ฟ้าชมพู พระเกี้ยวเชิดชู เตรียมอุดมศึกษาน้อมเกล้า(น้อมเกล้า) เชื่อว่าเด็กเตรียมน้อมหลายๆคนที่กำลังอ่านประโยคเมื่อสักครู่คงเผลอใส่ทำนองกันไปทุกคน โดยเฉพาะเด็กนักเรียนของโรงเรียนเตรียอุดมศึกษาน้อมเกล้า นครราชสีมา หรือ เตรียมน้อมโคราช หรือที่เด็กเตรียมน้อมโคราชทุกรุ่นเรียกกันว่า 'เตรียมโคก' หรือบางครั้งก็เรียกเกียมโคกอะนะ โรงเรียนของเราเป็นโรงเรียนที่พึ่งสร้างมาได้ไม่นาน และเป็นสาขาล่าสุดของโรงเรียนเตรียมน้อมทั่วประเทศ ในปีการศึกษา 2565 นี้มีอยู่ด้วยกัน 13 รุ่นแล้วล่ะค่ะ ทางจขกท.เองเป็นรุ่น 11 อยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 สายการเรียนศิลป์ภาษาจีน ปีการศึกษานี้ก็จะจบออกไปจากโรงเรียนนี้แล้วค่ะ และเว็บบล็อกนี้ก็เป็นส่วนหนึ่งของโปรเจ็คที่โรงเรียนให้นักเรียนทำ ทางจขกท.ก็เลยคิดว่า มาเขียนแนะนำโรงเรียนแสนรักแสนชังของตัวเองดีกว่า โดยเนื้อหาก็จะแบ่งเป็น 3 ส่วนนะคะ 1.การหาข้อมูลและการเตรียมตัวสอบเข้า 2.ชีวิตในโรงเรียน การปรับตัว และวิชาที่เรียน 3.รีวิวจิปาถะที่นึกออก
ทางจขกท.เองเดิมก็ไม่ใช่คนโคราชค่ะ เป็นคนบุรีรัมย์ ไม่เคยรู้จักโรงเรียนนี้มาก่อน แต่ตอนม.2 เทอม 2 ก็เริ่มหาข้อมูลเกี่ยวกับโรงเรียนที่มีสายศิลป์ดูบ้าง เพราะจขกท.เรียนห้องGifted(ห้องพิเศษเน้นวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์)มาตอนม.ต้น และรู้สึกว่าตนเองไม่เข้ากับวิทยาศาสตร์เอาซะเลย และโรงเรียนที่จขกท.เรียนตอนม.ต้นนั้นระบบการจัดการของสายศิลป์/สภาพสังคม/ความเอาใจใส่ของครูต่อทั้งสองสายนั้น ต่างกับสายวิทย์ราวฟ้ากับเหวกันเลยทีเดียว และในประเทศบุรีรัมย์แห่งนี้ เราก็คิดว่าเกือบทุกโรงเรียนเห็นเหมือนกันไปซะหมด ก็เลยลองหาโรงเรียนที่จังหวัดอื่นดู สุดท้ายก็จับพลัดจับผลู ได้มาเจอโรงเรียนหอพักชานเมืองโคราชแห่งนี้นี่แหละค่ะ หลังจากนั้นก็ยังไม่ได้หาข้อมูลอะไรเพิ่มเติม เนื่องจากตอนเทอม 2 ของม.2 เป็นช่วงที่โครงงานเยอะมากแทบจะไม่มีเวลาหายใจกันเลยทีเดียว พอมาช่วงม.3 เทอม 2 ก็เริ่มหาข้อมูลจริงจัง เล็งไว้ที่เดียวเลยคือที่นี่ ฉันต้องเข้าที่นี่แหละ อะไรแบบนี้
โดยการหาข้อมูลของเราก็คือพิมพ์ไปในอินเทอร์เน็ตว่า 'เตรียมน้อมโคราช' เข้าทุกเว็บ ทุกบล็อก แล้วอ่านและเก็บข้อมูลให้ได้เยอะที่สุด ปล.ขอแนะนำอีกช่องทางที่เป็นแหล่งมืด เปิดเผยความจริงแบบไม่โลกสวย ไม่อวย ไม่ติ่ง ตีแผ่โดยรุ่นพี่เตรียมน้อมโคราชจริงๆ ตามอ่านได้ที่ #tnsfact ทางทวิตเตอร์ค่ะ
ปีที่จขกท.สอบนั้นจะสอบด้วยกัน 2 รอบคือรอบข้อเขียนและรอบสัมภาษณ์ โดยรอบข้อเขียนจะมีเพียงแค่ 3 วิชาสำหรับสายศิลป์(ภาษาอังกฤษ ไทย สังคม) และ 3 วิชาสำหรับสายวิทย์(วิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ ภาษาอังกฤษ) โดยกำหนดว่าต้องมีเกรดเฉลี่ย 5 เทอมของม.ต้นมากกว่า 3.00 และเกรดเฉลี่ย 5 เทอมในรายวิชาภาษาอังกฤษมากกว่า 3.50(สายศิลป์) จึงจะมีสิทธิ์เข้ารับการสอบคัดเลือกในรอบข้อเขียน แต่เกณฑ์ในการสอบ วิชาที่สอบ และแนวข้อสอบเปลี่ยนไปเมื่อปีที่แล้ว(รุ่น 13) ทั้งนี้จึงขอให้ทุกท่านอ่านและตรวจสอบคุณสมบัติของตนอย่างคร่าวโดยยึดตามเกณฑ์ของปีการศึกษา 2564 และปีของท่านเองจะดีที่สุด (ทางการเพื่อ) แต่ก็ขอรีวิวข้อสอบของปีตัวเองเล็กน้อย
ภาษาอังกฤษ 100 ข้อเวลา 1 ชั่วโมง 30 นาที ซึ่งจขกท.ทำไม่ทันเกือบครึ่ง แต่เนื่องจากเราหาข้อมูลมาแล้วว่ามันจะหินและเยอะ ใน 5 นาทีสุดท้ายจขกท.ก็ได้ทำการกามั่วอย่างสนุกสนาน กามั่วก็ยังดีกว่าไม่กานะคะทุกคน ดูเวลาดีๆ และถ้าดูแล้วทำไม่ทันจริงๆแนะนำให้เผื่อเวลากามั่วไว้ด้วยค่ะ กามั่วอาจจะได้ 1 คะแนน แต่ไม่กานี่ 0 คะแนนนะคะ เพราะตอนออกจากห้องสอบมาเพื่อนที่ไปสอบด้วยกันกับจขกท.ไม่ได้กาไป 30 ข้อเลยค่ะ แต่ไม่ได้แนะนำให้ทุกคนไปกามั่วๆก็ได้ยังไงก็ติดอะไรแบบนี้นะคะทุกคน โดยเทคนิคของจขกท.ก็คือต้องลงแรงไปกับ 1 ชั่วโมง 20 นาทีนั้นอย่างเต็มที่ 5 นาทีมาเช็คข้อที่ทำไปแล้วทั้งหมด มีข้อไหนกาผิดมั้ย หรือข้อไหนพึ่งนึกคำตอบออกมั้ย อีก 5 นาทีสุดท้ายคือเปลี่ยนไส้ดินสอของคุณให้ดี และลุยเลย แหะ ข้อสอบภาษาอังกฤษเท่าที่จำได้จะมีพาร์ท conversation แนะนำให้เก็บเยอะๆ ง่ายสุดในข้อสอบก็คุณเธอนี่แหละ Grammar ก็ทั่วไปเลยค่ะม.1-3เรียนอะไรมาบ้างก็เท่านั้นเลยมีแอเรอร์ด้วย 10 ข้อ แต่จขกท.ก็ทำไม่ได้นะ ๕๕๕๕๕ แล้วก็จะมีพาร์ท Vocab พาร์ทนี้ยากมากสำหรับจขกท.ในตอนนั้น มี 10 ข้อเดาไปแล้ว 7 ได้
วิชาภาษาไทย 60 ข้อ 60 นาที เราว่าง่ายนะคะ เป็นวิชาที่ช่วยดึงคะแนนมากๆ ออกเป็นวิเคราะห์ซะส่วนใหญ่ ทำโอเน็ตได้ภาษาไทยก็ฉลุยค่ะ
วิชาสังคม 60 ข้อ 60 นาที ออกทะลุโลก ครอบจักรวาล เน้นอ่านข่าวไว้เยอะๆเลยค่ะ ช่วงนี้มีใครเป็นอะไร ข่าวต่างประเทศในประเทศ ต้องจำลึกถึงรายละเอียดของข่าวด้วยนะคะไม่ใช่ว่าข่าวออกว่าลุงตู่ลาออก เราก็โอเคจำไว้ว่าแค่ลุงตู่ลาออก แต่เราจะต้องรู้ว่าลาออกวันที่เท่าไหร่ ลาออกทำไม เลือกตั้งครั้งใหม่วันไหนอะไรประมาณนี้ค่ะ ส่วนพาร์ทอื่นๆก็อ่านเลยค่ะสังคมม.1-3 ปล.ปีพี่มีออกอุตรดิตถ์อยู่ภาคไหนของประเทศไทย พี่นี่อึ้งเลย ภาคไหนน้อ สุดท้ายตอบอิสานซึ่งที่จริงมันอยู่ภาคเหนือ ๕๕๕๕๕ แล้วก็มีออกพายุปลาบึกซึ่งกำลังเป็นข่าวดังช่วงนั้น ไอ้เราก็ตบเข่าดังฉาดเลยค่ะเพราะอ่านมาพอดี คำถามประมาณว่าพัดมาจากประเทศไหน มีถามวันทีี่ของวันสำคัญด้วยนะคะ ดูไปดีๆ
การสอบสัมภาษณ์ พอสอบข้อเขียนเสร็จแล้วก็กลับบ้านมานอนตีพุงรอประกาศผลผู้เข้ารอบสัมภาษณ์ค่ะ พอผลออกก็ เตรียมเอกสารตามที่ทางโรงเรียนร้องขอ และเตรียมตัวให้พร้อมได้เลย โดยการสัมของสายวิทย์จะสัมเป็นภาษาไทย และสายศิลป์จะสัมเป็นภาษาอังกฤษ ตอนสัมเราก็มีการเตรียมพอร์ตไปด้วย เพื่อความเก๋ พอไปถึงครูเขาจะให้สัมเป็นคู่ค่ะ แต่เราได้สัมเดี่ยว โดยจะทำการสอบสัมที่โรงเรียนในห้องเรียนเลย ในห้องก็จะมีโต๊ะอยู่ 1 โต๊ะกลางห้อง กรรมการจะมี 3 คน โดยเป็นครู/รุ่นพี่ของโรงเรียนเป็นคนทำการสัมภาษณ์ เราก็ตอบไปอย่างค่อนข้างลื่นไหลนะคะ มียิ้มบ้าง เขินบ้าง แอบบอกว่าใครมีความสามารถอะไรก็โชว์ตอนนี้เลยค่ะ ร้องเล่นเต้นรำ ปีเรามีหมด มีคนร้องเพลง เต้น เล่นกีตาร์ ในส่วนของสายศิลป์มีการเอาพินอินมาให้ลองอ่านเพื่อวัดทักษะว่ามีพื้นฐานภาษาจีนมาบ้างหรือไม่ ซึ่งเราก็อ่านมั่วๆไปซึ่งครูกบอกว่ามันถูกเฉยเลย คำถามก็จะประมาณว่าอยู่หอได้ไหม ถ้าทะเลาะกับรูมเมทจะทำยังไง เรียนหนักมากเลยนะจะไหวเหรอ ถ้าโฮมซิคจะทำยังไง ถ้าเพื่อนโฮมซิคจะทำยังไง ผู้ปกครองให้อยู่หอมั้ย ทั้งหมดนี้ถามเป็นภาษาอังกฤษนะคะแต่เราจำไม่ได้แล้ว ๕๕๕๕๕๕ แต่สุดท้ายอยากจะบอกว่าไม่ต้องเครียดกับการสอบสัมมากเพราะคะแนนที่ใช้เป็นส่วนน้อย ชิลๆไปเลยจ้า เหมือนเป็นนร.รร.นี้มาแล้วซัก 3 ปี
ปล.โรงเรียนของเรามีนักเรียนสายชั้นละ 4 ห้อง ห้องละ 35 คน โดยห้องที่ 1-3 เป็นนักเรียนสายวิทย์ และห้องที่ 4 เป็นนักเรียนสายภาษา(จีน) ทั้งโรงเรียนก็เลยมีนักเรียนประมาณไม่เกิน 500 คน ถือว่าเป็นโรงเรียนขนาดเล็กค่ะ
เรื่องการเตรียมตัวสอบข้อเขียนของจขกท. คือจขกท.ไม่ได้เตรียมอะไรเลยค่ะ ไปอ่านหนังสือที่บ้านเพื่อน 1 วันก่อนสอบจริงๆคือไปนั่งจับเข่าฝอย แต่ส่วนตัวเราคิดว่าพื้นฐานเราพอมีบ้างเพราะในห้องเราค่อนข้างใส่ใจได้ดี เพราะเราไม่อยากอ่านหนังสือสอบกลางภาค/ปลายภาค แต่จริงๆเราพึ่งมาตั้งใจเรียนก็ตอนม.2 เทอม 2นี่แหละค่ะ แต่ก็สะสมจากในห้องมาเรื่อยๆ รวมถึงโครงการที่เราเรียนอยู่ก็มีจัดติวให้ทุกวันอาทิตย์ ก็เลยไม่ได้เรียนพิเศษที่อื่นนอกจากของโรงเรียน เพราะครูที่รร.จัดหามาให้คือดีม้ากกกกกกก สอนดีทุกคน หนูได้ดีเพราะครูจริงๆ การเตรียมตัวสอบของเราก็มีเท่านี้แหละค่ะ แหะ
พอสอบในทั้งสองรอบเสร็จก็รอวันประกาศผลค่ะ สำหรับเราคือไม่นานมาก แต่จำไม่ค่อยได้ว่าระยะเวลารอเท่าไหร่ ของเราเป็นช่วงติวโอเน็ตม.3พอดี กำลังนั่งติวเพื่อนก็หันหน้ามาบอกว่าเราติดตััวจริง เราก็ดีใจมากๆเลย หลังจากนั้นก็เทโอเน็ตเลยค่ะ เททั้งเกรดทั้งโอเน็ต ๕๕๕๕๕๕ ส่วนตัวเราเป็นคนไม่ได้อะไรกับเกรดขนาดนั้นอยู่แล้วขอแค่สอบผ่าน ไม่ต้องสอบแก้/ติดร.ก็พอ แต่เพื่อนเราที่ติดตัวสำรองกันแต่เขาก็เรียกถึงนะคะ คนที่ติดตัวสำรองก็ไม่ต้องเครียดมาก อาจจะเรียกถึงก็ได้เพราะอันดับที่เรียกของปีเราสายวิทย์ประมาณที่ 100 กว่าๆ สายศิลป์ประมาณที่ 20 นิดๆค่ะ อันนี้ไม่แน่ใจนะคะ ลองไปเลื่อนดูตามหน้าเพจเฟซบุ๊คของรร.(ชื่อเพจ:เตรียมน้อมฯ โคราช)ได้ค่ะ พอผลออกเราก็กลับไปหาข้อมูลเกี่ยวกับรร.อีกรอบ บล็อกกไหนที่เคยอ่านแล้วก็อ่านอีก เพจเฟซบุ๊คของรร.เราก็ไปไล่อ่านทุกโพสต์ ๕๕๕๕๕๕ เราถึงขนาดไปไล่ดูคนที่กดไลก์เพจของรร.แล้วกดเข้าไปส่องคนไหนเป็นรุ่นพี่ที่เรียนอยู่รร.บ้าง เราก็ทักไปขอคำปรึกษาว่าต้องเตรียมตัวยังไง ต้องทำอะไรบ้าง ๕๕๕๕๕๕ สลิ่มเตรียมน้อมโคราชที่แท้ทรู แต่ตอนนี้ทุกคนไม่จำเป็นต้องทำแบบเราแล้วนะคะเพราะหากทุกคนมีข้อสงสัยก็สามารถเข้าไปที่ #tnsfact ทางทวิตเตอร์ได้เลยค่ะ ทวีตคำถามเอาไว้แล้วจะมีพี่ๆตัวจริงเสียงจริงของรร.ไปช่วยกันตอบให้เอง ว่างๆก็ไล่อ่านดูเพื่อข้อมูลอีกทางที่ช่วยในการตัดสินใจได้อีกด้านค่ะ แต่ก็ต้องใช่จักรยานกันนิดนึงนะคะ เพราะสิ่งที่อยู่ในนั้นเป็นความเห็นส่วนบุคคลซะส่วนใหญ่
อะ พอผ่านสเต็ปการสอบเข้ามาแล้วทางโรงเรียนก็จะแจ้งให้ไปรายงานตัว วัดชุดอะไรต่างต่าง เสร็จแล้วก็จะแจ้งกำหนดการวันเข้าหอ โรงเรียนของเราจะเปิดเรียนไวกว่าโรงเรียนปกติประมาณ 7-10 วัน เนื่องจากต้องการให้นักเรียนมาเรียนปรับพื้นฐานของแต่ละชั้นก่อนวันเปิดเรียนจริง(จริงๆก็คือการเรียนจริงๆไปเลยอะแหละ ไม่เห็นจะปรับอะไรเลย ก็เห็นเข้าเนื้อหากันเลยทุกคน ๕๕๕๕๕) ส่วนน้องใหม่ม.4ก็จะมีค่ายปรับพื้นฐานก่อนเข้าเรียนเพื่อให้ปรับตัวเข้ากับการอยู่หอ และการเรียนที่โหดๆได้ ฉะนั้นก็จะเปิดนำหน้าพี่ๆไปอีก 7-10 วัน โดยค่ายปรับพื้นฐานสำหรับเราก็คือสนุกมาก พี่ๆเอนเตอร์เทนดีสุดๆ โดยรูปแบบของค่ายปรับพื้นฐานในปีเราก็คือ ตอนเช้าที่เป็นเวลาเรียนก็เรียนตามปกติ พอเวลาพักช่วงเที่ยงและเย็นก็จะต้องมาเข้ากิจกรรมสันทนาการทุกวัน กิจกรรมสันทนาการก็จะเป็นประมาณว่าพี่ๆมาเต้น มาทำกิจกรรมต่างๆกัน เราไม่โฮมซิกเลย เพราะมันเหนื่อยกับการทำกิจกรรมมาก กลับหอมาเราก็แอบมาทบทวนเนื้อหาที่เรียนไปนิดหน่อย(ว่าซั่น) ทำได้ 2-3 วันก็เลิกเพราะมันเหนื่อยจริงๆ โดยหอในช่วงค่ายปรับทางโรงเรียนจะเป็นคนจัดเมทให้ โดยเรียงตามเลขที่จากเลขที่ 1 ห้องแรกจนมาถึงเลขที่สุดท้ายของห้องศิลป์ พอจบจากค่ายปรับเราถึงจะสามารถเลือกเมทเองได้โดยจับเป็นกลุ่มละ 4-6 คนแยกชายหญิง ส่วนว่าเราจะได้อยู่หอไหนห้องไหนนั้น ครูจะให้จับฉลากเอา ไม่สามารถเลือกห้องเองได้ ปล.ถ้าใครอยากให้ทำพาร์ทรีวิวหอก็ขอกันมาได้นะคะ เดี๋ยวทำแยกให้อีกที
การปรับตัวกับการเรียนหนัก รุ่นของเรายังเป็นรุ่นที่เรียนถึง 19:30 กันอยู่ อ่านไม่ผิดหรอกค่ะ เรียนถึง 19:30 ยกเว้นวันศุกร์ และวันเสาร์ก็จะมีติวโอลิมปิก/การสอบวัดระดับภาษาจีนกันไปอีก แต่เนื่องจากสถานการณ์โรคระบาดอะไรต่างๆทำให้น้องๆหลังรุ่นของเราไปเรียนถึง 16:30 กันแล้ว และจากการสอบถามท่านผู้อำนวยการโรงเรียนคนปัจจุบันท่านก็ให้คำตอบกลับมาว่าหลังจากนี้ก็คงจะไม่มีการเรียนเย็นอีกต่อไป ฉะนั้นเราจะมาขอเล่าประสบการณ์การเรียนถึง 19:30 ไว้ให้ฟังคร่าวๆค่ะ
ตอนที่เราอยู่ม.4นั้นจะเริ่มเรียนกันตอน 08:30-15:30 และเริ่มเรียนคาบเย็นตอน 17:00-19:30 ทุกวันยกเว้นวันศุกร์ ออกจากหอพักตอนเช้าได้ไม่เกิน 7:30 และเข้าหอพักตอนเย็นได้ไม่เกิน 22:00(ซึ่งภายหลังเนื่องจากสถานการณ์โควิดจึงปรับเปลี่ยนเวลามาเป็น เริ่มเรียนตอน 08:30-16:30 จึงเลิกเรียน ออกจากหอพักตอนเช้าได้ไม่เกิน 7:30 และเข้าหอพักตอนเย็นได้ไม่เกิน 21:00) ซึ่งส่วนตัวเราคนเดียวนะคะ รู้สึกว่าการเรียนถึง 19:30 ดูจะเหนื่อยน้อยกว่าการเรียนถึง 16:30 โดยไม่ทราบสาเหตุเช่นกัน แต่มันก็เป็นการเรียนที่โหดร้ายมากจริงๆ ยิ่งถ้าเป็นช่วงสัปดาห์ก่อนสอบกลางภาค/ปลายภาค นั่นคือนรกของจริง เพื่อนๆสายวิทย์ถึงกับเคยสอบถึง 22:00 กันเลยทีเดียว สอบวันละ 4-5 วิชา มันก็คือพรีมิดเทอม/ไฟนอลดีๆนี่เองค่ะ จากที่เราเป็นคนไม่เคยอ่านหนังสือสอบเลย ก็ต้องมานั่งอ่านไฟลุก เพราะเกือบทุกคนอ่าน ไม่อ่านก็ตก ตกก็ต้องแก้ วิชาแรกที่เราตกก็คือวิชาภาษาอังกฤษพื้นฐานตอนม.4 เทอม 2 เอาจริงๆก็ตกเกือบทั้งสายชั้นเลยค่ะ ผ่านประมาณ 3 คนได้ ๕๕๕๕๕๕ จริงๆไม่ต้องไปซีเรียสกับการสอบตกอะไรมากหรอกค่ะ ที่ 1 ห้องเราก็ตกเหมือนกัน สิ่งที่ทำได้ก็คือปลง เราก็ปลง และสิ่งที่โหดร้ายอีกอย่างก็คือการเก็บคะแนนสอบ 80% คะแนนเก็บ 20% ฉะนั้นต้องวางแผนดีๆถ้าไม่อยากให้เกรดตก แล้วถ้าวิชาไหนเกรดไม่ถึง 2 ทางโรงเรียนก็จะให้ติดร.เอาไว้ เป็นร.ภายใน ไม่มีการบันทึกลงใบเกรด แต่ต้องไปติดต่อครูผู้สอนเพื่อหางานมาทำแล้วแก้ให้ได้ถึง 2 แต่ภายใต้ความเครียดจากการเรียนทางโรงเรียนก็จะมีการจัดกิจกรรมต่างๆมาให้เดือนละ 1-3 งานเช่นการไปทัศนศึกษา การไปอบรมต่างต่าง ไม่รู้ว่าทำให้ผ่อนคลายลงหรือเปล่านะ แต่เราเครียดขึ้น ๕๕๕๕๕๕ รวมๆแล้วชีวิตม.4ก็โอเคเลยค่ะ เครียดบ้างแต่ก็รอดมาได้อย่างปลอดภัย
รีวิวสายการเรียนภาษาต่างประเทศหรือศิลป์ภาษาจีน เนื่องจากโรงเรียนเรามีสายศิลป์แค่ 1 ห้องต่อสายชั้นจึงมีแค่ศิลป์เดียวที่ให้เลือกค่ะคือศิลป์ภาษาจีน โดยจะเรียนภาษาจีน 3 หน่วยกิต 8 คาบต่อสัปดาห์ โดยจะแบ่งเป็นวันจันทร์-ศุกร์ 6 คาบ และวันเสาร์ 2 คาบ ภาษาอังกฤษ 4 ตัวคือ ภาษาอังกฤษพื้นฐาน ภาษาอังกฤษอ่านเขียน ภาษาอังกฤษรอบรู้ และภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสาร ภาษาไทยอีก 2 ตัวคือ ภาษาไทยพื้นฐาน และวิชาวรรณกรรม(วิชานี้ค่อนข้างสนุกสำหรับคนชอบอ่านหนังสือ เพราะจะมีให้แต่งเรื่องสั้น หานิยายมาวิเคราะห์อะไรต่างๆ) ในด้านของวิชาวิทยาศาสตร์รุ่น 11 ของเราจะเรียน 1 สาขาต่อเทอม ก็คือวิทยาศาสตร์ที่เราจะได้เรียนมี 4 สาขาหลักๆคือ ชีววิทยา เคมี ฟิสิกส์ และดาราศาสตร์ โดยม. 4 เทอม 1 เราจะเรียนชีววิทยาของม.4-6 ให้จบไปเลยใน 1 เทอม ม.4 เทอม 2 ก็เรียนเคมี ม.5 เทอม 1 เรียนฟิสิกส์ และม.5 เทอม 2 เรียนดาราศาสตร์ หลังจากนั้นม.6 เราก็จะไม่มีวิชาวิทยาศาสตร์อีก แต่วิชาคณิตศาสตร์ยังคงต้องเรียนทุกเทอม ครูที่เราเรียนด้วยมีความเข้าใจเด็กสูงว่าเราเป็นเด็กสายศิลป์คงจะไม่ชอบเรียนอะไรแบบนี้ ถ้าสอบย่อยครั้งไหนนักเรียนได้คะแนนน้อย ครั้งต่อมาก็จะลดความยากลงบ้าง(อันนี้อาจจะเป็นเพราะเราบ่นหนักมาก) แต่เป็นเฉพาะบางวิชานะคะ ๕๕๕๕ จริงๆเราคิดว่าครูที่นี่ก็พอคุยรู้เรื่องทุกคน ถ้ามีปัญหาก็เดินเข้าไปบอกกับครูได้เลย แล้วก็จะมีวิชาภาษาที่ 3 ให้นักเรียนเลือกตั้งแต่ม.4 ว่าจะเรียนภาษาอะไร โดยภาษาที่มีให้เลือกก็คือ ฝรั่งเศส และญี่ปุ่น เมื่อก่อนเคยมีเกาหลี แต่เพราะรุ่นพี่ไม่ปลื้มก็เลยยกเลิกไป เอาง่ายๆก็คือเทอมนี้จะมีวิชาภาษาอะไรให้เลือกบ้างก็คงต้องพึ่งดวงว่ารุ่นพี่รุ่นก่อนชอบภาษา/อยากเรียนภาษาอะไรกันเยอะ ส่วนตัวเราเลือกเรียนภาษาญี่ปุ่น เซนเซน่ารักมากกก แต่ก็ควิซคำศัพท์ทุกสัปดาห์เลย ๕๕๕๕๕๕๕ ตัดภาพไปที่ฝรั่งเศสชิลจริงจัง วันไหนที่ญี่ปุ่นไม่เรียนแล้วฝรั่งเศสเรียนคือวันนั้นเด็กญี่ปุ่นจะขิงหนักมาก เพราะปกติมีแค่เด็กฝรั่งเศสที่ขิง ๕๕๕๕๕๕ ในส่วนของภาษาญี่ปุ่นนอกจากจะควิซทุกสัปดาห์แล้วก็จะเรียนแกรมม่า+เซนเซก็จะเปิดคลิปเกี่ยวกับวัฒนธรรมญี่ปุ่นให้ดูแล้วให้เขียนสรุป เราว่าสนุกมากๆ เอ้อ วิชาภาษาที่ 3 เราจะเรียนกัน 3 คาบต่อสัปดาห์ 1.5 หน่วยกิิตค่ะ
รีวิวศิลป์จีน จะไม่พูดถึงภาษาจีนเลยก็ไม่ได้ ส่วนตัวรุ่น 11 ของพวกเราเปลี่ยนครูภาษาจีนกันมาแล้ว 6 คนใน 2 ปีครึ่ง และเนื่องจากสถานการณ์โรคระบาดก็เลยยังไม่ได้รับครูจากประเทศจีนมา รร.เราครูส่วนใหญ่จะเป็นครูอัตราจ้าง ที่สอนดีมากกกกก แต่ไม่ใช่ว่าครูบรรจุสอนไม่ดีนะคะ แต่ส่วนใหญ่ที่ได้เรียนก็ได้เรียนกับครูอัตราจ้าง ๕๕๕๕๕๕ มันก็จะมีปัญหาตรงที่พอครูเขาสอบติดราชการก็จะต้องออกไป ซึ่งทำให้เนื้อหาที่ได้เรียนมันไม่ค่อยต่อเนื่องกัน เราเชื่อว่าห้องสายศิลป์ของเราเจอปัญหานี้หนักที่สุดในโรงเรียนแล้วค่ะ เพราะพอครูย้ายออกไป เจอปัญหาเรื่องคะแนนเก็บกันทุกเทอม เนื่องจากครูที่ไปก็อาจจะจัดการเรื่องไว้ให้ยังไม่ชัดเจนพอ ครูที่มาใหม่ก็ยังคงใหม่ ก็เครียดไปตามๆกัน อันนี้ออกทะเลมาก ไม่เกี่ยวกับภาษาจีนเลย แหะ ภาษาจีนของเราก็จะเรียนเล่ม 汉语教程 เทอมละ 1 เล่มก็จะจบ 6 เล่มพอดี แต่ก็นั่นแหละค่ะเนื่องจากปัญหาครูย้ายออกย้ายเข้า รุ่นของพวกเราก็เลยได้เรียนไปเพียงแค่ 3 เล่ม คือตอนม.4 เราแทบจะไม่ได้เรียนเลยค่ะ เรียนแค่อ่านพินอินได้ และแกรมม่าง่ายๆ แล้วตอนม.5มีครูบรรจุเข้ามาใหม่ครูเขาก็ตกใจมากว่าพวกเรายังไม่ได้เรียนเหรอ ก็เลยทำสรุปหนังสือทั้งเล่มมาให้และสอนอัด 2 เล่มใน 1 เทอม คือมันดีมากๆ เป็นเทอมที่ทำให้ภาษาจีนของเราพัฒนาสุดๆ(ปล.คิดถึงนะคะเหล่าชือแพม เหล่าชือแก้ว เหล่าชือซิน) แต่ก็นั่นแหละค่ะ ครูเขาอยู่กับเราแค่ 1 เทอมเอง /เช็ดน้ำตา แล้วก็เปลี่ยนมาเป็นเหล่าชือคนปัจจุบันค่ะ ส่วนในด้านการเรียนวันเสาร์จะเป็นการติวสอบวัดระดับภาษาจีน(HSK) พี่ที่สอนก็สอนดีมากอีกเช่นกัน มีแนวคิด ทัศนคติที่ดี ถ้าใครท้อกับการเรียนภาษาจีนพอมาเรียนวันเสาร์พี่เขาก็จะช่วยให้กำลังใจเรา แต่พี่เขาบอกว่ารุ่นเราเป็นรุ่นสุดท้ายที่จะได้เรียนแล้วก็แอบเศร้าเล็กน้อยค่ะ เพราะพี่เขาสอนดีมากจริงๆ อยากให้น้องๆได้เรียนด้วย ฮืออออ
โรงอาหาร พูดถึงโรงเรียนก็จะพลาดเรื่องโรงอาหารไปไม่ได้ โรงอาหารโรงเรียนเราจริงๆที่นั่งมันไม่พอกับเด็กค่ะ แต่ก็นั่งกันพอนะ เพราะหลายคนก็ซื้อขนมที่มาร์ทแล้วขึ้นไปนั่งตากแอร์ที่ห้องเรียนเลย แต่ส่วนใหญ่เราก็จะนั่งกินที่โรงอาหารเลยค่ะ โดยทั้งโรงอาหารก็จะมีอยู่ 5 ร้านรวมร้านผลไม้ มีร้านขายไข่เจียว ทอดสดๆ วางเครื่อง(แฮม หัวหอม แครอท ผักชี และอื่นๆแล้วแต่ป้าจะรังสรรค์)ใส่กระปุกไว้ให้ตักใส่เองไม่อั้น อีกสองร้านจะเป็นร้านอาหารตามสั่ง ผัดกันสดๆในโรงอาหารนั่นแหละ แต่แบบทำสำเร็จก็มีนะคะ แล้วก็มีร้านก๋วยเตี๋ยว 1 ร้าน ทุกอย่างราคา 25บาท+ บางร้านก็ 20 แต่ราคาส่วนใหญ่คือ 25 บาทต่อมื้อ ผลไม้ราคาถุงละ 20 บาท ร้านผลไม้ก็ขายน้ำผลไม้ปั่นไปในตัวแก้วละ 20+ บาทเช่นกัน ถ้าอยากจะกินกาแฟ โกโก้ ชาเชียวก็ต้องไปคาเฟ่ข้างๆโรงอาหาร ราคาแบบชงสำเร็จแก้วละ 10 บาท ถ้าอยากได้แบบชงสดราคาเริ่มต้นน่าจะประมาณ 25 บาท ที่คาเฟ่ก็จะมีขายไข่กระทะ ปังปิ้ง ซาลาเปา บราวนี่ แล้วก็มีชานมไข่มุกด้วยในบางวัน
มินิมาร์ท เป็นสถานที่ที่นักเรียนเตรียมน้อมโคราชมาชุมนุมกันโดยมิได้นัดหมายทุกๆเวลา ก่อนเข้าแถวตอนเช้า หลังเข้าแถวตอนเช้า เลิกเรียน หลังประชุมหอ เป็นที่ๆที่มีทุกอย่างที่อยากได้ เพราะเราสามารถบอกป้าคนขายได้ว่าอยากได้อันนี้ฝากซื้อหน่อยได้ไหมคะ มันคือการค้าแบบผู้ขาดมาก ทุกคนไม่เข้าไม่ได้ เพราะมีเอยู่ร้านเดียว ๕๕๕๕๕๕๕๕ จริงๆมาร์ทก็ไม่มีอะไรมาก ก็มีสิ่งของเท่าที่ทุกคนพอจะนึกออก แล้วก็จะซื้อของจากเซเว่นมาเติมทุกวัน พวกแฮมเบอร์เกอร์ ข้าวปั้น ไส้กรอก ข้าวกล่องอะไรแบบนี้ก็เอามา แล้วก็ใส่ไมโครเวฟเหมือนเซเว่น มีกล่องใส่ไส้กรอกนานาชนิดวางไว้ตรงเคาท์เตอร์ด้านหน้าให้เลือกสรร แล้วก็มีกระติกน้ำร้อนพร้อมต้มมาม่าทาน เอาเป็นว่าถ้าทุกคนนึกถึงมาร์ทก็ให้ทุกคนนึกถึงร้านสะดวกซื้อเลขเจ็ดสีเขียวแดงได้เลย
วันพัก โรงเรียนจะมีวันหยุดให้นักเรียนทุกๆวันอาทิตย์ วันนี้ใครจะอยากทำอะไรก็ได้ อยากจะออกไปไหนก็ไป อยากจะสั่งอะไรมากินก็สั่ง ส่วนใหญ่เด็กก็จะออกไปเที่ยวเดอะมอลล์/เทอร์มินอล โคราชกันโดยนั่งรถสองแถวที่เรียกกันติดปากที่นี่ว่า หกหัวแดง โดยจะออกไปรอรถกันที่หน้าโรงเรียน รถเขาก็จะรู้ว่าต้องจอดที่หน้าโรงเรียนตลอดเพราะรับส่งนักเรียนโรงเรียนนี้มาตั้งแต่รุ่นแรกแล้ว ค่ารถ 13 บาทไปกลับก็ 26 บาทด้วยกัน แต่ถ้าใครไม่อยากรอรถสองแถวก็สามารถเรียกแกรปได้เลยแต่ราคาค่อนข้างที่จะแพง ส่วนคนที่อยู่โรงเรียนแล้วเบื่ออาหารที่โรงอาหารก็สามารถสั่งแกรป/ฟู๊ดแพนด้าได้ โดยจะสั่งได้ตั้งแต่เย็นวันศุกร์-วันอาทิตย์ วันอื่นก็กินอาหารที่โรงอาหารไปจ้า วันอาทิตย์ทุกคนจะต้องกลับเข้าหอก่อน 17:00 เพื่อมาประชุมหอตอนเย็นให้ทัน
ห้องน้ำ อันนี้เป็นอีก 1 อย่างที่ต้องรีวิวเลย เพราะห้องน้ำโรงเรียนของเราถือว่าดีพอสมควรเมื่อเทียบกับโรงเรียนอื่นๆ อันนี้พูดถึงแค่ห้องน้ำของอาคารที่ 2 พิไลชมพูนะคะ ส่วนอาคารอื่นไม่พูดดีกว่า ห้องน้ำแทบจะสะอาดตลอดเวลาถ้าแม่บ้านขยัน มีอยู่ทุกชั้นของอาคาร 2 และใช้ได้ทุกห้อง กระจกบานใหญ่ บางครั้งห้องน้ำหญิงก็จะมีผ้าอนามัยใส่กล่องมาวางไว้ให้ หมดแล้วก็จะมีมาเติมเรื่อยๆแล้วแต่การเงินของครูหมวดภาษาต่างประเทศ แล้วก็จะมีถังขยะ/ที่ห่อผ้าอนามัยมาเติมให้ตลอด เราเคยบ่นในห้องน้ำว่าทำไมไม่มีที่ห่อผ้าอนามัยเลย ป้าแม่บ้านก็รีบถามทันทีว่าห้องน้ำชั้นไหนลูก แล้วหลังจากนั้นก็มีมาเติมทุกห้องจริงๆ ห้องน้ำเป็นแบบชักโครกทั้งหมดไม่ว่าอาคารไหน แต่ที่ใช้ได้ทุกห้องจริงๆเห็นจะเป็นแค่ของอาคาร 2 แต่ก็นั่นแหละค่ะ ห้องน้ำของโรงเรียนส่วนอาคาร 2 พิไลชมพูถือว่าอยู่ในระดับที่ดี
ห้องเรียน ตอนนี้ได้ทำการติดแอร์ทุกห้องจากเงินบริจาคของผู้ปกครองนักเรียนทุกคน ไม่ว่าจะอาคารไหนห้องไหนก็มีแอร์ ยกเว้นห้องที่แอร์เสีย ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะเป็นห้องพักครู ส่วนโต๊ะเก้าอี้ก็จะเป็นโต๊ะเลคเชอร์ ที่มันรวมร่างโต๊ะกับเก้าอี้เข้าด้วยกันตามภาพ ซึ่งบ่นกันทุกปี และจะขอบ่นอีกว่าเปลี่ยนให้กันเถอะนะคะ มันไม่ไหวจริงๆนะเสียสุุขภาพคอมาก เอ้อแล้วทุกห้องก็จะทำการติดจอโปรเจคเตอร์/ทีวี(ซึ่งเดี้ยงบ่อยมากไม่รู้ทำไม)ไว้ให้ครูได้ใช้กัน โรงเรียนนี้สามารถหลับในห้องเรียนได้แบบไม่ต้องกลัวโดนดุเลยในบางวิชา บางวิชาก็โดนครูบ่นน้อยใจบ้าง บางวิชาก็โดนดุเลย จริงๆมันก็ไม่ควรทำหรอกนะคะ แต่มันเรียนหนักจริงๆ ถ้าไม่อยากให้นักเรียนมาหลับในห้องครูก็ควรจะไปคุยกันว่าจะแมเนจการบ้านของแต่ละวิชายังไงให้มันไม่หนักเกินกันเถอะนะคะ เพราะเวลานอนหนูแทบไม่มี(บ่นส่วนตัว) แล้วอาคาร 1 ฟ้าอำไพที่ชั้น 4 ก็จะมีห้องที่เรียกว่าห้องเรียนรวม จะเป็นห้องใหญ่ๆที่สามารถจุนักเรียนได้ประมาณ 70 คน แต่ก็มีประตูพับเพื่อแบ่งออกเป็น 2 ห้องได้ ห้องนี้นอกจะใช้เรียนแล้วยังใช้ในการสอบของสายชั้น ฉะนั้นขึ้นชั้น 4 ทีไรก็จะเห็นนักเรียนนั่งอ่านหนังสือกันหน้าห้องอยู่เป็นนิจ
เอาล่ะค่ะ นี่ก็รีวิวไปพอประมาณเลย ตอนนี้ก็ใกล้ที่จะถึงกำหนดการส่งงานชิ้นนี้แล้ว ทางจขกท.ก็ขอจบการรีวิวไว้เพียงเท่านี้นะคะ ถ้าหากใครมีข้อสงสัย หรือหากจขกท.รีวิวตรงไหนผิดก็สามารถล็อกอินแล้วมาคอมเม้นกันได้เลย อยากให้รีวิวอะไรอีกก็บอกกันเข้ามาได้นะคะ วันนี้ขอจบกระทู้เพียงเท่านี้ค่าาาา 再见咯
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in