- อนุบาลย้าย 2 โรงเรียน -
เริ่มต้นจากอนุบาล 1 ที่บ้านส่งเข้าโรงเรียนอนุบาลที่เดียวกับที่พี่สาวเคยเรียน เป็นโรงเรียนเอกชนที่มีการดูแลเด็กๆเป็นอย่างดี เพราะตอนเด็กๆเราค่อนข้างอ่อนแอป่วยอยู่บ่อยๆ เรียนอยู่ที่นี่จนถึงอนุบาล 2 พอมาอนุบาล 3 ก็ย้ายมาอีกโรงเรียนซึ่งเป็นการเตรียมความพร้อมก่อนที่จะเข้าป.1ที่นี่ เลยย้ายมาเรียนอนุบาล 3ที่นี่เลย
- ประถมย้าย 2 โรงเรียน –
ช่วงอนุบาล 3 ถึงป.4 เราเรียนที่นี่ เป็นโรงเรียนที่อยู่ในตลาดเลย เป็นช่วงที่สนุกมาก เพื่อนๆในโรงเรียนก็บ้านใกล้กันทั้งนั้น ตอนเที่ยงแม่ก็ทำกับข้าวมาส่งให้ถึงห้อง ได้กินของอร่อยๆทุกวัน แต่ละคนต่างเอากับข้าวมาจากบ้านแล้วมาแลกกันกิน ไปเรียนพิเศษเสาร์-อาทิตย์พอเรียนเสร็จ คุณครูก็จะให้เด็กๆนั่งหลังรถกระบะแล้วส่งแต่ละคนถึงบ้าน แต่ละวันก็เล่นสนุก พูดตรงๆคือไม่ได้จริงจังกับการเรียนมาก เน้นเล่นสนุกซะมากกว่า เรียนก็ได้ที่กลางๆของห้อง แต่จุดเปลี่ยนมันมาอยู่ที่ตอนเราขึ้นป.4 เหมือนโรงเรียนจะมีปัญหาสักอย่าง ทำให้ครู1คนต้องสอนหลายวิชา เป็นปัญหาที่เด็กอย่างเราไม่อาจรับรู้ได้ในตอนนั้น แม่เลยตัดสินใจให้ย้ายโรงเรียนตอนป.5ไปอยู่อีกอำเภอ ซึ่งถือว่าเป็นการเข้าเมืองเลยหล่ะ เพราะอำเภอที่เราอยู่ออกมานอกเมืองมาก อยู่ติดกับประเทศมาเลเซียเลย
โรงเรียนที่เราเข้าเรียนป.5-ป.6 เป็นโรงเรียนกลางตัวเมืองใหญ่ อยู่หอครั้งแรกในชีวิตก็คือช่วงป.5 การใช้ชีวิตของเราก็เปลี่ยนไป จากเด็กที่สนุกไปวันๆ พอเข้าเมืองเห็นเพื่อนๆร่วมห้อง แล้วก็รู้สึกว่า เห้ย เด็กในเมืองเขาอ่านหนังสือกันหว่ะ งั้นอ่านบ้างดีกว่า กลายเป็นว่าเรียนดีขึ้นมาซะงั้น จากป.5เป็นเด็กใหม่ ป.6ก็อยู่ห้องคิงเลย มันทำให้เราได้เรียนรู้ว่า สังคม หรือสิ่งแวดล้อมรอบๆตัวเราเป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับความนึกคิดหรือพัฒนาการต่างๆ สังคมรอบข้างเป็นอย่างไป ส่งผลมาถึงเราทุกวันนี้ เพื่อนๆโรงเรียนใหม่ของเรา ชอบอ่านหนังสือ ฟังเพลงต่างๆที่เราไม่เคยคิดจะฟังตอนอยู่แถวบ้าน ได้เปิดหูเปิดตามรับสิ่งใหม่ๆเยอะขึ้น แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คงจะเป็นตัวเราเองนี่แหละ สังคมรอบข้างจะเปลี่ยนไปแค่ไหน จะถูกชักจูงไปอย่างไร ตัวเราก็ต้องรู้ว่าตอนนี้เรากำลังทำอะไร และสิ่งที่ทำอยู่ใช่ตัวเราหรือไม่ อันนี้สำคัญที่สุดแล้ว
-มัธยมย้าย 2 โรงเรียน-
ช่วงม.ต้นกลับมาอยู่บ้านอีกครั้งเพราะโรงเรียนที่เราเข้าเรียนตอนม.1 มีรถประจำจากบ้านไปยังโรงเรียน ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมง ช่วงนี้เหมือนเป็นช่วงที่เริ่มค้นหาตัวเองเจอ แม่ของเราเป็นช่างตัดเสื้อผ้า เราเลยคลุกคลีอยู่กับพวกงานฝีมือเยอะ แล้วแม่ก็ชอบอ่านหนังสือบ้านและสวน เราเลยดูหนังสือพวกนี้กับแม่ตลอด ดูผังบ้านแล้วสนุก เลยถามแม่ว่า อยากทำแบบนี้ได้ต้องทำไง แม่บอกว่าต้องเป็นสถาปนิก โอเคแม่ งั้นจะเป็นสถาปนิก!!
พอจบม.3 ที่บ้านเลยให้ขึ้นมาเรียนกรุงเทพ เพราะไหนๆพี่สาวก็ทำงานอยู่ที่นี่ ที่บ้านก็เห็นว่าถ้าอยากเรียนสถาปัตย์ เข้ากรุงก็น่าจะเป็นโอกาสที่ดี ที่จะได้เปิดหูเปิดตา และโรงเรียนสอนความถนัดทางสถาปัตย์น่าจะมีหลากหลายกว่าอยู่ที่บ้าน เลยตัดสินใจเข้ามาเรียนในเมืองหลวง
มีหลายอย่างที่ต่างจากตอนเรียนต่างจังหวัด เปิดหูเปิดตามาก มีเพื่อนที่หลากหลาย มีกิจกรรมหลายอย่างให้ได้เลือกทำ หนังสือที่อ่าน เพลงที่ฟัง ก็หลากหลายตามไปด้วย แม้กระทั่งเพื่อนรอบตัวก็มีหลายแบบ เราได้เรียนรู้และได้ประสบการณ์ในช่วงม.ปลายเยอะมาก ทั้งด้านวิชาการ และการใช้ชีวิต
พอเริ่มจับทางถูกว่าจะเรียนสถาปัตย์ ก็เลยไปเรียนความถนัดฯ สนุกสนานเฮฮามาก ทั้งครูที่สอนและเพื่อนหลายๆโรงเรียนที่มาเรียนด้วยกัน เริ่มรู้สึกว่ามาถูกทางละ สุดท้ายก็ได้เข้าเรียนคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์อย่างที่ตั้งใจไว้จริงๆ
-มหาวิทยาลัย-
เป็นช่วงชีวิตที่น่าจดจำช่วงนึงเลย ได้ทำอะไรที่ไม่คิดว่าจะได้ทำ ลองสิ่งใหม่ๆ เปิดประสบการณ์ ที่นี่สอนอะไรให้กับเราเยอะมาก การใช้ชีวิต ความนึกคิด การรู้จักตัวเอง รู้จักคนอื่น ได้แลกเปลี่ยนประสบการณ์ชีวิตกับคนรอบข้าง และเรียนรู้ประสบการณ์ชีวิตของคนอื่นไปพร้อมๆกัน ที่นี่สอนให้ตั้งคำถามกับสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นกับรอบตัวเรา แล้วนำไปสู่วิธีการแก้ปัญหา แม้ตอนนี้จะเรียนจบมาหลายปีแล้ว แต่เวลานัดเจอกับเพื่อนก็ยังมีเรื่องสมัยเรียนมาคุยกัน ราวกับว่าเพิ่งผ่านมาได้ไม่กี่วัน
ตอนนี้เราทำงานมาได้4ปีแล้ว และเป็น4ปีที่ห่างหายไปจากการเรียนในสถาบันการศึกษา แต่ในชีวิตจริงของการทำงานก็เป็นเหมือนกับโรงเรียนขนาดใหญ่ ทุกวันมีเรื่องราวใหม่ๆให้เรียนรู้ตลอด รู้สึกดีลึกๆเหมือนกันนะที่ย้ายโรงเรียนบ่อย มีเพื่อนหลากหลายกลุ่ม ได้รู้จักคนหลากหลายประเภท มันทำให้เรามีภูมิคุ้มกันในการใช้ชีวิต มองโลกในแง่จริง เข้าใจโลก คิดหลายเลเยอร์ และมีสติกับการใช้ชีวิตในแต่ละวัน
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in