เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
HOW I LIVE MY LIFEBUNBOOKISH
02: ใช่ว่าเรื่องร้ายจะไม่กลายเป็นดี




  • นอกจากเรื่องภายในบ้านที่ต้องเรียนรู้และจัดการเองแล้วก็ยังต้องปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตของตัวเองอีกมาก โดยเฉพาะเรื่องการเดินทางและตารางชีวิตในแต่ละวัน

    คนที่เคยนั่งแต่รถส่วนตัวกับรถโรงเรียนที่แม่จัดหามาให้อย่างเรา แค่คิดว่าจะต้องนั่งรถเมล์ไปโรงเรียนคนเดียวก็รู้สึกเคว้งคว้างแล้ว เรายังนึกภาพตัวเองขึ้นมอเตอร์ไซค์รับจ้างไปหน้าปากซอยไม่ออกเลยด้วยซ้ำ

    วิธีเดินทางไปโรงเรียนที่สะดวกสบายและปลอดภัยที่สุดเท่าที่คนอย่างเราตอนนั้นจะคิดได้ก็คือการนั่งแท็กซี่ และถ้าวันไหนโชคดี พ่อของเพื่อนที่บ้านอยู่ละแวกเดียวกันก็จะขับรถแวะมารับเราไปส่งที่โรงเรียนพร้อมกับเพื่อนด้วย

    แต่ผ่านไปไม่กี่วันเราก็พบว่า การนั่งแท็กซี่ไปโรงเรียนไม่ใช่วิธีที่เหมาะกับเรานัก เพราะซอยบ้านเราไม่ค่อยมีแท็กซี่ผ่านเข้ามา เราไปโรงเรียนสายหลายครั้งเพราะมัวแต่รอแท็กซี่ แถมมิเตอร์ก็แพงจนคิดว่าเดินทางด้วยวิธีนี้ทุกวันคงไม่ไหว

    จากคนที่ไม่เคยนั่งมอเตอร์ไซค์รับจ้างก็ได้ลองนั่งจากหน้าบ้านลัดเลาะออกไปยังซอยใกล้ๆ ที่สามารถเดินต่อไปถึงโรงเรียนได้ (ต้องกราบขอบคุณแม่ที่เลือกโรงเรียนใกล้บ้านไว้ให้มา ณ ที่นี้)

    เราต้องทำใจกับการนั่งมอเตอร์ไซค์รับจ้างมากเป็นพิเศษ ทั้งที่มันก็ไม่ได้มีอะไรยากนัก แต่บังเอิญว่าตอนเด็กเราเคยเห็นคนท้องนั่งมอเตอร์ไซค์แล้วรถล้มบาดเจ็บจนเลือดนองเต็มถนนมาก่อน ก็เลยกลายเป็นเด็กที่กลัวการซ้อนมอเตอร์ไซค์ไปโดยปริยาย
  • จำได้ว่าตอนที่นั่งใหม่ๆ พี่วินบางคนถึงขนาดขอให้เราลงกลางทางหรือให้ไปต่อคันใหม่เอาเอง เพราะเรานั่งตัวเกร็ง ทำให้คนขับพลอยเกร็งตามจนขับลำบากกันไปหมด

    เรื่องนี้เอามาเล่าให้แม่ฟังทีไรแม่ก็ขำทุกที

    ถึงจะต้องปรับตัวหลายอย่าง แต่การจ้างพี่เลี้ยงมาช่วยดูแลแม่ก็ทำให้ช่วงปีแรกที่แม่ป่วยผ่านไปแบบไม่ลำบากมากนัก แต่การดูแลคนป่วยที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ไม่ใช่เรื่องง่าย พี่เลี้ยงแต่ละคนมาทำงานได้ไม่นานก็มักจะชิงลาออกไปจนเริ่มหาคนมาแทนไม่ไหว

    เราจึงตัดปัญหาด้วยการมารับหน้าที่ดูแลแม่เองเต็มตัว เว้นแค่เวลาที่ต้องออกไปเรียนเท่านั้น

    เหมือนชีวิตเปลี่ยนอีกครั้ง เพราะการใช้ชีวิตของเราจะต้องคำนวณเวลาและวางแผนล่วงหน้าเพื่อให้มีเวลาดูแลแม่มากที่สุด จากที่เคยตื่นประมาณตีห้าก็เปลี่ยนเป็นตื่นตีสามตีสี่เพื่อเตรียมข้าวเช้า ข้าวกลางวัน เช็ดตัว และจัดยาเตรียมไว้ให้แม่ หลังจากนั้นถึงค่อยจัดการธุระของตัวเองแล้วส่งไม้ผลัดให้กับคนในออฟฟิศที่เริ่มมาทำงานก่อนที่เราจะออกไปโรงเรียน

    พอเลิกเรียนเราก็จะแวะซื้อกับข้าวระหว่างทางไว้สำหรับมื้อเย็น แล้วรีบกลับบ้านก่อนที่พนักงานในออฟฟิศจะกลับไปกันหมด จะได้ไม่ต้องทิ้งให้แม่อยู่คนเดียว พอถึงบ้าน หลังจากจัดข้าวเย็นและช่วยแม่ทำกายภาพบำบัดเสร็จแล้วก็เป็นเวลาทำการบ้านของตัวเอง ตกกลางคืนก็เอาฟูกมาปูนอนใกล้ๆ แม่ จะได้ตื่นมาเช็กอาการแม่ทุกชั่วโมงได้ง่ายๆ
  • ชีวิตประจำวันของเราวนลูปแบบนั้นเรื่อยมา จนวันหนึ่งเราเริ่มตั้งคำถามกับตัวเองว่าสิ่งที่กำลังทำอยู่นั้นมันเวิร์กจริงๆ หรือเปล่า เรายังพอมีความหวังให้แม่หายดีและกลับมาทำงานเหมือนเดิมไหม แม้จะขจัดความเศร้าออกไปได้ แต่ทุกวันก็ยังผ่านไปแบบซ้ำรอยอยู่ที่เดิม เรายังคงมองไม่เห็นทางออกจากสถานการณ์นั้นอยู่ดี

    ผลจากการสอดท่อช่วยหายใจกดทับกล่องเสียงมาเป็นเวลานานยังทำให้เสียงของแม่แหบแห้งมีแต่ลม และอาการอัมพฤกษ์ครึ่งซีกยังทำให้แม่ลุกขึ้นจากเตียงด้วยตัวเองไม่ได้ จะทำอะไรก็ต้องมีคนคอยดูแลอย่างใกล้ชิด ส่วนโต๊ะทำงานตัวเก่งของแม่ก็กลายมาเป็นที่วางเอกสารที่นับวันจะยิ่งกลายเป็นกองกระดาษรกร้างมากขึ้นทุกที

    เราพยายามใช้ชีวิตและมองโลกให้ผ่านไปแบบวันต่อวัน สัปดาห์ต่อสัปดาห์ ถึงแม้จะพยายามไม่กังวลไปถึงอนาคต แต่เราก็เริ่มอยากได้คำตอบว่าแม่จะดีขึ้นเมื่อไหร่ ต้องใช้เวลาอีกนานแค่ไหน อีกห้าปี อีกสิบปี หรือว่าวันนั้นมันจะไม่มาถึงกันแน่ เราอยากรู้จุดหมายปลายทาง และอยากรู้ว่าตัวเองจะมีโอกาสได้กลับไปใช้ชีวิตเหมือนเดิมอีกไหม

    สุดท้ายการตั้งคำถามและอยากได้คำตอบนั้นก็ทำให้เรากลายเป็นคนเครียด ขี้กังวล และหงุดหงิดง่าย แค่เห็นแม่กินผลไม้แล้วกัดครึ่งหนึ่งไว้ในปากแต่ปล่อยให้อีกครึ่งหล่นไปอยู่ที่พื้นก็ทำให้เราหงุดหงิดจนเผลอชักสีหน้าออกมาโดยไม่รู้ตัว

    “แม่ ทำ ให้ พาย ลำบาก ใช่ไหม” แม่ถามออกมาด้วยเสียงลมๆ
  • ประโยคนั้นทำให้เรารู้สึกจุกขึ้นมาในอก จนต้องพยายามลดความหงุดหงิดของตัวเองลง แล้วถามตัวเองว่าการที่แม่ทำผลไม้หล่นนั้นมันทำให้เราลำบากมากเลยเหรอ ซึ่งคำตอบจริงๆก็คือ ไม่...

    การดูแลแม่ไม่ใช่เรื่องเหนือบ่ากว่าแรงของเราเลย เรายังเด็ก ยังมีแรงทำอะไรได้อีกมาก แต่ที่ลำบากคือการปรับตัวจากจุดที่เคยสบายในอดีตมาอยู่ในจุดที่ยากกว่าในปัจจุบันต่างหาก

    เราน้อยใจที่ตัวเองไม่มีคนมาคอยดูแลเอาใจใส่เหมือนแต่ก่อน และผิดหวังที่ต้องกลายมาเป็นคนดูแลทุกอย่างเสียเอง

    วิน (แฟนของเรา) บอกว่าสถานการณ์ของเราก็เหมือนกับการที่เราตื่นขึ้นมาแล้วพบว่าบ้านไม่มีต้นไม้ใหญ่ต้นเดิมที่เคยให้ร่มเงาอีกต่อไป และบ้านที่ไม่มีร่มเงาก็ทำให้เราร้อนและเต็มไปด้วยความทุกข์ แต่ที่จริงแล้วต้นไม้ใหญ่นั้นไม่ได้หายไปไหน มันแค่เปลี่ยนสถานะของตัวเองมาเป็นเมล็ดพันธุ์ให้เราปลูกและดูแลจนกว่าจะกลับมางอกงามอีกครั้ง เราอาจเหนื่อยที่ต้องออกแรงลงมือขุดดิน รดน้ำ ดูแล ใส่ปุ๋ย แต่วันที่เราได้ต้นไม้ใหญ่กลับมา เราจะรู้ว่าสิ่งที่ได้มานั้นมันคุ้มค่ากับแรงที่เราลงไปเหมือนกัน

    พาย: ไม่จริงหรอก หนูรู้ว่าแม่ไม่มีทางกลับไปเป็นต้นไม้ใหญ่ได้ หมอเองก็บอก หนูแค่รู้สึกย้อนแย้งในตัวเอง เหมือนรู้ว่าเป็นไปไม่ได้ แต่ก็ยังอยากจะให้มันเป็นแบบนั้น

    วิน: ที่จริงมันไม่สำคัญเลยว่าต้นไม้ของหนูจะกลับมาให้ร่มเงาได้เหมือนเดิมหรือเปล่า ถ้าได้ก็ดี แต่ถ้าไม่ได้ สิ่งที่สำคัญกว่าก็คือ วันนั้นหนูจะกลายเป็นคนที่ปลูกต้นไม้เป็น
  • สิ่งที่วินพูดทำให้เราเข้าใจว่าสาเหตุที่ยังสลัดความทุกข์ออกไปได้ไม่หมด เป็นเพราะเราติดนิสัยรักสบาย และติดมากเสียจนอยากให้แม่กลับมาเป็นเหมือนเดิม เพราะเราเบื่อที่ต้องใช้ชีวิตตามลำพัง เราอยากให้ชีวิตของเรากลับไปมีความสุขเหมือนเมื่อก่อน

    ทั้งที่จริงแล้ว ถึงแม้ว่าแม่จะกลับมาแข็งแรงเหมือนเดิมไม่ได้ เราก็ควรจะเข้มแข็งและใช้ชีวิตให้มีความสุข เพื่อที่จะได้เติบโตมาเป็นเสาหลักของบ้านแทนแม่

    ถึงแม้สิ่งที่วินสอนในวันนั้นจะไม่ได้เปลี่ยนความทุกข์ให้กลายเป็นความสุขขึ้นมาทันตาเห็น แต่ก็ทำให้เราได้มองเห็นความทุกข์และความสุขในมิติอื่นๆ มากขึ้น ขนาดแม่เป็นคนป่วยยังไม่ทำตัวเป็นทุกข์เลย แล้วเราที่แข็งแรงดีจะทุกข์นำหน้าแม่ไปก่อนทำไม

    มีอยู่วันหนึ่งเรารู้สึกว่าตัวเองได้เจอแต่เรื่องดีๆ มาทั้งวัน จึงกลับมาเล่าให้แม่ฟังที่บ้านว่าเรามีความสุขและชอบวันนี้มากขนาดไหน

    แม่ตอบกลับมาว่า

    “ดีจัง... แต่ชีวิตคนเราไม่มีวันที่แย่หรอก มีแค่วันที่ดีน้อยกับดีมากเท่านั้นเอง”

    ช่างเป็นคำพูดที่แสนชูใจ

    จากมนุษย์ที่ชูใจเราที่สุดในโลก

    :)

Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in