เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Keep calm and read a bookchaneystory
อ่านหนังสือแทนการเก็บงำความสับสนภายในจิตใจ
  • “เหงา เบื่อ เศร้า ต้องการที่ปรึกษา แต่ไม่รู้จะหันหน้าไปพึ่งใคร
    เราขอแนะนำหนังสือให้ เพราะเชื่อว่าไม่ว่าจะอยู่ในอารมณ์ไหนหรือต้องการคำตอบอะไร จะมีหนังสืออย่างน้อยหนึ่งเล่มที่เหมาะกับชีวิตคุณ” 

    - Readery Podcast –
           ถ้อยคำเปิดสุดแสนคุ้นหูจาก Podcast ของร้านหนังสือออนไลน์ที่รู้จักกันเป็นอย่าง Readery เสียงของพี่เอิร์ธ พี่โจ และพี่เน็ท แห่ง Readery วนเวียนอยู่ในหัวทุกครั้งเวลาที่เราตัดสินใจจะหยิบจับหนังสือเล่มไหนขึ้นมาในยามที่สมองดูว่างเปล่าแต่ในใจนั้นเต็มไปด้วยความสับสนวุ่นวายไร้การจัดระเบียบอย่างสิ้นเชิง.. หนังสือจึงเป็นเพื่อนคนแรกที่เรามักจะนึกถึงและบรรจงเลือกเพื่อให้เหมาะกับชีวิตของเรา..
             แรกเริ่มเราไม่เคยคิดเลยว่าหนังสือแต่ละเล่ม มันจะมีอิทธิพลกับชีวิตเราแต่ละคนยังไง จนกลายมาเป็นคนชอบหนังสือ เริ่มที่จะอ่านหนังสือที่ต่างจากแนวเดิมของเราบ้างจากการแนะนำของคนๆหนึ่ง ซึ่งเป็นคนชอบอ่านหนังสือเหมือนกัน เค้าพาเราไปรู้จักกับหนังสืออีกแนวหนึ่ง การเขียนอีกแนวหนึ่ง และแน่นอนว่าแนวคิดก็แตกต่างไปด้วยเช่นเดียวกัน ที่เค้าบอกว่าหนังสือเป็นตัวบอกเล่านิสัยของคนอ่านได้ เราว่ามันเป็นความจริงนะ..

    .

    .

                                                        photo | pinterest.com







  •         เมื่อเราได้อ่านหนังสือที่เค้าชอบ และแนะนำให้เราอ่าน มันทำให้เรารู้จักโลกอีกใบของเค้ามากขึ้น โลกที่ถ้าคนนอกที่ไม่ได้รู้จักเค้าดีมองเค้าเข้ามา อาจจะไม่เข้าใจว่าเค้าคิดอะไร ทำไมถึงมีความคิดแบบนี้ จนเมื่อเราเกิดการแชร์ความคิดผ่านหนังสือด้วยกัน เหมือนกับว่าเรากำลังอ่านมันไปพร้อมกัน  เรากำลังอ่าน 'ความคิด' และ 'ตัวตน' ของคนอีกคนผ่านหนังสือเล่มหนาๆในมือเรา มันทำให้เราเห็นความแตกต่างในความคิด แต่มันเป็นความแตกต่างที่นำไปสู่ความเข้าใจ เข้าใจว่าในโลกนี้มันก็มีคนคิดแบบนี้นะ เป็นอะไรที่เราเข้าใจได้ และบางครั้งก็ดูเหมือนมันจะเวิร์คใช้ได้เลยถึงจะมีทั้งมุมที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย แต่เราสามารถเอาจุดแตกต่างระหว่างกันนั้นไปใช้ในชีวิตของเราได้อย่างสมดุล และลงตัว
          จังหวะการเปิดกระดาษทีละแผ่น ทำให้เราเกิดการสัมผัส เกิดความรู้สึก เกิดสมาธิในการไล่ตามตัวอักษรเพื่อให้กระบวนการความคิดดำเนินไปพร้อมกันได้อย่างทันท่วงทีกับตัวอักษรแต่ละคำที่ปลายนิ้วและสายตาไล่สัมผัสผ่านไป เพราะงั้นจึงไม่แปลกใจเลย หากวงการสำนักพิมพ์จะยังสามารถดำรงอยู่ได้ในยุคที่ผู้คนสามารถเข้าถึงเทคโนโลยีได้ง่ายดายเพียงแค่ปลายนิสสไลด์สัมผัสหน้าจอเพราะหนังสือเป็นสิ่งที่สามารถเติมเต็มความรู้สึกและความสุขที่มาจากการสัมผัสเหล่านั้นได้ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเท่าไหร่ เป็นสัมผัส.. ที่โลกแห่งหน้าจอไม่สามารถเติมเต็มหรือทดแทนได้ 

    “หนังสือบางเล่มเกิดจากความตั้งใจของเราที่จะเลือกหยิบจับมันขึ้นมาด้วยความอยากรู้ แต่บางเล่มเกิดจากการที่เราอยากรู้จักใครสักคน เพื่อให้มันนำพาเราไปให้ได้รู้จักกับโลกอีกใบหนึ่งของเค้า ซึ่งต่อมาโลกใบนั้นก็กลายมาเป็นส่วนหนึ่งของโลกของเราโดยที่เราไม่รู้ตัว รู้ตัวอีกที เราก็ขาดมันไม่ได้แล้ว..” 

Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in