียดมาก ตอนแรกดูเหมือนฝ่ายโน้นจะไม่ยอม และยังไลน์มาบอกฉันอีกว่าเป็นเพราะพี่ T รึเปล่าที่ทำให้ฉันเครียด ตอนแรกที่อ่านไลน์บอกเลยว่าฉันโมโหมาก มาว่าพี่ T ของฉันอย่างนี้ได้ยังไง ฉันแคปไลน์ไปบอกพี่ T เบื้องหลังฉันไม่รู้ว่าพี่ T ไปคุยอะไรกับหมอ C แต่พี่ T ก็โทรมาบอกฉันว่าพี่ T ก็โมโหมากเช่นเดียวกัน แต่หมอ C ได้เตือนสติไว้ว่าสิทธิในการที่ฉันจะปรึกษาใครมันเป็นของฉัน จะไม่มีใครมาบังคับฉันได้ แน่นอนว่าฉันเลือกพี่ T และบล็อกไลน์ของฝ่ายนั้นไปหมดเลย หมดปัญหาเรื่องที่ปรึกษาต่างๆฉันก็ไม่เคยไป Workshop เกี่ยวกับสุขภาพจิตที่ไหนอีกเลย หมอ C บอกไว้ว่าฉันไม่จำเป็นต้องเข้าร่วม Workshop ไปทั่วก็ได้ เพราะรังแต่จะทำให้ฉันเครียด
    จบจากเรื่องที่ปรึกษาอันวุ่นวายแล้วฉันก็ไปบำบัด CBT กับพี่ T ตามปกติ แน่นอนว่าความคิดฆ่าตัวตายของฉันไม่เคยหายไปไหนเลย ทุกครั้งที่ฉันเข้าบำบัดกับพี่ T ฉันจะรู้สึกผิดเสมอ เพราะรู้ว่าปลายทางของฉันคือความตาย ไม่ว่าพี่ T จะบำบัดเท่าไหร่มันก็เหมือนแก้ปัญหาเป็นเรื่องๆไปเท่านั้น แต่เรื่องฆ่าตัวตายไม่ได้หายไปจากสมองของฉันเลย มันไม่ใช่ความผิดของพี่ T หรอก แต่เป็นความผิดของฉันเองที่หมกมุ่นเรื่องพวกนี้ไม่หายไปซักที ‘สังเกตมั้ยว่าพี่ไม่ได้ห้ามเลยนะที่ K จะฆ่าตัวตาย’ วันหนึ่งพี่ T พูดออกมาขณะที่ฉันร้องไห้เป็นเผาเต่า มันก็จริง ทุกครั้งที่เราบำบัดกันจะเน้นที่การตัดสินใจของฉันเป็นสำคัญ พี่ T เคารพการตัดสินใจของฉันเสมอแม้ว่าฉันจะไปตายก็ตามที
    ครั้งสุดท้ายที่ฉันไปบำบัดกับพี่ T พี่แกถามฉันว่า ‘ถ้าตัดสินใจได้แล้ววันนี้มาหาพี่ทำไม’ มันเป็นคำถามเดียวกับที่หมอ C เคยถามและฉันเกลียดคำถามนี้มาก มันเหมือนเป็นการตัดสัมพันธ์ดังฉับ และผลักให้ฉันไม่เหลือใครอีกเลย ฉันบอกพี่ T ไปว่าฉันเพียงมาลา ถ้าจะมีใครที่โรงพยาบาลนี้รู้ข่าวเรื่องฉันตายก็น่าจะเป็นพี่ T เพราะแม่มีเบอร์ของพี่ T น้ำตาฉันหยดลงดังแหมะอย่างห้ามไม่ได้
    อย่างไรก็ตามฉันรู้สึกขอบคุณพี่ T เสมอที่ช่วยเหลือฉันตลอดมา คำแนะนำและคำชี้แนะของพี่ T เป็นสิ่งที่มีประโยชน์และมีค่ามาก ฉันรู้สึกซึ้งใจมากที่พี่ T เคารพการตัดสินใจของฉันทุกครั้งไม่ว่าการตัดสินใจมันจะเลวร้ายยังไงก็ตาม ฉันไม่รู้จะตอบแทนพี่ T ยังไงไหว นอกจากบรรดาหมอๆแล้วก็มีพี่ T ที่มีพระคุณกับการรักษาฉันเสมอมา ฉันรู้สึกขอบคุณจริงๆ ถ้าเผื่อพี่ T ได้เข้ามาอ่าน ฉันขอฝากเอาไว้ให้เพลงนึง
    “ขอโทษนะคะถ้าสิ่งที่ทำลงไปมันทำให้ความพยายามของพี่ T เหมือนไม่มีความหมาย เรารู้สึกขอบคุณพี่จริงๆ ไม่ว่าจะเป็นคำแนะนำหรืออะไรก็ตามแต่ ที่เคยบอกไปว่ามันมี 1 ส่วน 4 ในหัวที่เหมือนกับกำลังร้องขอความช่วยเหลือมันคือความจริง เราเลือกที่จะไม่ฟังเสียงนั้น และในเสี้ยวของ 1 ส่วน 4 นั้นเราก็รู้สึกเหมือนอยากให้พี่ห้ามไม่ให้เราตาย แต่เรารู้ดีว่าพี่ไม่ห้ามหรอก พี่เคารพการตัดสินใจของเราเสมอมา ขอบคุณมากๆ มีคำถามสุดท้ายที่พี่ฝากไว้ให้คิดว่า ‘จริงๆแล้วเราต้องการอะไรกันแน่?’ เราตอบตัวเองได้แล้วนะ เราไม่อยากใช้ชีวิตอย่างนี้อีก ไม่อยากกลับไปเจอหน้าครอบครัว ไม่อยากกลับไปแบกความหวังของพวกเค้าไว้บนบ่า มันอาจจะเป็นการตัดสินใจที่บ้า แต่ทางเดียวที่เหลือมันก็คงเป็นความตาย เราคิดไว้แล้วว่าถ้าเราไปหาหมอ ไปรักษา สุดท้ายเราก็ต้องกลับไปเจอคนในครอบครัวอยู่ดี แล้วอาการเราก็จะกำเริบวนเวียนซ้ำไปซ้ำมาอยู่อย่างนั้นไม่จบสิ้น ทางเดียวที่จะทำให้มันจบคือเราต้องจบชีวิตตัวเอง เหมือนมันจะเป็นความคิดที่ไร้สาระ แต่เราอยาก Set up ชีวิตตัวเองใหม่ ให้เป็นคนที่เข้มแข็งกว่านี้ สุขภาพจิตดีกว่านี้ ถึงตอนนั้นถ้าเรา Set up มันได้จริงๆเราคงจะอยู่กับชีวิตของเราได้ไม่ว่าจะกับครอบครัวไหน เราขอบคุณคงามทุ่มเทที่พี่คอยให้เรา และสนับสนุนการตัดสินใจของเราจนวินาทีสุดท้าย

    ขอบคุณพี่มากๆและลาก่อนค่ะ”

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in