(ต่อ)
ดังนั้น ตัวพระเอก(ไร้ชื่อ)เมื่อหลุดออกจากพันธนาการของทุกอย่างแล้วก็เหมือนกับได้ปลดปล่อยตัวเองจากวงจรผุพัง หากแต่อาจจะมีอะไรให้เสียมากกว่าหนึ่งเพื่อให้ได้สิ่งนั้น หนังได้ดำเนินไปโดยที่แสดงให้เห็นถึงความผิดปกติของพระเอก(ไร้ชื่อ)ที่เป็นส่วนหนึ่งของโลกงดงามที่เรียกว่าทุนนิยม ในขณะเดียวกันสิ่งที่พระเอก(ไร้นาม) พยายามต่อสู้และต่อต้านกลับไม่ใช่โลกที่ดำรงอยู่หากแต่เป็นตัวตนและจิตวิญญาณของตนที่สยบยอมจำนนต่อโลกที่ดำรงอยู่ ดังนั้นจึงเกิดเป็นสองตัวตนสองบุคลิกที่ซ้อนทับกันอยู่ในตัวของพระเอก(ไร้ชื่อ)ตัวตนที่ถูกกดขี่สยบยอมและตัวตนที่ต่อสู้ต่อต้าน ดังจะเห็นได้จากโต๊ะหยินหยางที่พระเอก(ไร้ชื่อ)สั่งซื้อมาที่สะท้อนความแตกต่างแต่สามารถอยู่ด้วยกันได้ ดังการปรากฏตัวขึ้นมาของ Tyler จะเข้ามาเพื่อการกระชากและเขย่าโลกทุนนิยมโดยความต้องการที่จะปลดปล่อยตัวตน เพราะฉะนั้นสิ่งที่ต้องทำคือให้ปลดปล่อยและทิ้งทุกอย่างออกมาจากการใช้ชีวิตตามแบบแผนของสังคม ออกมาจากวัตถุสิ่งของที่สร้างความแปลกแยกให้แก่จิตใจและตัวตน จึงเป็นที่มาของ “เราสูญเสียทุกอย่าง แล้วถึงจะมีเสรี ”
(ชนชั้นกรรมาชีพทั่วโลกจงสามัคคีกัน!)
ไม่มีอะไรที่เราจะต้องสูญเสียนอกจากโซ่ตรวน[1] ปรากฏขึ้นในแถลงการณ์พรรคคอมมิวนิสต์เมื่อปีค.ศ. 1848 โดยที่มีจุดมุ่งหมายเพื่อการปลดปล่อยผู้ที่ถูกกดขี่จากความไม่เท่าเทียมกันภายใต้ระบบทุนนิยม , Tyler ปรากฏตัวขึ้นมาจากสภาพของพระเอก(ไร้ชื่อ)ที่ถูกกดขี่และมีปัญหาชีวิตที่เป็นผลมาจากระบบทุนนิยม หากแต่ในด้านของ Tyler เป็นส่วนหนึ่งของโลกมืดมนและเลวร้ายที่อยู่ภายใต้การกดขี่ของระบบทุนนิยม Tyler เสมือนเป็นตัวแทนการต่อต้านและขบถต่อแบบแผนการใช้ชีวิตที่ยอมจำนนต่อภายใต้ระบบทุนนิยมโดยที่มีจุดมุ่งหมายที่จะเข้าไปปลดปล่อยจิตวิญาณเสรีของปัจเจกทั้งหลายที่ได้รับผลกระทบจากระบบที่ดำรงอยู่ การก่อตัวขึ้นของ Fight club เริ่มจากคนไม่กี่คนที่ประสบปัญหาจากระบบทุนนิยมที่มันกดขี่และบีบบังคับ ลดทอนความเป็นมนุษย์ลงไปเรื่อย ๆ ระบบที่มันเข้มข้นยิ่งขึ้นมีผลโดยตรงต่อการเพิ่มขึ้นของจำนวนสมาชิกใน Fightclub สมาชิกที่ทำงานแตกต่างหากแต่มีสำนึกร่วมในสิ่งเดียวกัน ภายหลัง Fight club ได้ก่อตั้งขึ้นกระจายไปทั่วทุกมุมโลกพื้นที่ไหนมีความเข้มข้นของระบบทุนนิยมการก่อตัวของสมาชิกในกลุ่ม Fightclub ก็เข้มแข็งมากขึ้นเท่านั้น จะเห็นว่าระหว่างฝั่งทุนนิยมกับฝั่งFight club ช่วงชิงพื้นที่กันอยู่ตลอดเวลา ตัว Tyler กับตัวพระเอก(ไร้ชื่อ)คือคนเดียวกันที่พยายามต่อสู้กับจิตใจของตนเองอยู่ตลอดเวลา ทั้งยังต่อสู้กับวัตถุ โครงสร้างต่าง ๆ ที่จะเข้ามาเป็นตัวกีดกันเสรีภาพออกจากชีวิต Tylerได้พยายามชำแหละฉากอันบิดเบือนความจริงของโลกทุนนิยมออกมาระลอกแล้วระลอกเล่า “ปลดปล่อยจิตให้มีสภาพเสรี การปลดปล่อยจิตให้มีเสรี ก็คือ การปลดปล่อยมนุษย์ที่เป็นจริง ”
ดังนั้นต้องการจะปลดปล่อยจิตให้มีเสรีจึงต้องปลดปล่อยพันธนาการที่ยึดกุมควบคุมจิตใจไว้ นี่คือเป้าหมายของหนังที่ต้องการจะสะท้อน โดยที่ผู้เขียนต้องการจะหยิบยกแนวความคิดของมาร์กซมาใช้ในการวิเคราะห์บรรยากาศของหนังเรื่องนี้ โดยที่หัวใจหลักของแนวคิดมาร์กซคือประวัติศาสตร์การต่อสู้และการปลดปล่อยทางชนชั้น โดยมีเป้าหมายเพื่อต้องการปฏิวัติสังคมเดิมอย่างถอนรากถอนโคน ประวัติศาสตร์ของมาร์กซคือประวัติศาสตร์วัตถุนิยม บริบทสังคมการเมืองเศรษฐกิจที่มันแวดล้อมเหล่านี้เองจะเป็นตัวไปกำหนดจิตใจของมนุษย์ “จิตสำนึกมิได้กำหนดชีวิตแต่ชีวิตและวัตถุต่างหากที่กำหนดจิตสำนึก”[2] การต่อสู้โดยใช้ความรุนแรงและดิบเถื่อนของFight club การใช้ชีวิตที่ปราศจากแบบแผนของสังคมที่สั่งสมกันมาคือสิ่งที่เหลืออยู่สิ่งสุดท้ายของคนกลุ่มนี้ ซึ่งเขาเหลืออยู่แค่นั้น เสมือนคนที่ไม่เหลืออะไรให้เสียอีกแล้วหากแต่โซ่ตรวนคือสิ่งสุดท้ายที่อาจได้มาซึ่งอิสระและเสรีภาพ “ เราสูญเสียทุกอย่างแล้วถึงจะมีเสรี ---ไม่มีอะไรที่เราจะต้องสูญเสียนอกจากโซ่ตรวน ” ดังที่ผู้เขียนได้กล่าวไว้ข้างต้น ต่างก็พูดถึงความเป็นอิสระและเสรีภาพเหมือนกัน ทว่าอาจจะแตกต่างในแง่ของพลังนัยยะเรื่องความสูญเสียและต้นทุนที่ไม่เท่ากัน ถ้าหากมองดี ๆ คนเหล่านี้ก็ต้องการที่จะถูกปลดปล่อยและช่วงชิงเสรีภาพไม่ต่างกัน
[1]แถลงการณ์พรรคคอมมิวนิสต์ The communist manifesto
[2]มาร์กซ ความรู้ฉบับพกพา , marx a very short introduction
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in