จากประโยคคําโปรยแสนเจ็บจี๊ดดดที่อยู่ที่ปกหลังของหนังสือเล่มนี้ ถ้าใครได้อ่านก็คงต้องแสบถึงทรวงและอาจคาดเดาเนื้อเรื่องในตอนจบได้ไม่ยากเลยใช่ไหมคะ ว่าหนังสือเล่มนี้จะจบแบบใด แล้วมีหรือ? คนที่ชอบอ่านอะไรขม ๆ แบบเรา จะไม่หยิบหนังสือเล่มนี้ขึ้นมาจากชั้นหนังสือ และรีบวิ่งไปจ่ายเงินที่เคาเตอร์อย่างรวดเร็ว
. . .
จากนั้นอคิลลีสรวมถึงโพโทรคลัสจะเริ่มเติบโตขึ้น และจะได้ไปรํ่าเรียนวิชาความรู้กับอาจารย์ที่มีชื่อว่า ไครอน ส่วนตัวเราคิดว่าช่วงนี้เป็นช่วงที่ทั้งสองคนดูมีความสุขมากที่สุดในเรื่องแล้วค่ะ ได้อยู่ด้วยกัน โตด้วยกัน ค่อย ๆ พัฒนาความสัมพันธ์ไปเรื่อย ๆ พาร์ทนี้จะแอบออกแนว coming of age เบา ๆ โดยรวมแล้วช่วงที่ทั้งสองคนได้ไปอยู่กับอาจารย์ไครอน เราชอบมากที่สุดในหนังสือเล่มนี้แล้ว ( เพราะพาร์ทอื่นขม ขมปี๋ ขมสุดใจ แต่เราก็ไม่คาย ฮ่า T T)
“เมื่อคลื่นลมในทะเลสงบ ย่อมเป็นสัญญาณของพายุ” คำกล่าวนี้ไม่เกินจริงเลย เพราะหลังจากนี้ อคิลลิสจะถูกตามให้ไปร่วมรบในสงคราม U – U เนื้อหาในเรื่องก็จะดำเนินไปเรื่อย ๆ เหมือนกับใน The Iliad ที่เราคุ้นเคยกัน แต่ความเก๋คือ เหตุการณ์สำคัญต่าง ๆ ก็จะมีการเชื่อมโยงรายละเอียดให้สอดคล้องไปกับความสัมพันธ์ของอคิลลิสและโพโทรคลัสด้วยค่ะ ส่วนถ้าถามว่าตอนจบเป็นแบบไหนก็ ฮ่าฮ่าฮ่า อย่างที่บอกค่ะ ขม ไม่ คาย
ต้องขอบอกก่อนเลยว่าถ้าใครคิดว่าสองคนนี้ไม่มีอุปสรรคในเรื่องของความรักแล้วละก็ จะบอกว่าคุณคิดผิดแล้วค่ะ เพราะคนที่เป็นอุปสรรคที่ติดหนึบติดแจก็คือ แม่สามีของโพโทรคลัสนั่นเอง หรือที่เรารู้จักในชื่อ "เทพีทิทิส" แม่ของอคิลลิส เทพีทิทิสเป็นตัวละครที่เราอ่านไปก็แบบว่าหมั่นไส้ไป เอะอะก็คือจะไล่ให้โพโทรคลัสออกไปให้ห่างจากอคิลลีสอย่างเดียว แต่ก็ใช่ว่าโพโทรคลัสจะแคร์นะคะ ฮ่าฮ่า ถามว่าโพโทรคลัสไม่กลัวเทพีทิทีสหรอ? ก็ตอบเลยว่า กลัว ค่ะ ฮ่าฮ่า แต่เค้าก็น่าจะถือคติที่ว่า ฉันก็รักของฉันเข้าใจบ้างไหมมม
เทพีทิทีสก็เป็นอีกตัวละครที่จะอยู่กับเราตั้งแต่ต้นจนจบเลยค่ะ อาจจะมีความอิหยังวะเสมอ แต่ก็พอจะอนุมานได้ว่าที่ทําแบบนี้ไปก็เพราะรักอคิลลิส และอยากให้ลูกเป็นเทพจึงต้องแสวงหาความเป็นอมตะให้แก่อคิลลีสนั่นเอง ( แต่กับบางเรื่องก็อยากจะจับไหล่มาเขย่า แล้วถามว่า เจ๊เป็นไรรร )
หลังอ่านจบมันเป็นความรู้สึกที่จุกอยู่ในอกค่ะ มีนํ้าตาซึมนิดหน่อยแต่ภาพรวมแล้วมันรู้สึกจุกมากกว่า เรียกได้ว่านอนเหม่อไปสักพักเลยหลังอ่านเสร็จ ถึงแม้จะทำใจมาบ้างแล้วแต่ก็ไม่ช่วยอะไรเท่าไร TT TT อย่างที่บอกไปว่าตอนจบมันขมไม่คาย ถ้าใครเคยได้ฟังหรือได้อ่าน The iliad ก็น่าจะพอทราบบทสรุปของเรื่องนี้ดีว่าเป็นยังไง แต่สำหรับใครที่ยังไม่ทราบเราขอไม่สปอยตรงส่วนนี้นะคะ ฮึก
สำหรับการบรรยายเราคิดว่าคุณ Madeline Miller ที่เป็นนักเขียนเรื่องนี้ บรรยายออกมาได้ดีและได้เห็นภาพมาก โดยเฉพาะพวกประโยคในเรื่อง เราชอบหลายประโยคในเรื่องนี้มากกก T o T แต่ยังไงก็ต้องยกความดีความชอบให้กับ คุณธิดารัตน์ เจริญชัยชนะ นักแปลของไทยด้วยเช่นกัน เพราะเค้าแปลออกมาเป็นภาษาไทยได้สละสลวยสุด ๆ เราอ่านแล้วไม่ติดขัดเลย พอจินตนาการตามคือมันเหมือนมีภาพฟุ้ง ๆ อยู่ในหัวตลอดเวลา ยิ่งพวกฉากที่เกี่ยวกับความรักนี่คือโคตรดี ฉากจับมือ จับผม ฉากจูบใด ๆ คือ "เลิศ" พอได้อ่านก็จะเขินไปเองเลยทั้ง ๆ ที่เค้าไม่ได้บรรยายแบบโต้ง ๆ ตรง ๆ แต่ก็สามารถทําให้เรามวนท้องได้ ชาบูววว
อยากเม้าธ์เพิ่มเติมว่าโพโทรคลัสชมอคิลลิสได้เว่อร์มาก ชมจนแบบว่าเออตาคนนี้มันคงรูปงามจริง ๆ แหล่ะ ฮ่าฮ่าฮ่า อารมณ์ประมาณว่า หายใจเข้าก็เธอ หายใจออกก็เธอ และโพโทรคลัสมักจะเป็นห่วงอคิลลิสมากกว่าตัวเองเสมอ รักเค้าที่สุดเลยสินะลูก ฮื่อ T o T
ต้องบอกตามตรงเลยว่าในหนังสือเล่มนี้เราชอบหลายฉากมาก แต้ถ้าให้เลือกฉากที่ชอบที่สุดก็คงเป็นตอนใกล้ ๆ จบ ที่โพโทรคลัสตายเพราะโดนเฮคเตอร์ฆ่า T o T แล้วยิ่งอคิลลิสมาเห็นศพโพโทรคลัสก็คือ โอ้ย รู้เลยว่าอคิลลิสรักโพโทรคลัสมากจริง ๆ เพราะพี่แกยกดาบขึ้นมาจะปาดคอตัวเองเพื่อฆ่าตัวตายตาม แต่ก็ลืมไปว่าดาบไม่ได้อยู่กับตัวเองแล้วแต่อยู่กับโพโทรคลัส เป็นฉากที่หน่วงอารมณ์มากจริง ๆ เพราะอคิลลิสไม่มีความลังเลแม้แต่น้อยเลยที่จะมีชีวิตอยู่เมื่อเห็นคนที่รักจากไป และจากที่อคิลลิสไม่ยอมไปฆ่าเฮคเตอร์เพราะคำทำนาย ก็กลายเป็นว่าอคิลลิสไม่สนใจคำทำนายอะไรนั่นแล้ว เพราะสิ่งที่มุ่งมั่นตั้งใจจะทำคือการฆ่าเฮคเตอร์เพื่อล้างแค้นให้แก่โพโทรคลัสบุคคลผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นดั่งดวงใจของตนเอง
นอกเหนือจากเรื่องความสัมพันธ์ของตัวละครเราก็จะได้เห็นวัฒนธรรม ความเชื่อ สภาพสังคม ของคนในสมัยนั้นว่าเป็นแบบใด ยกตัวอย่างที่เห็นได้ง่าย ๆ ในเรื่องของสิทธิของผู้หญิง ผู้หญิงทุกคนในเรื่องนี้คือน่าสงสารมาก ฮื่อ ด้วยความที่สมัยก่อนมีเรื่องของปิตาธิปไตย ผู้หญิงก็จะต้องถูกกดขี่ ไม่สามารถมีปากมีเสียงได้ เวลาอ่านถึงช่วงนี้ทีไรเราอ่านไปก็เจ็บหัวใจไปทุกที หรือตัวอย่างความเชื่อเรื่องความเป็นอมตะ ถ้าหากเป็นสมัยปัจจุบันอย่างตอนนี้ ความเป็นอมตะก็คงหมายถึง การมีชีวิตอยู่ไม่มีทางตาย แต่ในยุคสมัยนั้นผู้คนเชื่อว่า ความเป็นอมตะ คือการที่มีชื่อเสียง ผู้คนจดจำเราอยู่ตลอดไป
สรุปแล้วหนังสือเล่มนี้มันดีค่ะ อยากให้ทุกคนได้ลองอ่านด้วยตัวเองเพราะที่เรารีวิวไปก็เป็นแค่ส่วนเล็ก ๆ ในหนังสือเพียงเท่านั้น ที่จริงมีรายละเอียดเยอะกว่านี้มากกกกกก ( แบบมากจริง ๆ เพราะที่เราเล่าไปยังไม่ถึง 10% ของเรื่องเลยค่ะ ฮ่าฮ่า ) ถ้าใครชอบเรื่องราว Mythology Greek เรื่องนี้ก็เป็นอีกเรื่องที่ไม่ควรพลาดเป็นอย่างยิ่งเลยค่ะ อย่างที่เค้าบอกกันว่า สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น สิบตาเห็นไม่เท่าอ่านเอง! ( ว่าแต่ประโยคหลังนี่เอามาจากไหน ?! )
สุดท้ายขอขอบคุณที่เข้ามาอ่านบทความของเรานะคะ แล้วเจอกันใหม่เมื่อมีโอกาสและมีเวลาค่ะ ฮ่าฮ่า
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in