ฉันมีอาชีพเขียนคอลัมน์อาชีพสุดประหลาดที่สุดในโลกโดยหน้าที่ของฉันคือสัมภาษณ์คนที่ทำอาชีพสุดแปลก และนำมาเรียบเรียงลงนิตยสารซึ่งแน่นอนว่าการค้นหาอาชีพแปลกประหลาดในโลกนั้นเป็นเรื่องยากแต่เมื่อมีโซเชียลเน็ตเวิร์คขึ้นมา การค้นหาอาชีพแปลกประหลาดก็ไม่ใช่เรื่องยากแต่อย่างใด
ช่วงที่ผ่านมาประมาณสามเดือน ฉันเลื่อนฟีดข่าวใน Facebook แล้วเห็นการแชร์โพสต์ร้านรับฝากความเศร้าเพื่อนของฉันโพสต์พร้อมกับมีแคปชันว่า “อยากไปฝากความเศร้าจัง” แต่เจ้าของร้านเป็นคนอย่างไรนั้นฉันไม่แน่ใจนัก ร้านรับฝากความเศร้า แค่ชื่อก็ประหลาดแล้ว แถมเจ้าของยังเป็นหนุ่มโสดอีกด้วยฉันนึกภาพในจินตนาการอย่างไร ในหัวก็มีแต่หมอกควันครอบคลุมเหมือนควันไฟป่าในฤดูร้อนเมื่ออ่านรายละเอียดดูจึงพบว่าร้านแห่งนี้ตั้งอยู่ที่ซอยเสมอใจตัวร้านมีต้นยี่เข่งสีชมพูอยู่ด้านหน้าร้าน แบบนี้สิ อาชีพที่ฉันตามหา
“ใช่ครับ ร้านของผมเป็นร้านรับฝากความเศร้า ” เขากล่าวสั้นๆก่อนยิ้มเล็กน้อย
“ผมไม่ได้มีพรสวรรค์ในการกอบเก็บความเศร้าเอาไว้กับตัวมาตั้งแต่เกิดนะครับส่วนใหญ่ทุกคนเห็นว่าผมเปิดร้านรับฝากความเศร้าก็มักเดาไปต่างๆ นานาว่าผมเป็นผู้วิเศษบ้างเป็นคนมีจิตสัมผัสบ้าง หรือบางคนเข้าใจผิดว่าเป็นร้านเหล้าไปเลยก็มี”
“หน้าที่หลักๆ ของผมน่ะหรือครับก็แค่เปิดร้านที่มีเครื่องดื่มให้เลือก ผมเน้นแบบไม่มีแอลกอฮอล์ขายกาแฟอย่างเดียวก็คงไม่ได้ ส่วนใหญ่คนที่มาฝากความเศร้ามักจะมาตอนกลางคืนแบบนั้นจะบังคับให้กินแต่กาแฟ ชา โกโก นมร้อน ผมว่าไม่แฟร์กับพวกเขาเท่าไรผมเลยมีพวกเครื่องดื่มจำพวกน้ำผลไม้พวกนี้คอยบริการไว้”
ฉันนั่งอยู่ที่ร้านของเขาเบาะนุ่มนิ่มของโซฟาตัวใหญ่กดทับไหล่และหวังเหมือนทารกถูกมารดากกกอดไว้ในอ้อมแขนเป็นเก้าอี้ที่นั่งนุ่มสบายอะไรได้ขนาดนั้น เก้าอี้กำมะหยี่สีม่วงทำให้ฉันผ่อนคลาย ส่วนตัวชายหนุ่มที่นั่งอยู่ตรงข้ามเขาเป็นผู้ชายหน้าตาธรรมดา หากเจอบนถนนก็อาจมองเลยผ่านไปหรือหากว่ากลับมาเจออีกครั้งก็ไม่มีทางจำได้ คงจะเป็นคนประเภทที่ว่า “อ๋อผู้ชายคนนี้น่ะหรือ นึกหน้าไม่ออกเลย จะบรรยายใบหน้าอย่างไรก็บรรยายไม่ถูก”ด้วยเหตุนี้ฉันจึงไม่สามารถบรรยายใบหน้าของเขาได้
“ที่นี่จะมีล็อกเกอร์ของแต่ละคนเอาไว้ครับ”เขาผายมือไปทางล็อกเกอร์เรียงรายเต็มทางเดินด้านหลังเคาน์เตอร์ล็อกเกอร์ไม้ลงเงาที่เหมือนประตูกุมความลับของจักรวาล
“ความเศร้าที่แต่ละคนมารับฝาก คืออะไรคะ สิ่งของหรือว่าความรู้สึก?“
“ส่วนใหญ่แล้วมักจะเป็นสิ่งของที่เขาตัดใจทิ้งไม่ได้น่ะครับสิ่งของที่คนรักเก่าทิ้งเอาไว้จะว่าไปก็เหมือนหนามยอกอกลูบคลำไปก็ยังเจ็บปวดอยู่เสมอ แต่จะตัดใจทิ้งไปก็เสียดายแบบนี้พวกเขาก็เลยมาฝากไว้ที่ผม หากวันหนึ่งอยากมารับคืนเพื่อไปทำลายหรือบางคนทำใจได้แล้วที่จะมองของพวกนั้นอีกครั้งพวกเขาจะกลับมาเองแต่ก่อนอื่นผมจะแจ้งว่าสิ่งของที่ฝากไว้หากอายุเกิน 5 ปีผมจะคัดทิ้งหมดน่ะครับ”
“นอกจากจะฝากสิ่งของ พวกเขาจะมานั่งเก้าอี้ที่คุณนั่งอยู่ระบายความเศร้า ความเสียใจให้ผมฟัง บางคนเขียนเป็นจดหมายระบายความรู้สึกเอาไว้ส่วนมากผมจะแค่รับฟังเท่านั้นครับ แน่ละ ผมไม่กล้าฟันธงตอบไปหรอกครับผมไม่ใช่นักจิตวิทยา ไม่ใช่ผู้บรรลุเรื่องความรักของแบบนั้นจะไปตัดสินด้วยคำพูดจากคนที่ไม่รู้อะไรเลยอย่างผมไม่ได้ไปอยู่ร่วมเหตุการณ์ความรักของพวกเขาตั้งแต่ต้นจนจบ บางทีอาจจะเกิดผลเสียมากกว่าผลดีดังนั้นผมก็ได้แต่นิ่งฟัง พวกเขาพูด เล่า บอกความรู้สึกที่มีผมว่าบางครั้งคนเราก็ไม่ได้ต้องการคนช่วยแก้ปมปัญหาในใจ พวกเขาเพียงแค่ ‘อยากให้มีใครสักคนที่รับฟังเขาน่ะครับ’อาจจะเพราะผมเป็นคนที่มีบุคลิกผ่อนคลายด้วยมั้งครับ ก็เลยมีแต่คนไว้ใจ ”
จะอย่างไรก็ตาม ฉันเห็นพ้องต้องกันกับคนที่มาที่นี่เพื่อฝากความเศร้าผู้ชายคนนี้มีบุคลิกที่ชวนให้ผ่อนคลายเมื่ออยู่ใกล้ชวนให้ไว้วางจนจนเปิดปากพูดปัญหาที่หนักอึ้งในใจ
“เพราะอะไรคุณถึงได้เปิดร้านนี้ขึ้นมาคะ”
“จริงๆ เรื่องเหตุผลของการเปิดร้านรับฝากความเศร้า ถ้ามีใครถามผมมักตอบเลี่ยงๆ ไปว่า อยากช่วยคนที่เศร้า แต่เพราะเป็นคุณซึ่งผมก็ติดตามคอลัมน์ของคุณมานานมาก จะว่าเป็นแฟนคลับเลยก็ได้ครับผมตอบตามตรงน่าจะดีกว่า ผมเปิดร้านนี้ก็เพราะผมเองก็มีความเศร้าที่ไม่สามารถตัดใจทิ้งได้เหมือนกันของที่ภรรยาผมทิ้งไว้นั่นแหละครับ จะตัดใจทิ้งก็ทำไม่ได้แต่จะทนมองเห็นมันทุกวันก็ไม่ได้อีก”
“ เพราะแบบนี้ก็เลยเข้าใจคนหัวอกเดียวกันสินะคะ”
“ผมเคยทำงานเป็นพนักงานบริษัทเอกชนครับ รายได้พอใช้จ่ายไปเดือนๆ หนึ่งอยู่กับภรรยามาก็ราวสี่ห้าปี สิ่งที่ภรรยาเก่าของผมพูดบ่อยที่สุดคือ ‘เมื่อไรเราจะรวยบ้าง’ ‘เมื่อไรเราจะมีรถยนต์บ้าง’ ‘ฉันอยากมีชีวิตที่ดีกว่านี้บ้าง’แล้ววันหนึ่งผมก็กลับมาที่แมนชั่นของเราเพราะลืมของเอาไว้และเห็นเธอกำลังเปลือยเปล่ากับผู้ชายคนหนึ่งบนเตียง ความรู้สึกตอนนั้นพูดไม่ออกหรอกครับถ้าจะให้บรรยายตอนนี้ก็บรรยายไม่ได้เลย ในสมองผมหมุนคว้างไปหมดเหมือนมีหิมะเกล็ดเล็กเกล็ดน้อยครอบคลุมอยู่ทั่วผมถามไปว่าจะเอาอย่างไรกับสถานการณ์ที่เป็นอยู่ เธอก็เก็บเสื้อผ้าข้าวของส่วนตัวและบอกกับผมว่า คุณให้ในสิ่งที่ฉันต้องการไม่ได้ ฉันก็คงต้องไป แค่นั้นเองครับห้าปีที่สูญเปล่า ผมร้องไห้ฟูมฟาย อ้อนวอนให้เธออยู่กับผม บอกว่าไม่มีเธอชีวิตผมก็อยู่ไม่ได้ แต่เธอเลือกจะเดินไปกับผู้ชายคนนั้น”
“ตอนนั้นผมคิดเหมือนกันว่าอยากจะเอาปืนมายิ่งเธอกับผู้ชายที่เป็นชู้แต่ถ้าทำไปตอนนั้นก็งี่เง่ามากเลยล่ะครับ เอาชีวิตที่มีค่าของตัวเองไปติดคุกเพราะผู้หญิงพรรค์นั้นคิดได้แบบนั้นผมก็เลยย้ายออกจากแมนชั่นนั้นเหมือนกันที่พักที่เคยมีผู้หญิงคนนั้นอยู่ จะทำใจอย่างไรก็อยู่ไม่ได้ยิ่งคิดว่าเธอกับชู้มาร่วมรักบนเตียงที่เราเคยนอนด้วยกันแค่คิดก็น้ำตาไหลไม่หยุดเลยล่ะ หลังจากนั้นก็มีความรู้สึกบางอย่างผุดขึ้นมาในตัวผมแทนที่ผมคนเก่า ผมมองตัวเองไร้ค่ามากกว่าเดิม ‘เพราะไม่มีเงิน’ บางทีก็ตั้งคำถามโง่ๆว่าไม่มีเงินชีวิตก็ห่วยแบบนี้เลยหรือ ตอนนั้นผมไม่ได้กิน ไม่ได้นอนใช้ชีวิตไปวันๆ ผอมลงเรื่อยๆ และปวดร้าวทุกครั้งที่คิดถึงเธอผมตั้งหลักไม่ได้ไปนาน แถมยังเข็ดกับความรัก ความฝันที่จะตั้งใจทำงาน เก็บเงินสักวันก็คงมีบ้านและมีรถเลือนสลายหายไป”
บรรยากาศในห้องหนักอึ้งขึ้นตามเรื่องที่ชายหนุ่มพูดเสียงครวญของเครื่องปรับอากาศยังดังแผ่วๆ
“ขอโทษที่ต้องขัดจังหวะนะคะ แต่ฉันมีคำถามที่เตรียมมาคิดว่าอย่างไรก็ต้องถามคุณให้ได้น่ะค่ะคำถามที่ว่าในบรรดาของคนที่มาใช้บริการร้านรับฝากความเศร้าของคุณ มีคนไหนที่คุณจำได้ไม่ลืมบ้างคะ”
“มีสิครับ คนๆ นั้นก็คือภรรยาเก่าผมเอง”
“เธอไม่ได้มาเพื่อฝากความเศร้าของผมกับเธอหรอกครับแต่เธอมาฝากพวกข้าวของที่ผู้ชายคนที่เป็นชายชู้ทิ้งไว้ต่างหาก ตอนแรกที่เธอก้าวเข้ามาผมแทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง เธอหอบหิ้วกระเป๋ามาสองสามใบในนั้นเป็นพวกเสื้อผ้าของผู้ชายคนนั้นน่ะครับ เธอบอกว่าเธอไปเป็นเมียน้อยมามองดูท่าทางก็คงใช่ เธอขับรถราคาแพง ทั้งตัวมีแต่แบรนด์เนมหรูหราผู้ชายคนนั้นคงทิ้งเงินไว้ให้เธอมากบางทีผมก็คิดว่าเธอไม่ได้ตั้งใจมาฝากความเศร้าหรอกครับ เธอตั้งใจมาหาผมโดยเฉพาะ
ได้ยินมาว่าคุณเปิดร้านรับฝากความเศร้า เธอว่าอย่างนั้นในนี้มีของส่วนตัวผู้ชายคนนั้นอยู่หลายอย่าง ฉันฝากคุณไว้ได้ไหม
“ยินดีครับ”
“คุณเป็นอย่างไรบ้าง ฉันคิดถึงคุณมาตลอดเลยนะ กิจการของคุณคงไปได้ดีร้านของคุณสวยมาก” เธอยิ้ม ยิ้มเหมือนที่เธอเคยยิ้มตลอดห้าปีที่เราอยู่ด้วยกันยิ้มที่ทำให้ผมเคยตกหลุมรักเธอ
“บางที ฉันเองก็คิดว่าตัวเองคิดผิดที่ทิ้งคุณไป”ถึงตอนนี้น้ำตาของเธอเริ่มคลอ “มารู้ตัวอีกทีผู้ชายคนนั้นก็เบื่อฉันง่ายๆทิ้งเงินไว้ให้ก้อนหนึ่ง แล้วก็ไปหาคนใหม่ ไม่มีใครรักฉันจริงเท่ากับคุณเลย”
ถึงตอนนี้ผมรู้แล้วว่าเธอมาหาผมเพราะอะไรบางทีเธออาจจะใกล้เงินหมดแล้วหาหลักใหม่เกาะ หรือบางทีก็อาจจะรักผมจริงๆ แต่เมื่อมองเธอชัดๆผมกลับแปลกใจ
ตลอดเวลาที่ผ่านมา หลังจากที่เราเลิกกัน ผมคิดถึงเธอบ่อยมากคิดเสมอว่าถ้าเธออยู่ตอนนี้ ตรงนี้ก็ดีสินะเราน่าจะมีช่วงเวลาที่ดีร่วมกันมากกว่านี้ ผมคิดถึงเธอเสมอและร้องไห้ให้กับเธอบ่อยๆ คิดถึงช่วงเวลาที่เคยมีร่วมกันตอนที่ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันแต่แปลกดี ที่เมื่อเธอที่เป็นเธอจริงๆ มาอยู่ตรงหน้าผม ความรู้สึกที่ผมได้รับกลับไม่ใช่ความสุขเธอในวันนี้ได้กลายเป็นคนอื่นไปแล้ว เป็นคนที่...ถ้าหากจะพูดตรงๆก็คือเธอไม่ใช่คนที่ผมคิดถึงน่ะครับเธอที่ผมคิดถึงเป็นคนในอดีตที่ไม่ว่าจะอย่างไรก็ไม่มีวันย้อนกลับมา และช่วงเวลาที่เราห่างกันไปเหมือนมีช่องว่างที่ห่างออกไปเรื่อยๆไม่ว่าจะหาอะไรมาถมก็ไม่มีวันทำให้ช่องว่างที่ว่านั้นแนบสนิทเหมือนเดิมพอคิดได้แบบนี้ ผมก็รู้สึกว่างโหวงในอกไม่ได้เป็นความเศร้าโศกอะไรขนาดนั้นหรอกครับแต่กลับคิดไปว่าคนที่เคยมีช่วงเวลางดงามร่วมกันสุดท้ายแล้วเมื่อถึงช่วงเวลาหนึ่งก็กลายเป็นได้แค่คนเคยรู้จักกันเท่านั้นไม่มีเรื่องที่จะพูดกับเธอ ไม่รู้จะสรรหาหัวข้ออะไรมาคุยไม่มีทั้งความเกลียดและไม่มีความรัก เป็นความรู้สึกเฉยๆ ที่น่ากลัวมากเลยล่ะครับ”
ตอนนั้นผมคิดถึงประโยคหนึ่งในเรื่องสั้นของมูราคามิ ฮารูกิ มูราคามิน่ะครับผมจะเอาให้คุณดู บางทีคุณอาจจะเข้าใจความรู้สึกที่ผมบรรยายไปมากขึ้น
เขาลุกขึ้นไปหยิบอะไรบางอย่างที่หลังเคาเตอร์ และเมื่อเดินออกมาในมือของเขามีรวมเรื่องสั้น Men Without women อยู่ในมือ
เขาพลิกหน้ากระดาษและไล่หาตัวอักษรที่ต้องการ
“นี่ไงครับ”
อย่างไรก็ตามหลังจากที่เรียนจบมัธยมฉันก็ลืมเรื่องของเขาไปโดยไม่รู้ตัว ตัวเองยังแปลกใจที่ลืมได้อย่างง่ายดาย แม้แต่จะนึกขึ้นมาว่าตนเองตอนอายุสิบเจ็ดหลงใหลส่วนไหนของเขาอย่างรุนแรงก็แทบจะนึกไม่ออกชีวิตเรานี้ก็แปลกนะบางทีสิ่งที่เคยมั่นใจว่าช่างเปล่งประกายแวววาวจนถึงกับพร้อมจะสละทุกสิ่งเพื่อให้ได้มาพอเวลาผ่านไปสักพักหรือเปลี่ยนมุมมองเพียงเล็กน้อย กลับเห็นเป็นสีจืดจางจนน่าตกใจดวงตาของฉันเคยมองเห็นอะไรหรือ รู้สึกสับสนงุนงงจนไม่เข้าใจ
ถึงตอนนี้ฉันคิดว่าฉันพอเข้าใจเขาแล้ว และเมื่อเงยหน้าขึ้นมองเขาก็เห็นเขายิ้มอยู่ ยิ้มเรียบนิ่ง ดวงตาฉายแววเข้าใจโลกหรือบางทีก็อาจจะเข้าใจชีวิตด้วย
“หลังจากที่ผมไม่ได้สนใจเธอ เธอก็ไม่กลับมาอีกเลยของที่เธอเอามาฝากไว้ ผมคัดทิ้งไปในวันรุ่งขึ้นเลยครับและที่สำคัญผมเองก็ทิ้งความเศร้าที่ผมเก็บไว้ตั้งแต่เธอจากไปด้วยพวกเสื้อผ้าข้าวของของเธอ ผมคัดทิ้งไปพร้อมๆ กัน”
“ไม่รู้ทำไมเหมือนกันนะครับ นอกจากความรู้สึกว่างๆ โหวงๆแล้วผมยังรู้สึกโล่งใจ เหมือนได้ปลดพันธนาการบางอย่างที่รัดผมไว้แทบทั้งชีวิตออกไป”
และนั่นเป็นครั้งแรกที่ผมรู้สึกได้ว่าเธอได้ไปจากชีวิตผมแล้วจริงๆ
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in