“ชนเราจะดำรงค์อยู่ในนามของผู้กล้า ผู้ปกป้อง และผู้เสียสละต่อสรรพชีวิตในพื้นพิภพนี้สืบไป ”
ชวาล์ส ดี อังครุฑ
ฝุ่นและควันจากการระเบิดของประตูหินคละคลุ้งไปทั่ว ทรายพยายามใช้ศอกข้างหนึ่งพยุงตัวเองขึ้นพลางหันไปมองรอบๆ... ทุกที่เต็มไปด้วยเศษหินและฝุ่นควันสีดำหนาแน่นไปหมด ทรายมองเห็นเพียงเงากลุ่มหนึ่งที่กำลังเคลื่อนเข้ามาจากเศษซากของประตู
แย่แล้ว! เขาอุทานขึ้นในใจดังลั่น เพียงแค่เห็นแวบแรก ทรายก็จดจำเงานั้นได้ทันที มันคือเงาของคนในชุดปฏิบัติการขนาดใหญ่ รูปร่างแบบเดียวกันกับที่เห็นในห้องของป้ายูเอะ หัวใจของเขาเต้นเร็วจนตัวเองได้ยินชัดเจน ขาทั้งสองข้างไม่มีแรงเลย ทรายต้องใช้แขนค่อยๆลากตัวเองไปหลบอยู่หลังแผ่นหินด้านข้าง ..แม่หล่ะ!.. เขารีบหันควับไปมองหาแม่ทันทีที่นึกขึ้นได้
มีแผ่นหินขนาดใหญ่ทับแท่นเหล็กประจำหน่วยงานของแม่จนยับยู่ยี่แทบแบนติดกับพื้น เขาได้แต่หวังว่าแม่คงไม่ได้อยู่ที่แท่นนั้น ทรายสะอื้นในลำคอเบาๆ น้ำตาของเขาแทบจะไหลทะลักออกมา เขาอยากจะร้องไห้ออกมาดังๆ แต่ก็กลัวว่าเงาเหล่านั้นจะกรูกันเข้ามาหา เขารีบหลับตาลงแล้วพยายามตั้งสติ
..ต้องออกไปจากตรงนี้ก่อน หรือไม่ก็คลานไปหาแม่.. คิดได้ดังนั้นก็ลืมตาขึ้นแล้วชะโงกมองกลุ่มเงาที่เขาเห็นที่หน้าประตู
...หายไปแล้ว.. เขาหันมองไปรอบๆเพื่อดูให้แน่ใจ จากนั้นจึงค่อยๆคลานลัดเลาะผ่านเศษซากของประตูหิน เพื่อมุ่งตรงไปหาแม่ ระหว่างที่คลานไปได้ครู่หนึ่ง หูที่ดับสนิทไปเพราะเสียงระเบิดก็เริ่มจะกลับมาได้ยินอีกครั้ง
“แค่กๆ… ณัฐ...ภูมิ” ทรายได้ยินเสียงทุ้มๆของศาสตราจารย์โคเฮนดังอยู่ไม่ไกล “ณัฐภูมิ…” เสียงเรียกดังขึ้นอีกครั้งสองครั้งและฟังเหมือนว่าจะแหบแห้งลงทุกที เขาหันมองไปรอบๆ สำรวจเศษซากของแผ่นหินขนาดใหญ่ที่กระจัดกระจายอยู่ทั่ว ไม่นานเขาก็พบที่มาของเสียง
ร่างของศาสตราจารย์โคเฮนนั้น ถูกแผ่นหินขนาดใหญ่ทับทั้งตัว เหลือเพียงช่องว่างเล็กๆที่พอจะทำให้ทรายมองเห็นใบหน้าที่อิดโรยเต็มที ทรายที่พยายามอดกลั้นความกลัวไว้ถึงกลับปล่อยโฮออกมาดังลั่นราวกับกรีดร้อง เขารีบใช้แขนทั้งสองข้างคลานเข้าไปหาโคเฮนพร้อมกับใบหน้าที่เต็มไปด้วยน้ำตา เมื่อคลานเข้าไปใกล้จนเห็นเลือดที่ค่อยๆซึมออกมา ศาสตราจารย์โคเฮนก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่อ่อนแรงเต็มที
“เป็นเรื่องใหญ่กว่าที่เราคิดมาก...เอาบัตรของผม...ในกระเป๋าเสื้อ ”
ทรายยื่นมือเข้าไปในซอกหิน พยายามคลำหาบัตรในกระเป๋าเสื้อของศาสตราจารย์โคเฮน ระหว่างนั้นก็สัมผัสได้ว่าหัวใจของศาสตราจารย์เต้นเบาลงทุกที “ขอบคุณสำหรับทุกๆอย่างนะครับอาจารย์” ทรายพูดขึ้นทั้งน้ำตา
ศาสตราจารย์โคเฮนยิ้มตอบ แล้วพยายามเค้นเสียงสุดท้ายออกจากลำคอ
“ใช้บัตรผม.....ในห้องเก็บข้อมู-----” ไม่ทันจบคำพูดดีโคเฮนก็ไออย่างหนักจนออกมาเป็นเลือด เขามองมาที่ทรายแล้วยิ้มให้อย่างอ่อนโยน น้ำตาของเขาไหลคลอออกมาชะล้างคราบเลือดบนใบหน้า
“รีบไปเถอะ..” พูดจบก็หลับตาลงช้าๆ ลมหายใจของเขาแผ่วเบาลงจนแน่นิ่งไป.....
ทรายก้มหัวคำนับลงกับพื้น เขาสะอื้นให้กับการจากไปของอาจารย์ที่ตนเคารพที่สุด เหตุการณ์เลวร้ายนี้เกิดขึ้นรวดเร็วและหนักหนาเกินกว่าที่เด็กคนนึงจะรับไหว เขาร้องให้ฟูมฟายราวกับถูกพรากจากพ่อแม่
“ ยืนขึ้นได้แล้ว ”
เสียงของศาสตราจารย์โคเฮน ดังก้องขึ้นในใจของเขาอย่างชัดเจน จากนั้นขาทั้งสองข้างที่แทบจะไม่มีแรง กลับพยุงตัวทรายให้ลุกขึ้นยืนอย่างฉับพลัน เขารู้สึกราวกับตกอยู่ในภวังค์...
ในสมองว่างเปล่า ไม่มีแม้กระทั่งความกลัว เมื่อทรายหันมองรอบๆ ทุกอย่างกลับเคลื่อนไหวช้าราวกับภาพสโลโมชั่น ทั้งยานขนส่งสีเงินขนาดใหญ่ที่กำลังเคลื่อนเข้ามาในโถงประชุม ทั้งสีหน้าที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวดของเจ้าหน้าที่ผู้บาดเจ็บจากแรงระเบิดของประตูหิน ทุกอย่างเกิดขึ้นช้าเหลือเกิน แถมสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นตรงหน้า ยิ่งทำให้เขาประหลาดใจเข้าไปอีก ร่างของพนักงานจากหน่วยปกครองคนหนึ่งซึ่งถูกเหล็กเส้นขนาดใหญ่แทงทะลุลำตัว กำลังลุกขึ้นยืนเบื้องหน้าของเขาช้าๆราวกับศพคืนชีพ ร่างดังกล่าวยกมือขึ้นชี้ไปยังด้านหลังของทราย แม้จะแปลกใจกับสิ่งที่เห็น แต่ใจของเขายังคงสงบไม่หวั่นไหว
...ใช้คนตายส่งข้อความ ?.. ทำได้ยังไงกัน...
ถึงทรายจะอดคิดขึ้นมาไม่ได้ แต่เขาก็เข้าใจในทันที ว่าสิ่งที่ร่างนั้นชี้ คือช่องส่งพัสดุที่อยู่ถัดไปทางด้านหลังไม่ไกลจากจุดที่ทรายยืนอยู่นัก
ซู่มมมมม! เสียงกลไกขับเคลื่อนของยานขนส่งสีเงินดังขึ้นสนั่นหวั่นไหว ร่างที่อยู่ตรงหน้าล้มลงกับพื้นอย่างแรงราวกับไร้ข้อต่อ ทุกสิ่งกลับมาเคลื่อนไหวรวดเร็วไปหมด ทรายสะดุ้งตื่นจากภวังค์... ไม่มีอะไรต้องลังเลอีกแล้ว เขาออกวิ่งตรงไปยังช่องส่งพัสดุทันที
ช่องส่งพัสดุ เป็นท่อขนส่งแบบเก่าซึ่งกว้างประมาณหนึ่งช่วงแขนเท่านั้น ปกติมันจะถูกใช้สำหรับส่งผลงานหรืออุปกรณ์ในการประชุมระหว่างหน่วยงานต่างๆในไดฮัทซึ และนี่คือทางเดียวที่จะหลบหนีออกไปจากหอประชุม ทรายกลั้นใจวิ่งสุดฝีเท้าไปจนถึงแท่นควบคุม และพบว่าหน้าจอนั้นถูกตั้งรหัสระบุพิกัดปลายทางเอาไว้แล้ว
...มีคนหนีออกไปก่อนแล้ว? อาจจะเป็นแม่ก็ได้... ทรายคิดเข้าข้างตัวเองในใจแล้วปีนเข้าช่องส่งพัสดุทันที แขนกลทั้งหลายตรวจเช็คร่างกายของเขา แล้วใช้แผ่นกันกระแทกพันห่อหุ้มร่างกายของเขาใว้เหมือนดักแด้ ก่อนจะปล่อยทิ้งลงในช่องลำเลียง
ทรายหลับตาปี๋ เขากลัวสุดขีดจากภาวะที่ร่างกายตกลงจากที่สูงอย่างรวดเร็วจนหมดสติไป
“ ทราย!!! ตื่น ตื่น! ”
เสียงชายหนุ่มที่รู้สึกคุ้นหู ดังแว่วๆเข้ามาในหูของทราย สมองของเขายังมึนงงและสะลึมสะลือ ในระหว่างที่ค่อยๆตั้งใจฟังเสียงเรียกเบาๆนั้นเอง เพี๊ยะ!!! เสียงดังพร้อมกับความแสบชาของแก้มซ้ายก็เกิดขึ้นอย่างฉับพลัน ทรายค่อยๆลืมตาขึ้นมองเงาหน้าที่คล่อมเขาใว้
“พี่เจษ!!” ทรายงัวเงียทรงตัวขึ้นมานั่ง เขามองเพื่อนบ้านของเขาแล้วมองไปรอบๆตัว ห้องรายล้อมไปด้วยตู้ล็อคเกอร์เก่าๆสำหรับเก็บสัมภาระ โต๊ะประชุมขนาดเล็กกลางห้องมีแผนโฮโลแกรมแบบอนาล็อก(เทคโนโลยีเก่า)แสดงอยู่ ที่ผนังห้องมีสัญลักษณ์แมลงด้วงสีแดงและหน้าจอแบบเข็มนาฬิกาสำหรับบอกแรงดันน้ำขนาดใหญ่ ทรายเดาว่าที่นี่คงเป็นห้องพักของเจ้าหน้าที่หน่วยกำจัดสารพิษ ซึ่งเป็นหน่วยงานในเขตหวงห้ามที่อยู่ต่ำกว่าระดับน้ำทะเล เรียกได้ว่า ก้นเหวใต้ทะเลลึกเลยก็ว่าได้
“เกิดอะไรขึ้นข้างบน” เจษถามขึ้นทันทีเมื่อเห็นว่าทรายเริ่มได้สติ
ความกังวลเริ่มกลับเข้ามาในหัวของทรายอีกครั้ง การตายของศาสตราจารย์โคเฮน แม่.. ที่ไม่รู้จะเป็นตายร้ายดี น้ำตาของเขาเริ่มเอ่อล้นออกมา
“ค่อยๆพูด ใจเย็นๆ” เจษตบที่บ่าของทรายเบาๆ
“ตอบพี่ในนามของผู้กล้า ตอบมาในนามของผู้เสียสละเพื่อส่วนรวมน้อง” เจษพูดปลุกใจด้วยปรัญชาของชาวโลว์เลเวล ทรายกลั้นน้ำตาและหยุดสะอื้น เขาหายใจออกเบาๆ แล้วจึงเริ่มพูด
“มีคนบุกรุกเข้ามาตอนประชุมครับ เหตุการณ์เลวร้ายกำลังเกิดขึ้นที่เมืองของเรา” เจษฟังด้วยสีหน้าเรียบเฉยพลางหมุนปุ่มวิทยุสื่อสารยุคโบราณไปมา
“ไม่นึกว่ามันจะเกิดขึ้นจริง พี่คิดว่ามันเป็นแค่เรื่องเล่าบ้าบอของยุ่นเผือกซะอีก”
“ยุ่นเผือก หมายถึงอาจารย์ยูตะหรอครับ” ทรายถาม เจษหันมามองหน้าทรายแล้วพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “เค้าบอกว่าประชากรที่เเข็งแรงของพวกเรา จะทยอยล้มตายและถูกสวมแทนด้วยแอนดรอย ส่วนพวกฉลาดๆจะโดนกำจัดทันที ที่คิดค้นวิทยาการที่โลกต้องการได้สำเร็จ” เจษพูดจบก็มีเสียงสัญญาณวิทยุดังขึ้น
“ทางนั้นเป็นยังไงบ้าง ตอบด้วย”
“ได้สติแล้ว รอคำสั่งต่อไป”
เจษกดวิทยุสื่อสารตอบ แล้วเล่าเรื่องราวของตนให้ทรายฟังต่อทันที
“ประมาณหนึ่งปีก่อน พี่กับทีมได้รับคำสั่งจากหน่วยปกครอง ให้เก็บขยะอิเล็กทรอนิกจากหน่วยสมองกลสัปดาห์ละหนึ่งวัน ...ทุกครั้งที่ไป ทุกคนในทีมก็จะเจอเเค่เด็กหนุ่มผิวขาวซีดในชุดวิจัยนี่แหละ ยืนรออยู่กับกองชิ้นส่วนจักรกลเยอะแยะไปหมด” เจษเล่าด้วยสีหน้าจริงจัง ก่อนหันมามองหน้าทรายแล้วถามขึ้น
“ศาสตราจารย์ที่ว่านั่นเป็นคนเผือกหรอ”
“ใช่ครับ เท่าที่ผมทราบ ศาสตราจารย์ยูตะ อยู่ในระยะสุดท้ายของโรคทางพันธุกรรมของพวกเราครับ” ทรายตอบ เจษคิ้วขมวดพลางลุกขึ้นเดินวนไปวนมา “สูงประมาณนี้นะ” พูดแล้วก็ยกมือขึ้นมาประมาณหัวไหล่ “นัยตาสีเหลือง ไม่มีคิ้วนะ” เจษถามย้ำ
ทรายพยายามนึกถึงลักษณะของศาสตราจารย์ยูตะที่ตนเห็นในที่ประชุมอยู่ครู่หนึ่ง
“ใช่ครับ นัยตาสีเหลือง ไม่มีคิ้ว” ทรายตอบ
“แปลก..”
เจษอุทานขึ้นพร้อมกับเดินไปเปิดเครื่องฉายแผนที่โฮโลแกรมที่อยู่กลางห้อง
“ถ้าฉลาด จะอ่อนแอและอายุสั้น ถ้าร่างกายแข็งแรงก็ถูกทางการแอบฝังเชื้อไวรัส ในพิธีจบการศึกษา...”
เจษพูดพลางถลกแขนเสื้อขึ้นเผยให้เห็นตราประทับสีแดงที่ท้องแขน ระหว่างนี้เองที่ตราประทับสีแดงของเจษ ทำให้ภาพความทรงจำในวัยเด็กของทรายผุดขึ้นมาในหัว
ภาพของเสื้อแขนยาวสำหรับเด็กพร้อมถุงมือนวมขนาดเล็กมากมายที่ป้ายูเอะหอบพะรุงพะรังมาให้แม่เนื่องในวันคล้ายวันเกิดครบรอบสามปีของทราย
“รับใว้เถอะนะ เผื่อใว้ใส่ให้น้องทรายในเวลาที่อากาศเย็น” ภาพพ่อกับแม่โค้งคำนับขอบคุณป้ายูเอะเป็นการใหญ่ พอป้ายูเอะกลับไป พ่อก็พูดขึ้นหลังจากปิดประตูบ้าน
“ป้าแกมีน้ำใจนะ พึ่งย้ายมาอยู่เขตเราไม่กี่เดือนเอง”
แม่ที่กางเสื้อผ้าออกดูอย่าละเอียกพยักหน้าแล้วตอบ
“ก็ดีนะ เอาใว้ให้ทรายใส่นอน แต่อย่าใส่ให้ลูกเวลาพาออกไปนอกบ้านนะ คนเค้าจะนึกว่าลูกเราเป็นเรดปัตตา”
“อืม...ใส่ไปข้างนอกไม่ได้หรอก” พ่อของทรายตอบแล้วหันมาพูดกับทรายที่นั่งอยู่บนรถเข็น
“หนูรู้จักใช่มั้ยลูก เรดปัตตา”..........
ที่รั้วหน้าบ้านของป้ายูเอะ จะห้อมล้อมไปด้วยต้นไม้พุ่มที่เกิดจากกากกัมมันตภาพรังสีซึ่งมีดอกสีแดงสด “เรดปัตตา” มันเป็นกฎหมายที่กำหนดให้ครอบครัวที่มีเด็กหรือลูกหลานที่ถูกจำแนกตั้งแต่กำเนิดด้วยเลือดกรุ๊ป B โบราณ ว่าเป็น “บุคคลประเภทที่ 3” จะต้องปลูกต้นเรดปัตตาใว้เพื่อแจ้งแก่ผู้คนโดนรอบ
ที่เป็นเช่นนั้นเพราะพวกเขาเป็นประชากรส่วนน้อยมากๆ ที่มีพันธุกรรมกลายพันธ์บกพร่องรุนแรง ทำให้ประสาทสัมผัสของพวกเขานั้น มีความไวและละเอียดต่อเฉดสี กลิ่น และเสียงเป็นอย่างมาก ซ้ำร้ายวุฒิภาวะทางอารมณ์ยังแปรปรวนไม่คงที่ ชาวโลว์เลเวลที่ถูกประทับเครื่องหมายสีแดงตั้งแต่แรกเกิด จึงถูกแยกออกเพื่อเข้าระบบการปกครองในแบบเฉพาะ โดยไม่สนใจว่าพวกเค้าเหล่านั้นจะมีสติปัญญาหรือศักยภาพทางกายอย่างไร
และที่สำคัญ พวกเค้าจะไม่ได้เรียนหนังสือ หากแต่จะถูกแยกไปฝึกอย่างเข้มข้นเพื่องานที่เฉพาะเจาะจงในเขตหวงห้ามที่อยู่ลึกลงไปสุดเหวมหาสมุทร สถานที่ที่น้ำทะเล และลาวาบรรจบกัน รัฐจะละเลยความเป็นตายของพวกเขา เพราะในอีกนัยยะหนึ่ง เด็กที่ถูกประทับเครื่องหมายสีแดงนั้นได้ตายจากระบบฐานข้อมูลประชากรไปแล้วตั้งแต่พวกเขากำเนิด โดยพวกเขาทั้งหลายจะได้กลับไปใช้ชีวิตกับครอบครัวในทุกๆปีที่ดอกเรดปัตตาเบ่งบานเท่านั้น (ในสามปีเรดปัตตาจะบานหนึ่งครั้ง ระยะเวลาตั้งแต่บานจนร่วงโรยคือสามเดือน)
“ทราย !!!”
เสียงตะคอกของเจษปลุกทรายตื่นจากภาพอดีต
เจษพูดพลางชูนิ้วชี้ “พี่จะไม่พูดซ้ำอีก”
“ยุ่นเผือกบอกพวกพี่ว่า แฮคข้อมูลติดตามข่าวสารเรื่องราวของทวีปต่างๆบนไฮด์เลเวลมานาน และทวีปทั้งหลายก็มีมติเห็นชอบร่วมกันที่จะยุติบทบาท และหน้าที่ของดินแดนด้านล่าง(โลว์เลเวล)ทั้งหมดทันทีที่งานวิจัยชิ้นนึงสำเร็จ”
ทรายฟังแล้วคิดตามครู่หนึ่ง
“ ไม่สมเหตุสมผลเลยนะครับ ยังไงผมก็ต้องรายงานผลวิจัยให้ทางการอยู่แล้วนี่ครับ ไม่มีความจำเป็นต้องกระทำการอุกอาจแบบนี้เลย”
เจษนั่งกอดอก คิ้วของเขาขมวดจนชนกัน ทั้งสองต่างเงียบสนิท..
ไม่นานนัก เจษก็ลุกขึ้นไปค้นของจากล๊อคเกอร์ส่วนตัวของเขา แล้วหยิบเศษกระดาษเล็กๆชิ้นนึงมาให้ทรายดู ภายในกระดาษเขียนว่า “ดรอยด์ B436 บูทก่อนแล้วรอ”
“นี่เป็นเศษกระดาษที่ยุ่นเผือกแอบส่งให้พวกพี่ตอนที่เราเจอกันครั้งล่าสุด พอกลับมาถึงหน่วย พวกพี่ก็แยกขยะ แล้วก็เจอซากดรอยด์รุ่นเก่ามากๆตัวนึง”
“ B436 หรอครับ”
“ใช่ เป็นอนาล็อค หน่วยความจำเป็นแถบแม่เหล็กหมด” เจษตอบ
เจษยังจำเหตุการณ์วันนั้นได้แม่นยำ ดรอยรุ่นเก่าถูกบูทด้วยไฟฟ้า เมื่อเปิดการทำงานเสร็จสมบูรณ์ก็แจ้งข้อความทันที
“ถึงด้วงแดง วันที่ 4 เดือน 6 ระหว่างเวลา 10.30-13.50 น รอรับพัศดุที่ชั้น 4 ช่องที่ 36 จำนวนสาม ชิ้น ถ้าเป็นสิ่งของ ให้นำไปทำลาย ถ้าเป็นบุคคล ให้รู้ว่ามีภัย โปรดนำกลับไปหลบภัยที่ศูนย์ของพวกท่าน หน่วยงานปกครองกลายเป็นภัย โปรดเก็บเป็นความลับ
ย้ำ ถึงด้วงแดง วันที่ 4 เดือน 6 ระหว่างเวลา 10.30-13.50 น รอรับพัศดุที่ชั้น 4 ช่องที่ 36 จำนวนสามชิ้น ถ้าเป็นสิ่งของ ให้นำไปทำลาย ถ้าเป็นบุคคล ให้รู้ว่ามีภัย โปรดนำกลับไปหลบภัยที่ศูนย์ของพวกท่าน หน่วยงานปกครองกลายเป็นภัย โปรดเก็บเป็นความลับ”
หลังจากนั้นครู่นึง ดรอยด์ก็ดับลง พร้อมกับกลิ่นเหม็นไหม้ของแถบแม่เหล็ก
“พวกเค้ารู้ทันอาจารย์ยูตะ” ทรายอุทานขึ้น
“อาจารย์ต้องการจะแจ้งที่ประชุมในเรื่องนี้ เพื่อหยุดยั้งการส่งงานวิจัยของผมนี่เอง”
ชั่ววินาทีที่ทรายพูดจบ เสียงวิทยุสื่อสารของเจษก็ดังขึ้น
“หน่วยปกครอง เข้าแอเรียที่1 สแตนบาย”
เจษกับทรายมองหน้ากันเงียบๆ จนสัญญาณวิทยุดับลง
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in