เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
ตำนานพิภพใบใหม่ -โดย lowprofile-kizu_amakusa
Chapter 4 :Red Dynastinae 1
  • “ชนเราจะดำรงค์อยู่ในนามของผู้กล้า ผู้ปกป้อง และผู้เสียสละต่อสรรพชีวิตในพื้นพิภพนี้สืบไป ”

                                                                                               ชวาล์ส ดี อังครุฑ




                    ฝุ่นและควันจากการระเบิดของประตูหินคละคลุ้งไปทั่ว ทรายพยายามใช้ศอกข้างหนึ่งพยุงตัวเองขึ้นพลางหันไปมองรอบๆ...  ทุกที่เต็มไปด้วยเศษหินและฝุ่นควันสีดำหนาแน่นไปหมด ทรายมองเห็นเพียงเงากลุ่มหนึ่งที่กำลังเคลื่อนเข้ามาจากเศษซากของประตู 

    แย่แล้ว! เขาอุทานขึ้นในใจดังลั่น เพียงแค่เห็นแวบแรก ทรายก็จดจำเงานั้นได้ทันที มันคือเงาของคนในชุดปฏิบัติการขนาดใหญ่ รูปร่างแบบเดียวกันกับที่เห็นในห้องของป้ายูเอะ หัวใจของเขาเต้นเร็วจนตัวเองได้ยินชัดเจน ขาทั้งสองข้างไม่มีแรงเลย ทรายต้องใช้แขนค่อยๆลากตัวเองไปหลบอยู่หลังแผ่นหินด้านข้าง ..แม่หล่ะ!.. เขารีบหันควับไปมองหาแม่ทันทีที่นึกขึ้นได้ 

    มีแผ่นหินขนาดใหญ่ทับแท่นเหล็กประจำหน่วยงานของแม่จนยับยู่ยี่แทบแบนติดกับพื้น เขาได้แต่หวังว่าแม่คงไม่ได้อยู่ที่แท่นนั้น ทรายสะอื้นในลำคอเบาๆ น้ำตาของเขาแทบจะไหลทะลักออกมา เขาอยากจะร้องไห้ออกมาดังๆ แต่ก็กลัวว่าเงาเหล่านั้นจะกรูกันเข้ามาหา เขารีบหลับตาลงแล้วพยายามตั้งสติ 


    ..ต้องออกไปจากตรงนี้ก่อน หรือไม่ก็คลานไปหาแม่.. คิดได้ดังนั้นก็ลืมตาขึ้นแล้วชะโงกมองกลุ่มเงาที่เขาเห็นที่หน้าประตู 

    ...หายไปแล้ว.. เขาหันมองไปรอบๆเพื่อดูให้แน่ใจ จากนั้นจึงค่อยๆคลานลัดเลาะผ่านเศษซากของประตูหิน เพื่อมุ่งตรงไปหาแม่ ระหว่างที่คลานไปได้ครู่หนึ่ง หูที่ดับสนิทไปเพราะเสียงระเบิดก็เริ่มจะกลับมาได้ยินอีกครั้ง 

    “แค่กๆ… ณัฐ...ภูมิ” ทรายได้ยินเสียงทุ้มๆของศาสตราจารย์โคเฮนดังอยู่ไม่ไกล “ณัฐภูมิ…” เสียงเรียกดังขึ้นอีกครั้งสองครั้งและฟังเหมือนว่าจะแหบแห้งลงทุกที เขาหันมองไปรอบๆ สำรวจเศษซากของแผ่นหินขนาดใหญ่ที่กระจัดกระจายอยู่ทั่ว ไม่นานเขาก็พบที่มาของเสียง 


    ร่างของศาสตราจารย์โคเฮนนั้น ถูกแผ่นหินขนาดใหญ่ทับทั้งตัว เหลือเพียงช่องว่างเล็กๆที่พอจะทำให้ทรายมองเห็นใบหน้าที่อิดโรยเต็มที ทรายที่พยายามอดกลั้นความกลัวไว้ถึงกลับปล่อยโฮออกมาดังลั่นราวกับกรีดร้อง เขารีบใช้แขนทั้งสองข้างคลานเข้าไปหาโคเฮนพร้อมกับใบหน้าที่เต็มไปด้วยน้ำตา เมื่อคลานเข้าไปใกล้จนเห็นเลือดที่ค่อยๆซึมออกมา ศาสตราจารย์โคเฮนก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่อ่อนแรงเต็มที 

    “เป็นเรื่องใหญ่กว่าที่เราคิดมาก...เอาบัตรของผม...ในกระเป๋าเสื้อ ”

    ทรายยื่นมือเข้าไปในซอกหิน พยายามคลำหาบัตรในกระเป๋าเสื้อของศาสตราจารย์โคเฮน ระหว่างนั้นก็สัมผัสได้ว่าหัวใจของศาสตราจารย์เต้นเบาลงทุกที “ขอบคุณสำหรับทุกๆอย่างนะครับอาจารย์” ทรายพูดขึ้นทั้งน้ำตา

    ศาสตราจารย์โคเฮนยิ้มตอบ แล้วพยายามเค้นเสียงสุดท้ายออกจากลำคอ 

    “ใช้บัตรผม.....ในห้องเก็บข้อมู-----” ไม่ทันจบคำพูดดีโคเฮนก็ไออย่างหนักจนออกมาเป็นเลือด เขามองมาที่ทรายแล้วยิ้มให้อย่างอ่อนโยน น้ำตาของเขาไหลคลอออกมาชะล้างคราบเลือดบนใบหน้า 

    “รีบไปเถอะ..” พูดจบก็หลับตาลงช้าๆ ลมหายใจของเขาแผ่วเบาลงจนแน่นิ่งไป.....

    ทรายก้มหัวคำนับลงกับพื้น เขาสะอื้นให้กับการจากไปของอาจารย์ที่ตนเคารพที่สุด เหตุการณ์เลวร้ายนี้เกิดขึ้นรวดเร็วและหนักหนาเกินกว่าที่เด็กคนนึงจะรับไหว เขาร้องให้ฟูมฟายราวกับถูกพรากจากพ่อแม่ 


    “ ยืนขึ้นได้แล้ว ”

             เสียงของศาสตราจารย์โคเฮน ดังก้องขึ้นในใจของเขาอย่างชัดเจน จากนั้นขาทั้งสองข้างที่แทบจะไม่มีแรง กลับพยุงตัวทรายให้ลุกขึ้นยืนอย่างฉับพลัน เขารู้สึกราวกับตกอยู่ในภวังค์... 

    ในสมองว่างเปล่า ไม่มีแม้กระทั่งความกลัว เมื่อทรายหันมองรอบๆ ทุกอย่างกลับเคลื่อนไหวช้าราวกับภาพสโลโมชั่น ทั้งยานขนส่งสีเงินขนาดใหญ่ที่กำลังเคลื่อนเข้ามาในโถงประชุม ทั้งสีหน้าที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวดของเจ้าหน้าที่ผู้บาดเจ็บจากแรงระเบิดของประตูหิน ทุกอย่างเกิดขึ้นช้าเหลือเกิน แถมสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นตรงหน้า ยิ่งทำให้เขาประหลาดใจเข้าไปอีก ร่างของพนักงานจากหน่วยปกครองคนหนึ่งซึ่งถูกเหล็กเส้นขนาดใหญ่แทงทะลุลำตัว กำลังลุกขึ้นยืนเบื้องหน้าของเขาช้าๆราวกับศพคืนชีพ ร่างดังกล่าวยกมือขึ้นชี้ไปยังด้านหลังของทราย แม้จะแปลกใจกับสิ่งที่เห็น แต่ใจของเขายังคงสงบไม่หวั่นไหว 


    ...ใช้คนตายส่งข้อความ ?.. ทำได้ยังไงกัน... 

    ถึงทรายจะอดคิดขึ้นมาไม่ได้ แต่เขาก็เข้าใจในทันที ว่าสิ่งที่ร่างนั้นชี้ คือช่องส่งพัสดุที่อยู่ถัดไปทางด้านหลังไม่ไกลจากจุดที่ทรายยืนอยู่นัก    

    ซู่มมมมม!  เสียงกลไกขับเคลื่อนของยานขนส่งสีเงินดังขึ้นสนั่นหวั่นไหว ร่างที่อยู่ตรงหน้าล้มลงกับพื้นอย่างแรงราวกับไร้ข้อต่อ ทุกสิ่งกลับมาเคลื่อนไหวรวดเร็วไปหมด ทรายสะดุ้งตื่นจากภวังค์... ไม่มีอะไรต้องลังเลอีกแล้ว เขาออกวิ่งตรงไปยังช่องส่งพัสดุทันที

                  ช่องส่งพัสดุ เป็นท่อขนส่งแบบเก่าซึ่งกว้างประมาณหนึ่งช่วงแขนเท่านั้น ปกติมันจะถูกใช้สำหรับส่งผลงานหรืออุปกรณ์ในการประชุมระหว่างหน่วยงานต่างๆในไดฮัทซึ และนี่คือทางเดียวที่จะหลบหนีออกไปจากหอประชุม ทรายกลั้นใจวิ่งสุดฝีเท้าไปจนถึงแท่นควบคุม และพบว่าหน้าจอนั้นถูกตั้งรหัสระบุพิกัดปลายทางเอาไว้แล้ว 

    ...มีคนหนีออกไปก่อนแล้ว? อาจจะเป็นแม่ก็ได้... ทรายคิดเข้าข้างตัวเองในใจแล้วปีนเข้าช่องส่งพัสดุทันที แขนกลทั้งหลายตรวจเช็คร่างกายของเขา แล้วใช้แผ่นกันกระแทกพันห่อหุ้มร่างกายของเขาใว้เหมือนดักแด้ ก่อนจะปล่อยทิ้งลงในช่องลำเลียง 

        ทรายหลับตาปี๋ เขากลัวสุดขีดจากภาวะที่ร่างกายตกลงจากที่สูงอย่างรวดเร็วจนหมดสติไป  


     “ ทราย!!! ตื่น ตื่น! ” 


    เสียงชายหนุ่มที่รู้สึกคุ้นหู ดังแว่วๆเข้ามาในหูของทราย สมองของเขายังมึนงงและสะลึมสะลือ ในระหว่างที่ค่อยๆตั้งใจฟังเสียงเรียกเบาๆนั้นเอง เพี๊ยะ!!! เสียงดังพร้อมกับความแสบชาของแก้มซ้ายก็เกิดขึ้นอย่างฉับพลัน ทรายค่อยๆลืมตาขึ้นมองเงาหน้าที่คล่อมเขาใว้  

    “พี่เจษ!!” ทรายงัวเงียทรงตัวขึ้นมานั่ง เขามองเพื่อนบ้านของเขาแล้วมองไปรอบๆตัว ห้องรายล้อมไปด้วยตู้ล็อคเกอร์เก่าๆสำหรับเก็บสัมภาระ โต๊ะประชุมขนาดเล็กกลางห้องมีแผนโฮโลแกรมแบบอนาล็อก(เทคโนโลยีเก่า)แสดงอยู่ ที่ผนังห้องมีสัญลักษณ์แมลงด้วงสีแดงและหน้าจอแบบเข็มนาฬิกาสำหรับบอกแรงดันน้ำขนาดใหญ่ ทรายเดาว่าที่นี่คงเป็นห้องพักของเจ้าหน้าที่หน่วยกำจัดสารพิษ ซึ่งเป็นหน่วยงานในเขตหวงห้ามที่อยู่ต่ำกว่าระดับน้ำทะเล เรียกได้ว่า ก้นเหวใต้ทะเลลึกเลยก็ว่าได้  


    “เกิดอะไรขึ้นข้างบน” เจษถามขึ้นทันทีเมื่อเห็นว่าทรายเริ่มได้สติ

    ความกังวลเริ่มกลับเข้ามาในหัวของทรายอีกครั้ง การตายของศาสตราจารย์โคเฮน  แม่.. ที่ไม่รู้จะเป็นตายร้ายดี น้ำตาของเขาเริ่มเอ่อล้นออกมา 

    “ค่อยๆพูด ใจเย็นๆ” เจษตบที่บ่าของทรายเบาๆ 

    “ตอบพี่ในนามของผู้กล้า ตอบมาในนามของผู้เสียสละเพื่อส่วนรวมน้อง” เจษพูดปลุกใจด้วยปรัญชาของชาวโลว์เลเวล ทรายกลั้นน้ำตาและหยุดสะอื้น เขาหายใจออกเบาๆ แล้วจึงเริ่มพูด 


    “มีคนบุกรุกเข้ามาตอนประชุมครับ เหตุการณ์เลวร้ายกำลังเกิดขึ้นที่เมืองของเรา”  เจษฟังด้วยสีหน้าเรียบเฉยพลางหมุนปุ่มวิทยุสื่อสารยุคโบราณไปมา

    “ไม่นึกว่ามันจะเกิดขึ้นจริง พี่คิดว่ามันเป็นแค่เรื่องเล่าบ้าบอของยุ่นเผือกซะอีก” 

    “ยุ่นเผือก หมายถึงอาจารย์ยูตะหรอครับ” ทรายถาม เจษหันมามองหน้าทรายแล้วพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “เค้าบอกว่าประชากรที่เเข็งแรงของพวกเรา จะทยอยล้มตายและถูกสวมแทนด้วยแอนดรอย ส่วนพวกฉลาดๆจะโดนกำจัดทันที ที่คิดค้นวิทยาการที่โลกต้องการได้สำเร็จ” เจษพูดจบก็มีเสียงสัญญาณวิทยุดังขึ้น 

    “ทางนั้นเป็นยังไงบ้าง ตอบด้วย” 


    “ได้สติแล้ว รอคำสั่งต่อไป” 


    เจษกดวิทยุสื่อสารตอบ แล้วเล่าเรื่องราวของตนให้ทรายฟังต่อทันที

    “ประมาณหนึ่งปีก่อน พี่กับทีมได้รับคำสั่งจากหน่วยปกครอง ให้เก็บขยะอิเล็กทรอนิกจากหน่วยสมองกลสัปดาห์ละหนึ่งวัน ...ทุกครั้งที่ไป ทุกคนในทีมก็จะเจอเเค่เด็กหนุ่มผิวขาวซีดในชุดวิจัยนี่แหละ ยืนรออยู่กับกองชิ้นส่วนจักรกลเยอะแยะไปหมด” เจษเล่าด้วยสีหน้าจริงจัง ก่อนหันมามองหน้าทรายแล้วถามขึ้น

    “ศาสตราจารย์ที่ว่านั่นเป็นคนเผือกหรอ”


    “ใช่ครับ เท่าที่ผมทราบ ศาสตราจารย์ยูตะ อยู่ในระยะสุดท้ายของโรคทางพันธุกรรมของพวกเราครับ” ทรายตอบ  เจษคิ้วขมวดพลางลุกขึ้นเดินวนไปวนมา “สูงประมาณนี้นะ” พูดแล้วก็ยกมือขึ้นมาประมาณหัวไหล่ “นัยตาสีเหลือง ไม่มีคิ้วนะ” เจษถามย้ำ

     ทรายพยายามนึกถึงลักษณะของศาสตราจารย์ยูตะที่ตนเห็นในที่ประชุมอยู่ครู่หนึ่ง

    “ใช่ครับ นัยตาสีเหลือง ไม่มีคิ้ว”  ทรายตอบ

    “แปลก..” 

    เจษอุทานขึ้นพร้อมกับเดินไปเปิดเครื่องฉายแผนที่โฮโลแกรมที่อยู่กลางห้อง

    “ถ้าฉลาด จะอ่อนแอและอายุสั้น ถ้าร่างกายแข็งแรงก็ถูกทางการแอบฝังเชื้อไวรัส ในพิธีจบการศึกษา...” 

    เจษพูดพลางถลกแขนเสื้อขึ้นเผยให้เห็นตราประทับสีแดงที่ท้องแขน ระหว่างนี้เองที่ตราประทับสีแดงของเจษ ทำให้ภาพความทรงจำในวัยเด็กของทรายผุดขึ้นมาในหัว  

             ภาพของเสื้อแขนยาวสำหรับเด็กพร้อมถุงมือนวมขนาดเล็กมากมายที่ป้ายูเอะหอบพะรุงพะรังมาให้แม่เนื่องในวันคล้ายวันเกิดครบรอบสามปีของทราย 

    “รับใว้เถอะนะ เผื่อใว้ใส่ให้น้องทรายในเวลาที่อากาศเย็น” ภาพพ่อกับแม่โค้งคำนับขอบคุณป้ายูเอะเป็นการใหญ่ พอป้ายูเอะกลับไป พ่อก็พูดขึ้นหลังจากปิดประตูบ้าน 

     “ป้าแกมีน้ำใจนะ พึ่งย้ายมาอยู่เขตเราไม่กี่เดือนเอง”


    แม่ที่กางเสื้อผ้าออกดูอย่าละเอียกพยักหน้าแล้วตอบ

     “ก็ดีนะ เอาใว้ให้ทรายใส่นอน แต่อย่าใส่ให้ลูกเวลาพาออกไปนอกบ้านนะ คนเค้าจะนึกว่าลูกเราเป็นเรดปัตตา”

    “อืม...ใส่ไปข้างนอกไม่ได้หรอก” พ่อของทรายตอบแล้วหันมาพูดกับทรายที่นั่งอยู่บนรถเข็น 

    “หนูรู้จักใช่มั้ยลูก เรดปัตตา”..........


             ที่รั้วหน้าบ้านของป้ายูเอะ จะห้อมล้อมไปด้วยต้นไม้พุ่มที่เกิดจากกากกัมมันตภาพรังสีซึ่งมีดอกสีแดงสด “เรดปัตตา” มันเป็นกฎหมายที่กำหนดให้ครอบครัวที่มีเด็กหรือลูกหลานที่ถูกจำแนกตั้งแต่กำเนิดด้วยเลือดกรุ๊ป B โบราณ ว่าเป็น “บุคคลประเภทที่ 3” จะต้องปลูกต้นเรดปัตตาใว้เพื่อแจ้งแก่ผู้คนโดนรอบ

    ที่เป็นเช่นนั้นเพราะพวกเขาเป็นประชากรส่วนน้อยมากๆ ที่มีพันธุกรรมกลายพันธ์บกพร่องรุนแรง ทำให้ประสาทสัมผัสของพวกเขานั้น มีความไวและละเอียดต่อเฉดสี กลิ่น และเสียงเป็นอย่างมาก ซ้ำร้ายวุฒิภาวะ​ทางอารมณ์ยังแปรปรวนไม่คงที่ ชาวโลว์เลเวลที่ถูกประทับเครื่องหมายสีแดงตั้งแต่แรกเกิด จึงถูกแยกออกเพื่อเข้าระบบการปกครองในแบบเฉพาะ โดยไม่สนใจว่าพวกเค้าเหล่านั้นจะมีสติปัญญาหรือศักยภาพทางกายอย่างไร 

    และที่สำคัญ พวกเค้าจะไม่ได้เรียนหนังสือ หากแต่จะถูกแยกไปฝึกอย่างเข้มข้นเพื่องานที่เฉพาะเจาะจงในเขตหวงห้ามที่อยู่ลึกลงไปสุดเหวมหาสมุทร สถานที่ที่น้ำทะเล และลาวาบรรจบกัน รัฐจะละเลยความเป็นตายของพวกเขา เพราะในอีกนัยยะหนึ่ง เด็กที่ถูกประทับเครื่องหมายสีแดงนั้นได้ตายจากระบบฐานข้อมูลประชากรไปแล้วตั้งแต่พวกเขากำเนิด โดยพวกเขาทั้งหลายจะได้กลับไปใช้ชีวิตกับครอบครัวในทุกๆปีที่ดอกเรดปัตตาเบ่งบานเท่านั้น (ในสามปีเรดปัตตาจะบานหนึ่งครั้ง ระยะเวลาตั้งแต่บานจนร่วงโรยคือสามเดือน)

    “ทราย !!!” 

    เสียงตะคอกของเจษปลุกทรายตื่นจากภาพอดีต


    เจษพูดพลางชูนิ้วชี้ “พี่จะไม่พูดซ้ำอีก”

    “ยุ่นเผือกบอกพวกพี่ว่า แฮคข้อมูลติดตามข่าวสารเรื่องราวของทวีปต่างๆบนไฮด์เลเวลมานาน และทวีปทั้งหลายก็มีมติเห็นชอบร่วมกันที่จะยุติบทบาท และหน้าที่ของดินแดนด้านล่าง(โลว์เลเวล)ทั้งหมดทันทีที่งานวิจัยชิ้นนึงสำเร็จ”

    ทรายฟังแล้วคิดตามครู่หนึ่ง

     “ ไม่สมเหตุสมผลเลยนะครับ ยังไงผมก็ต้องรายงานผลวิจัยให้ทางการอยู่แล้วนี่ครับ ไม่มีความจำเป็นต้องกระทำการอุกอาจแบบนี้เลย”


    เจษนั่งกอดอก คิ้วของเขาขมวดจนชนกัน ทั้งสองต่างเงียบสนิท.. 

    ไม่นานนัก เจษก็ลุกขึ้นไปค้นของจากล๊อคเกอร์ส่วนตัวของเขา แล้วหยิบเศษกระดาษเล็กๆชิ้นนึงมาให้ทรายดู  ภายในกระดาษเขียนว่า “ดรอยด์ B436 บูทก่อนแล้วรอ”


         “นี่เป็นเศษกระดาษที่ยุ่นเผือกแอบส่งให้พวกพี่ตอนที่เราเจอกันครั้งล่าสุด พอกลับมาถึงหน่วย พวกพี่ก็แยกขยะ แล้วก็เจอซากดรอยด์รุ่นเก่ามากๆตัวนึง”


                 “ B436 หรอครับ” 


                   “ใช่ เป็นอนาล็อค หน่วยความจำเป็นแถบแม่เหล็กหมด” เจษตอบ 


    เจษยังจำเหตุการณ์วันนั้นได้แม่นยำ ดรอยรุ่นเก่าถูกบูทด้วยไฟฟ้า เมื่อเปิดการทำงานเสร็จสมบูรณ์ก็แจ้งข้อความทันที

                             

           “ถึงด้วงแดง วันที่ 4 เดือน 6  ระหว่างเวลา 10.30-13.50 น รอรับพัศดุที่ชั้น 4 ช่องที่ 36  จำนวนสาม ชิ้น ถ้าเป็นสิ่งของ ให้นำไปทำลาย ถ้าเป็นบุคคล ให้รู้ว่ามีภัย โปรดนำกลับไปหลบภัยที่ศูนย์ของพวกท่าน หน่วยงานปกครองกลายเป็นภัย โปรดเก็บเป็นความลับ      

                   ย้ำ   ถึงด้วงแดง วันที่ 4 เดือน 6  ระหว่างเวลา 10.30-13.50 น รอรับพัศดุที่ชั้น 4 ช่องที่ 36  จำนวนสามชิ้น ถ้าเป็นสิ่งของ ให้นำไปทำลาย ถ้าเป็นบุคคล ให้รู้ว่ามีภัย โปรดนำกลับไปหลบภัยที่ศูนย์ของพวกท่าน หน่วยงานปกครองกลายเป็นภัย โปรดเก็บเป็นความลับ”


    หลังจากนั้นครู่นึง ดรอยด์ก็ดับลง พร้อมกับกลิ่นเหม็นไหม้ของแถบแม่เหล็ก


    “พวกเค้ารู้ทันอาจารย์ยูตะ” ทรายอุทานขึ้น


    “อาจารย์ต้องการจะแจ้งที่ประชุมในเรื่องนี้ เพื่อหยุดยั้งการส่งงานวิจัยของผมนี่เอง”


    ชั่ววินาทีที่ทรายพูดจบ เสียงวิทยุสื่อสารของเจษก็ดังขึ้น 


    “หน่วยปกครอง เข้าแอเรียที่1 สแตนบาย”


    เจษกับทรายมองหน้ากันเงียบๆ จนสัญญาณวิทยุดับลง


เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in