เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
เขียนไปเรื่อยA 24-HOUR TALE
'ป่วยใจ' โรคที่ฉันได้มาจากการเป็นแอร์และการเลือกนักจิตวิทยา
  • หายไปประมาณ 1 วี๊คเต็ม ๆ จาก facebook เมื่อเช้า weekly report ส่งมาว่าเปอร์เซ็นต์การจ้องโทรศัพท์หายไป 75% เฉลี่ยเหลือ 8 นาทีต่อวัน มันบ้ามาก เพราะไม่เคยเหลือ 8 นาที ในขณะที่วี๊คก่อนหน้านั้นมันอยู่ที่ 18 ชั่วโมงต่อวัน 
    .

    **ถ้าคุณเคยมีอาการซึมเศร้าหรือเป็นอยู่ตอนนี้คุณควรเลื่อนผ่านไปเลย จิตต้องแข็ง ๆ หน่อย โพสต์นี้เขียนเพื่อการสื่อสารกับคนที่ไม่เคยมีอาการหรือภาวะบาดเจ็บทางใจเท่านั้น อกหักนิด ๆ หน่อย ๆ ไม่นับนะ** 

    .

    ใช่ค่ะ เรามีภาวะนี้จากการ เป็นแอร์... 
    .
    แต่เหตุการณ์ล่าสุดทั้งหมดนี้มีสาเหตุ 
    มันเริ่มจากการที่ไถเฟซบุ๊คเจอโพสต์ที่ถามว่า "เรามีชีวิตอยู่เพื่ออะไร มาแชร์กัน" ใครนะคิดคำถามแล้วมาโพสต์เป็นพลับบลิคนะ ? ขอแม่เทศน์ที !! 
    .
    ถ้าคุณปกติดีไม่ได้บาดเจ็บทางใจหนัก ๆ มาก่อน คุณก็อาจจะคิดว่า ก็ตอบกินสิ ตอบเที่ยวสิ แต่ถ้าคุณบาดเจ็บทางใจมาก่อน คุณจะลงลึกเข้าไปในใจ สุดท้ายดิ่ง ๆ ๆ ๆ ถ้าหาคำตอบเจอ ก็โชคดีเหมือนถูกรางวัล แต่ถ้าหาไม่เจอก็เข้าป่าไปเลย 
    .
    อธิบายเพิ่มให้เห็นภาพคือ สมมติว่าคุณเคยหกล้มเส้นเอ็นข้อเท้าอักเสบ ใกล้ปกติล่ะ แต่ยังไม่หายดี แล้วมีคนมาเผลอเหยียบหรือเตะโดน นั่นแหละ เจ็บมากกว่าคนปกติอีก 
    .
    สำหรับดิฉันที่ใช้ชีวิตแบบสุด ๆ มาก่อน ทั้งเที่ยวทั้งกิน ฉันทำมาแล้ว เราตอบได้เลยว่ามันไม่ใช่ที่สุดของชีวิตฉันแล้วตอนนี้ "ฉันเลยเป็นคนที่เข้าป่าไปเลยจ้า 555555" เราอ่านแค่รอบเดียว 
    แต่เหมือนมี echo ในหัว เออเพื่อไรว่ะ อยู่ไปเพื่อไรว่ะ ตั้งแต่ป๊าเสียเราจะมีคำถามนี้ตลอดเวลา เพื่อไรว่ะ เพื่อไรว่ะ เพราะป๊าคือเสาหลักทางจิตใจของเราเลย เอาจริง ๆ ก่อนหน้าที่ป๊าจะเสียเราก็วน ๆ ไปรอบนึงแล้ว ล่ะก็ออกมาได้ เราก็คิดวนงี้ขับรถน้ำตาไหลคิดไม่ออก รู้แต่อยากออกจากความคิดนี้ อยากไปหาป๊าจัง ฉันเห็นเกาะกลางถนน ฉันก็คิดอะไรแผลง ๆ แล้วก็บอกตัวเองว่า มึงกลับมาก่อน บอกตัวเองว่า มันเจ็บนะเว่ย เพราะว่าตัวเองเป็นคนไม่ทนต่อความเจ็บใด ๆ หรือนั่นอาจจะเป็นว่าเรายังไม่ได้อยากจะไปไหน เราขอบคุณตัวเองที่เรียนสายบำบัด แล้วก็เรียน ป.โท จิตวิทยา มันทำให้เราเบรคตัวเองได้เร็วขึ้นเยอะเลย แต่ก็ไม่ได้ทั้งหมดหรอก 
    .
    วันนั้นเราตัดสินใจไม่โทรหาเพื่อน แต่โทรหา กรมสุขภาพจิต แทน ก็ที่บ่น ๆ นั่นแหละว่า คุยไปคุยมาแล้วเหมือนโดนซัก แต่เราก็คิดว่าเอออย่างน้อยได้ระบายออกมามั่ง มันดีขึ้นนะ เหมือนเห็นความคิดตัวเองมากขึ้น มันก็เลยมีโปรเจ็ครีลีส ออกมาให้น้อง ๆ ง่ะ เราอยากให้เค้าได้ระบาย ไม่ใช่คุยธรรมดา ระบายเลย นักบำบัดที่ฟังอยู่ต้องพร้อมมาก และ นั่นคือหน้าที่ของเค้าที่เค้าต้องพร้อม ถ้าเค้าไม่พร้อมเค้าไม่ควรมานั่งฟัง ไม่ผิดด้วยนะ อาชีพนี้มัน burn out ง่ายมาก 
    .
    เราเข้าใจนะว่าการเปิดใจกับใครสักคนที่เราไม่รู้จักเลยมันยากมาก แต่ว่าจรรยาบรรณของอาชีพนี้ ของงานนี้คือ confidentiality เป็นหนึ่ง ท่องเข้าไปให้ฝังเข้าไปในสมอง การที่เค้าไม่รู้จักคุณเลยมันจะทำให้เค้า judge คุณน้อยลง การโทรหาเพื่อน เพื่อนอาจจะดิ่งไปด้วยก็ได้นะ หรือ เพื่อนอาจจะเครียดกว่าเดิมเพราะอยากช่วยแต่ช่วยไม่ได้ เหมือนเราไปทำร้ายเพื่อนเราแทน เราแนะนำแบบ highly recommend เลยว่า ถ้ามีอาการแบบนี้ นักจิตวิทยา นักบำบัด ช่วยคุณได้ทั้ง short-term และ long-term แต่นักจิตวิทยาคนนี้ต้องไม่ใช่เพื่อนสนิทของคุณที่รู้จักคุณแบบ 360 องศา
    .
    คุณจะไม่ค่อยเห็นนักบำบัดหรือนักจิตวิทยาออกมารีวิวอะไรใด ๆ ด้วยซ้ำ เพราะมันต้องทำอย่างระวังมาก ในเคสส่วนใหญ่คุณเอาเคสออกมารีวิวหรือขอให้เค้าเขียนรีวิวให้ตัวนักจิตวิทยาเองก็ไม่ได้ เชิญอ่านได้ที่ APA ethical principles of psychologists and code of conduct ฉันก็เพิ่งกระจ่างไม่นานมานี้เพราะจากการที่เรียน ป.โท นี่แหละ 
    .
    นักจิตวิทยามีอยู่ทั่วไป แต่ต้องหาหน่อย คือเรื่องพวกนี้มันไม่ใช่ทุกคนจะออกมาบอกว่า เห้ยยยยย อยากรีวิวนักจิตหวะ ไปเจอคนนี้มา โคดคูล บลา ๆ ๆ ๆ มันไม่เหมือนโค้ชชิ่ง
    .
    เอาเป็นว่า เราไม่ค่อยเห็นด้วยกับการที่คุณจะโพสต์อะไรสุ่มสี่สุ่มห้าแบบนี้ เพราะ แต่ละคนจะรีแอค ตอบรับไม่เหมือนกันเลย เรื่อง passion นี่ก็อีกเรื่อง เห็นแล้วปวดหัว จริง ๆ social media ไม่ได้เลวร้าย ส่ิงที่เลวร้ายคือคนโพสต์นี่แหละ social media เป็นแค่ platform เราต้องเลือกเสพให้เป็นด้วย แต่บางทีมันเข้ามาโดยที่เราไม่ได้เลือกแต่มันเห็นพอดี อันนี้ก็ต้องหาวิธีกู้ใจ ชุบใจกันขึ้นมาให้ได้ แล้วถ้ามีอะไรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญดีกว่า
    .
    นักจิต หรือ นักบำบัดช่วยได้นะ พูดจริง ๆ เค้าถูกสอนมาให้ฟังโดยไม่ตัดสิน ไม่ให้คิดแทน แล้วถ้าไปหาแล้วรู้สึกว่าโดนบังคับให้เชื่อในอะไรที่เราไม่เชื่อ หรือรู้สึกโดนบังคับให้ฟีล ก็เปลี่ยนคน ไม่จำเป็นต้องอยู่กับคนเดิม มันเลือกได้ นักจิตหรือนักบำบัดแต่ละคนจะมีสไตล์ไม่เหมือนกัน เนื่องด้วย ภาษา แบ๊คกราวน์ วัฒนธรรม ประสบการณ์ เราแค่ต้องหาคนที่เราคลิก เพราะ บางทีเราก็ต้องไปหาให้นักเรียนเราเหมือนกัน เราไม่สามารถรับนักเรียนเป็นลูกค้าบำบัดของเราได้ เพราะ มัน mulitple relationships มีผลกับการเรียนของน้อง ก็ผิดจรรยาบรรณและ จริงๆ ยากนะเคสแบบนี้ เราก็เลยต้องช่วยเค้าหากันด้วย เราต้องให้เค้าลอง เพราะเราก็บอกไม่ได้ว่าเค้าจะคลิกกันมั้ย 
    .
    กล้าพูดเลยว่าถ้าวันนั้นไม่ได้นักจิตวิทยา เราน่าจะหายไปแล้ว เราเหนื่อยจากข้างในลึก ๆ เลย ข้อดี 2 ข้อ ที่ได้จากเหตุการณ์นี้คือ กรูเก็ทคนที่มี suicidal thought, suicidal plan มากขึ้น แบบเห็นกระบวนการชัดขึ้น แต่ไม่ได้บอกว่าเรารับมือได้นะ ส่งมาเลย เอ่ออ ยังไม่ได้อ่ะ ยังไม่ชัวร์ เราว่าเรื่องนี้มันเกิน ability เราในขณะนี้ ขอเรียนเพิ่มก่อน ขอทำความเข้าใจเพิ่มอีก ข้อสองคือเรารู้จักวิธีเอาเทสต์มาถามโดยที่ลูกค้าต้องไม่รู้สึกว่าโดนซัก เพราะเราโดนซักถี่อ่ะ จนเราแบบ เออ ช้านจะไม่ทำแบบนี้ 
    .
    ทุกที่ในร่างกายอ่ะ ถ้ามันเคยเจ็บแล้ว มันเคยเคล็ดแล้ว มันไม่หายขาดหรอก ยิ่งถ้าไม่ได้รับการเยียวยาที่มากพอ มันไม่ไหวหรอก อยากให้ลองเทียบการไปหานักจิตกับการทำกายภาพเวลาเราขาหัก มือเคล็ด แบบเดียวกันเลย 
    .
    ลองอ่อนแอและเปิดรับให้คนที่สตรองกว่ามาช่วยเราบ้าน เรฟจาก Inside Out นี่คือสิ่งที่โรงเรียนไทยไม่เคยสอนเด็ก ๆ เลย และ จากประสบการณ์ของเรานะ ถ้าจะให้กำลังใจคนที่อยู่ในภาวะแบบนี้ ลองบอกเค้าว่า "เราอยู่ตรงนี้นะ ไม่ต้องรีบ" แทนที่จะพูดว่า "สู้นะ" เพราะถ้าเค้าสู้ได้ เค้าจะไม่ลงไปลึกขนาดนั้นหรอก 
    .
    แล้วก็จ่ายตังเค้าด้วย ! ใครบอกคุยเฉย ๆ ไม่เห็นต้องจ่ายตัง คุณไม่รู้หรอกว่าทุกวินาทีใน session นิวรอนในสมองทำงานกันไปเท่าไหร่ 
    .
    ตอนนี้ดีขึ้นม๊ากกกกกก แต่ไว้แข็งแรงดีแล้วจะกลับมาเล่าเรื่องเที่ยวต่อจริง ๆ มีเปเปอร์และงานกองพะเนินต้องเคลียร์ให้เสร็จด่วนมากด้วยแหละ

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in