ปราสาทมัตสึโมโตะ หรือที่ภาษาญี่ปุ่นเรียกว่ามัตสึโมโตะโจ (松本城)
มีโอกาสได้ไปมาเดือนที่แล้ว เนื่องจากจริง ๆ แล้วอยากไปคามิโคจิ (上高地) มาก
แต่ว่าไม่อยากนอนแถวนั้นเนื่องจาก 1) แพงกว่า 2) ขี้เกียจอ่านรายละเอียดการจองต่าง ๆ ที่อยู่บนเว็บไซต์ของเค้า 3) และเนื่องจากข้อสอง ก็เลยขี้เกียจไปหาต่อด้วยว่าจริง ๆ แล้วมันมีออพชั่นอื่น ๆ ที่ไม่ต้องผ่านออฟฟิเชียลเว็บไซต์ของเค้าหรือเปล่า
(บอกเลยนะ ถ้ามีคนถามว่าชีวิตดำเนินมาถึงจุดนี้ได้ยังไง จะตอบอย่างมั่นใจเลยว่าใช้ความขี้เกียจนำทางล้วน)
อย่างที่หลาย ๆ คนอาจจะรู้ หรืออาจจะเพิ่งรู้เหมือนเราว่าทั้งมัตสึโมโตะและคามิโคจิอยู่ในจังหวัดนากาโนะ และตัวคามิโคจิเองเนี่ยถ้าไปจากเมืองมัตสึโมโตะเองก็ใช้เวลาไม่มาก นั่งรถไฟไปลงที่สถานีชินชิมะได้เลยแล้วค่อยต่อรถบัสไฮเวย์ไปต่อที่คามิโคจิ เราเลยตัดสินใจนอนที่เมืองนี้แล้ววันรุ่งขึ้นค่อยขึ้นคามิโคจิแต่เช้าก็น่าจะโอเค
เราเดินทางจากนาโกย่าไปตัวเมืองมัตสึโมโตะโดยตรงเลย มันจะมีรถบัสนั่งตรงไปได้อยู่
จริง ๆ แล้วเมื่อก่อนมันจะมีทั้งบัสที่นั่งตรงไปนากาโนะ หรือคามิโคจิได้เลย แต่ตอนนี้เนื่องจากโควิด
สายรถมันก็เลยลดลงเหลือแค่ไปมัตสึโมโตะอย่างเดียว ตอนแรกก็คิดว่าหลังจากไปถึงน่าจะมีเวลาเยอะอยู่.. ซึ่งก็เยอะจริง ไปถึงมัตสึโมโตะประมาณสิบ, สิบเอ็ดโมงได้ เราก็แวะไปวางของที่โรงแรมแล้วก็ออกมาใหม่ กะว่าจะเดินไปปราสาทมัตสึโมโตะก่อนแล้วอาจจะนั่งรถต่อไปนากาโนะไปดูวัดเซนโคจิ อะไรแบบนี้ แต่ปรากฏว่า... ไม่ทันค่ะ lol บอกเลยนะ ตั้งแต่เริ่มไปไหนมาไหนคนเดียว ใช้เวลาได้เอ้อระเหยกว่าตอนปกติมาก เพราะมัวแต่บ้าถ่ายนู่นถ่ายนี่ได้อย่างไม่ต้องเกรงใจคนรอ
อีกอย่าง วันนั้นคนเยอะมาก (ก็น้อยกว่าปกติ แต่ก็มีคนพอสมควร) เค้าเลยต้องจัดคิวคนเข้าไปในปราสาท กว่าเราจะได้เข้าไปข้างในต้องรอประมาณชั่วโมงนึงชั่วโมงครึ่ง...
ตอนนั้นก็ตัดใจละ คงไปนากาโนะวันนี้ด้วยไม่ทันละเดี๋ยวค่อยมาสลับแพลนไปวันอื่น
(รูปมัว ๆ ต้องขออภัย ..ลดความละเอียดรูปไปแบบหน้ามืดตามัวมาก)
ก่อนหน้านี้เคยมีความคิดว่าจะเลิกตื่นเต้นกับการตามดูปราสาทเวลาแวะไปเมืองต่าง ๆ ละ
เนื่องจากตัวเราไม่ค่อยมีความรู้เรื่องปราสาทหรือประวัติอะไรต่าง ๆ ของเมืองนั้นเท่าไหร่
มันเลยไม่อินมาก (รวมถึงพอไปแล้ว ก็ชอบคาดหวังให้ตัวเองไปหาอ่านเพิ่มเพื่อความอิน...
คือ... ไม่ใช่อะไร กุอาจจะเหนื่อยกับตัวเอง ฮ่าฮ่าฮ๋า)
ข้างในโดยภาพรวมก็จะเหมือน ๆ กัน (แม้ว่าแต่ละที่จะมีจุดที่เป็นจุดเด่น และแตกต่างกันออกไป แต่สำหรับคนที่ไม่รู้หรือไม่อินมาก มันก็จะดูเหมือน ๆ กันไปหมดอย่างเลี่ยงไม่ได้)
แต่มาที่นี่แล้วก็เอ็นจอยพอสมควร คือมันก็คงมีไม่กี่ที่อะที่สามารถเห็นปราสาทไปพร้อมกับเจแปนแอลป์ส (Japan Alps) ได้ สวยงามค่ะ
ถึงจะไม่พูดถึงเจแปนแอลป์ส แต่มองไปอีกทางนึงก็สวยงามเหมือนกัน คือจริง ๆ ไม่ใช่แค่ปราสาทนี้หรอก
แต่นากาโนะนี่เป็นอีกจังหวัดนึงที่เราชอบเลย ล้อมรอบไปด้วยภูเขา รู้สึกเหมือนได้สัมผัสพลังจากธรรมชาติตลอดเวลา.. ซึ่ง คนที่อาศัยอยู่ที่จังหวัดนี้อยู่แล้วจะรู้สึกแบบนี้หรือเปล่าก็ไม่รู้นะ ฮ่าฮ่า
อาจจะเป็นเพราะว่าเมืองที่เราอยู่ตอนนี้มันค่อนข้างเมือง ๆ ตึก ๆ ก็ว่าได้เลยทำให้รู้สึกแบบนี้
ช่วงนั้นที่ไปเป็นช่วงดอกฟูจิบานพอดี ได้เห็นพร้อม ๆ กันกับปราสาทก็เป็นอะไรที่ว้าวดีเหมือนกัน
เราก็เดิน ๆ เล่น ๆ อยู่แถวนั้นอยู่พักนึงแล้วก็ไปหาอะไรกิน แถวนั้นจะมีร้านโซบะเยอะมากจนน่าตกใจ
ซึ่งก็อย่าตกใจไปมันคือของดังที่นั่น ส่วนใหญ่แป้งโซบะที่นี่จะทำจากแป้งในเมืองของเค้าเอง (ชื่อชินชู.. ป่าววะ มันคือชื่อเก่าของจังหวัดนากาโนะ ถ้าไปก็จะเห็นคำว่าชินชูเนี่ยอยู่ในหลาย ๆ ที่เหมือนกัน)
จริง ๆ หลังจากนั้นเราก็มีไปเดินขึ้นเขาไปดูวิวอะไรต่อมิอะไรต่อ ไม่ใช่ของดังอะไรแต่.. ก็ไปดูซะหน่อย
เพราะไม่รู้จะไปดูอะไรละ ใจจริงคืออยากดูพิพิธภัณฑ์ศิลปะของเมืองนั้น ..แต่ว่ามันปิดปรับปรุง
จบข่าว จบเห่... ก็เลยเดินไปทั่วเลยวันนั้น เกือบตาย (เดินไปทั่วแต่ไม่เจอใครเลย เพราะคนอื่นเค้าไม่ไปกันค่ะ จอบอ)
ป.ล. จริง ๆ แล้วมีเรื่องที่เราอยากเล่าเกี่ยวกับรถไฟมาก หลังจากที่ไปขึ้นรถไฟที่เมืองนี้มา คือมันอาจจะไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรในญป (เพราะหลังจากที่เรากลับมาจากที่นี่ เราก็ได้มาขึ้นรถไฟแบบนี้อีกทีที่เมืองแถวบ้าน แต่แค่ก่อนหน้านี้ไม่ค่อยได้ไปแถวนั้นเลยไม่ได้ขึ้น) มันเป็นรถไฟแบบที่ใช้คนคอนโทรลคนเดียว เป็นรถไฟแต่ให้ฟีลเหมือนขึ้นรถบัสอะไรแบบนั้นเลยอะ เพราะถ้าเราลงบางสถานีที่ไม่บูมจริง ๆ เราก็ต้องเอาตั๋วไปโชว์ที่จนทที่ขับรถไฟนะ... มันไม่มีเกท.... จะลงจะขึ้นก็ต้องรอสัญญาณไฟจากรถไฟแล้วค่อยกดปุ่มอะไรแบบนี้.... ตอนขึ้นครั้งแรกโคตรงงเลยว่าอะไรวะเนี่ย นั่งอ่านป้ายแทบตาย ไว้เดี๋ยวมาเล่า
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in