กาลครั้งหนึ่ง...ความจริงก็ไม่นานมานี้หรอก
ในเมื่อฉันมีโอกาสได้เล่า ฉันก็อยากจะเล่าให้ทุกคนฟังซักหน่อยว่าความจริงแล้วมันเป็นยังไง
เธอน่ะ เคยได้ยินเรื่องราวของหญิงสาวผมสีดำมะเดื่อ ผูกโบว์เส้นหนาสีแดงกลางศีรษะ สวมชุดกระโปรง
ฟูฟ่องด้วยสีน้ำเงินแซมเหลืองหรือเปล่า ฟังดูดีนะ แต่ความจริงก็แค่ชุดกระโปรงเก่า ๆ ขาด ๆ ถูกปะติด
ด้วยเศษผ้าในช่วงที่เส้นด้ายขาดจากกัน เชอะ! แม่เลี้ยงใจร้ายเอาแต่ชื่นชมโฉมตัวเอง และพร่ำเพ้อหน้ากระจกคนเดียว มันพูดไม่ได้ซักหน่อย
“กระจกวิเศษบอกข้าเถิด ใครงามเลิศ ในปฐพี”
ประโยคนั้นดังก้องอยู่ในปราสาท ราวกับเทปกรอซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่ช่างเถอะ นั่นไม่ใช่ประเด็นหรอกนะ เพราะเรื่องราวที่ฉันได้ประสบ ในฐานะเด็กอายุสิบห้าปี ไม่ว่าจะในนาม หรือสกุลอะไรก็ไม่ควรต้องพบเจอทั้งนั้น รวมถึงฉันด้วย
“มะเดื่อ! มะเดื่อ!”
เสียงเรียกแต่เช้าเลยเชียว ฉันจะไม่รำคาญหรอก ถ้ามันเป็นทำนองจากแผ่นออเคสตร้า หรือเพลงรักอะไรเทือกนั้น แต่มันดันเป็นเสียงของลูกสาวนางแม่มดนั่น นี่ยังไม่น่าโมโหเท่าการเรียกชื่อฉันว่า มะเดื่อ! ฉันชื่อสโนไวท์ต่างหาก
“ถ้าตื่นแล้วก็ไปล้างหน้าล้างตาซะ แล้วก็ไปทำความสะอาดน้ำพุข้างหน้าปราสาทด้วย แม่ฉันสั่ง”
“เข้าใจแล้วค่ะ”
แหงสิ ฉันจะทำอะไรได้มากไปกว่าตอบรับ และลงมือทำตาม ฉันล้างหน้าล้างตา ทำความสะอาด
เนื้อตัว แปรงผมสีมะเดื่อ (โอ้! ฉันชักจะไม่ชอบสีผมตัวเองก็ตอนนี้ล่ะ) อืม สำคัญที่สุด ไม่ลืมผูกโบว์สีแดง
และพรมน้ำหอมที่ฉันแอบสกัดขึ้นเองในห้องใต้ดินเมื่ออาทิตย์ก่อน กลิ่นนี้หอมมากเลยล่ะจะบอกให้ เพราะฉันใช้เชอร์รี่เป็นส่วนประกอบเกือบทั้งหมดเลยนะ ผสมด้วยเมล็ดกุหลาบ และใบทานตะวัน เอาล่ะ ฉันพร้อมไปทำงานที่ฉันรักเต็มทนแล้ว!
“ถังน้ำ ฟองน้ำ ผ้าแห้ง ผงซักฟอกครบถ้วน”
ฉันทวนอุปกรณ์ทำความสะอาด ก่อนจะรีบผลีไปที่บ่อน้ำพุ ขัดถูปูนสีเทาท่ามกลางไอร้อนระอุ อ้อ แล้วก็นะ ไม่มีการคุยกับนกแบบที่เธอเคยได้ยินหรอก เพราะนกมันพูดไม่ได้ แถมชอบมาถ่ายมูลที่บ่อน้ำพุ ทำเอาฉันหงุดหงิดอยู่เรื่อย พูดไล่ส่งก็แล้ว พูดจ๊ะจ๋าก็แล้ว ฉันล่ะหน่าย
“สโนไวท์” เสียงเรียกนั่นทำเอาฉันสะดุ้งตัวโยนทุกที
“ค คะแม่”
“วันนี้ฉัน และคริสตัลจะกลับค่ำหน่อย เธออยู่ดูแลบ้าน และทำความสะอาดให้ดีด้วย”
“รับทราบค่ะ” สิ้นเสียง นางแม่มดก็เดินลากกระโปรงผืนบางไปกับคริสตัล ลูกสาวเธอที่อายุน้อยกว่าฉันสามปีได้
ไปกันสักที นี่แหละเวลาที่ฉันรอคอย จะได้นั่งเล่นที่ปราสาท ทำอะไรตามใจตัวเองบ้าง
อยากจะเดินนุ่งผ้าน้อยชิ้น ทำวาฟเฟิล เขย่าซีเรียลกินเป็นสิบ ๆ ถุง ฉันรอคอยเวลาเหล่านี้เสมอเลยนะ
“ปราสาทหลังนี้...”
โอ๊ะ! ฉันได้ยินเสียงผู้ชายล่ะ แถว ๆ นี้เลย ฉันรีบเด้งตัวออกจากเบาะนั่ง และปรี่ไปที่หน้าปราสาท
พระเจ้าช่วย! หุ่นราวกับนักกีฬา จมูกโค้งมน ปากสีชมพูอ่อนเกือบเนื้อ และดวงตาสีฟ้าเทา อย่างกับหลุดมาจากโลกนิยายแหนะ
“เอ่อ โทษนะ ปราสาทหลังนี้มัน...”
“สวยเหรอ”
“เอ่อ...ไม่”
“กว้างใหญ่”
“คือ ค คือ”
“หรือว่าดูทันสมัย”
“นี่เธอ! รอฟังฉันหน่อย ฉันแค่จะถามว่าปราสาทหลังนี้มีโฉนดที่ดินหรือเปล่า”
อุ๊ย! น่าขายหน้าที่สุด ฉันนึกว่าเขาจะเหมือนเจ้าชายที่บังเอิญพบหญิงสาวในปราสาทอย่างเรื่องราพันเซลเสียอีก
“ม มีค่ะ แต่ตอนนี้เจ้าของที่ดินไม่อยู่ เธอออกไปข้างนอก” ฉันตอบอย่างขัดเขิน
“เข้าใจแล้ว อย่างนั้นไว้พรุ่งนี้ฉันจะมาใหม่ ยังพอมีเวลา เป็นเรื่องสำคัญที่บอกผ่านไม่ได้” เขาตอบด้วยเสียงจืดชา
“เอ่อแล้ว ฉันเป็นลูกสาวเจ้าของที่ดินนะ คือ จะพูดอย่างนั้นก็ไม่ค่อยถูก ฉันเป็นลูกบุญธรรมค่ะ”
“ผมทราบครับ ผมและเจ้าของปราสาทเรารู้จักกัน แต่อย่างที่บอก ไว้ผมจะกลับมาอีกครั้ง”
เขาสะบัดก้นเดินจากไปพร้อมกับบู๊ทสีดำเงาคู่นั้น มีเพียงตัวฉันที่ยังคงชะเง้อมองเขาจนลับสายตา ฉันถูกชะตาเขามากเลยนะจะบอกให้ ทันใดนั้น! ฉันก็มีความคิดยิ่งใหญ่ขึ้น การอยู่ในปราสาทนี้จะไม่น่าเบื่ออีกต่อไปแล้ว พรุ่งนี้ฉันจะต้องรู้ชื่อเขาให้ได้เลยเชียว เมื่ออาทิตย์ลับไปพระจันทร์สลับส่องแสงแทน ฉันพริ้มตาด้วยความสุขและตื่นขึ้นมาด้วยความสุขอีกเช่นกัน วันนี้ฉันรีบออกมาปัดฝุ่นที่พื้นหน้าปราสาท และรดน้ำพุ่มไม้รอบ ๆ ไปพลาง ก็อย่างที่รู้แหละน่า ฉันเฝ้ารอพบเขา บ่ายคล้อยเขาก็ยังไม่มาจนย่ำมืด เขาก็ยังไม่มา ฉันเริ่มรอเขาวันแล้ววันเล่า จนรู้สึกเบื่อที่จะรอฉันก็เลย...ออกตามหาเขาด้วยตัวเอง!
ใช่สิ ถ้าพรหมลิขิตไม่มาหาเรา เราก็ต้องลิขิตมันขึ้นเองเสียเลย
เช้าวันนี้ฉันจึงเริ่มวางแผน เพราะนางแม่มด และลูกสาวของหล่อนมีกิจวัตรที่เป็นใจให้ฉันได้หนีออกจากปราสาทตลอดวันนี้ได้ ฉันตั้งใจจะกลับมาให้ทันเวลามื้อเย็น ฉันเก็บข้าวของนิดหน่อยที่คิดว่าจำเป็น อย่างกระจก แปรงหวีผม ลิปสติก ผ้าเช็ดหน้า และเงินจำนวนหนึ่ง อืมครบแล้วล่ะ จำเป็นทั้งนั้น แล้วฉันก็กวาดทุกชิ้นลงตะกร้าสานใบเล็ก ฉันเดินไปตามทางที่เห็นว่าชายคนนั้นเดินจากไปเมื่อหลายวันก่อน แต่ก็ยังไม่เจออะไรเลย นอกจากต้นไม้รอบ ๆ ป่า และสัตว์น้อยที่เป็นมิตร เดินไปมาจนเหงื่อแตกก็ยังคงไร้วี่แววบ้านคนที่นี่ และที่แย่กว่านั้น ฉันไม่รู้จริง ๆ ว่าฉันเดินอยู่ที่ไหน
ต้นไม้สีเขียวพวกนี้เริ่มจะกลืนเป็นสีดำไปกับท้องฟ้าแล้วล่ะ ตายแล้ว! ฉันลืมเอาเข็มทิศมาได้ยังไงกันนะ เท้าสองข้างที่พยายามเดินหน้าถอยหลังอยู่นานสองนาน ก็เป็นผลให้ฉันได้มาพบกับบ้านหลังน้อยกลางป่า “เล็กจัง สร้างให้ใครอยู่กันนะ” ฉันเคาะประตูบ้านอยู่นานจนเจ็บข้อนิ้วไปหมด แต่ก็ไม่มีคนตอบรับ
“สงสัยจะไม่มีใครอยู่ หรือนี่จะเป็นบ้านร้าง” ฉันพึมพำพลางบิดลูกบิด ก้มผ่านประตู และคลำหาสวิตช์ไฟ เวลานั้น ฉันสำรวจภายในบ้านอยู่นาน และรู้ดีว่านี่คงเป็นบ้านของคน แต่ไม่ใช่ผู้ชายคนนั้นแน่นอน เพราะขนาดตัวเขาดูไม่ได้จะใช้ของชิ้นเล็กชิ้นน้อยขนาดนี้เลยน่ะนะ ฉันเริ่มเหนื่อยล้าจนนั่งทิ้งตัวลงบนเตียง เห็นทีการที่นางแม่มดจะต่อว่าฉัน คงไม่สำคัญเท่าฉันจะรอดตายหรือเปล่า จะให้เดินฝ่าป่าในเวลามืดขนาดนี้ ฉันคงเป็นอาหารของสัตว์ตัวใดตัวหนึ่งแน่ ฉันวางตะกร้าลงข้างเตียง และผล็อยหลับไปเสียอย่างนั้น
“นายว่าตายหรือเปล่า”
“ไม่รู้สิ ลองแตะตัวเธอดูไหม”
“ไม่ได้ ๆ เธอเป็นผู้หญิงนะ”
“แต่เธอมานอนอยู่ในบ้านพวกเรานะ!”
“นั่นน่ะสิ ถ้าตายจะได้เอาไปทิ้งไงเล่า”
“จริงด้วย หรือถ้าป่วยก็รักษา”
“เราจำเป็นต้องรักษาไหมเนี่ยเขาบุกรุกเรานะ”
“ชู่ว์ เลิกเถียงกันซักทีฉันจะลองแตะชีพจรเธอ”
“อ้าย!” ฉันหวีดร้องเสียงหลงด้วยความตกใจสุดขีด เพราะมีแต่คนตัวเล็กเท่าหัวเตียงยืนรายรอบฉันเต็มไปหมด ที่ฉันตกใจมากไปกว่านั้น พวกเขาถือขวาน บ้างถือสว่าน บางคนก็ถือมีด และทำหน้าตาดุร้ายใส่ฉัน
“อ้ายๆ ๆ !” ฉันหวีดร้องอีกครั้ง และเป็นลมล้มพับไปดื้อ ๆ
เฮอะ! พวกเธอลองเดาดูสิว่าหลังจากนั้นจะเป็นยังไง ไม่ใช่! ไม่มียายเฒ่านำแอปเปิลอาบยาพิษมาให้ฉันแทะ ไม่มีกระรอกพูดได้ หรือเจ้านกน้อยส่งเสียงเพลงหวานหู แม้แต่เจ้าชายรูปงามมาจุมพิตให้ตื่นจากหลับใหล นั่นก็ยังไม่มีเลย มีแต่นางแม่มดที่มาตามหาฉันจนเจอ หล่อนดุด่า และตีฉันที่มานอนในบ้านคนแคระ ทั้งยังหนีมาเที่ยวป่าคนเดียวด้วย หล่อนกระชากฉันให้กลับปราสาท และนี่ ฉันกำลังได้ยินเสียงนั้นอีกครั้งแล้ว
“กระจกวิเศษเอ๋ย บอกข้าเถิดใครงามเลิศในปฐพี”
น่าเบื่อชะมัด แต่ถึงยังไงน่ะนะ ก็คงดีเสียกว่าให้หล่อนรู้ความจริงว่าฉันไปตามหาชายคนนั้น เพราะถ้าหล่อนรู้เข้าล่ะก็...
“สโนไวท์!”
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in