ผมรักเพื่อนเพราะมันมีความจำเป็นเพียงอย่างเดียวของชีวิต ตั้งแต่เด็กเราไม่รู้จักความเฉิดฉายได้ยินเพียงคำเอ่ยว่า "โครตเฉิดฉาย" วรรณกรรมอาจไม่ต้องเข้มข้นในแบบนักเขียนใหญ่-มือรางวัล ประเทศที่นักเขียนไม่เคยได้รางวัลทางด้านงานวรรณกรรมอย่างแท้จริง มันก็แค่เวทีมวยวัด "ฉายให้พระดู" ผมแค่อยากเขียนบ้างรางวัลคือสิ่งสำคัญในชีวิตมันคือความจำเป็นแท้จริง "เริ่มฉาย !"
ผมกับเพื่อนวิ่งไล่กันไปตามทางของวัยเด็กจนเข้าสู่วัยรุ่น เราพบเรื่องราวของชีวิตที่เป็นมิตรแท้จริง คือโชคชะตาเด็กมันเดินไล่จีบผู้หญิิงอยู่ดีๆ เรียกมันไปดูมวยวัดที่กำลังฉายให้ตัวซวยที่อยากจะเป็นเซียนมวยตู้ "พวกมันเล่นไม่ซื่อเวลาแทงมวย-คนรวยไม่เล่นด้วยซวยตัวจริง" ประโยคอย่างเฟี้ยวในความคิดของเด็กๆ แม่ง! คือโคตรลูกผู้ชาย
มนุษย์โลกตัวซวย ไม่มีไอ้คนหน้าไหนเล่นซื่อๆ ตรงๆ แม้กระทั่งคนพูดตรง ถ้าตรงจริงคงตรงมาที่ความจริง ผู้ชาย มีแม่เป็นผู้หญิง ความจำที่ขึ้นใจเลยอย่างเดียว "ทุกวิถีทาง" นั่นละคือ ความจริงอีกข้อหนึ่ง ความจริงในโลกมีมากกว่าความไม่จริง
ผมอยากเป็นเซียนขึ้นมาทันทีเพียงแค่ดูมวยวัดฉายอยู่ตรงหน้า "มึงเรียกกูว่าครู" ผมก้มกราบลงไปทันที มวยวัดย่อมสู่ชั้นอาชีพเกียรติยศ "ถ้าฝึกฝน อดทน เป็นคนเหนือคน คือ ขยันกว่าคนอื่น" ผมดีใจคิดฝันว่าจะเป็นเจ้าของค่ายมวย ทองเส้นนั้นบ่งบอกกับผมว่ามันคือของตน "มึงไปเอามาให้ได้ นี่ของกู!" ผมรู้สึกโห่แต่ไม่กล้าเสียงดังเพราะความเสียดายที่เกิดมาเป็นเด็กไม่เป็นมวย ความจริงแล้วผมคือลูกศิษย์ส่วนเขาคืออาจารย์ จำยอมต่อความรู้เพื่อจำครูแล้วอยู่สุขสบาย
เป็นความโบราณของชีวิตที่ยังเห็นกันอยู่ในความคิดจิตใจของผู้คน ศิษย์จำครูได้แม่นยำหากไม่มีผู้สั่งสอนวันนี้คงไม่กล้าลงมือทำในสิ่งที่ปรารถนา หนังสือวรรณกรรมนับถึงร้อยเล่มได้ถูกส่งทยอยมาเรื่อยๆ ในชั่วระยะเวลาสองปี ผมจำครูที่แท้จริงได้เสมอมันคือกระดาษที่สมควรกินแทนข้าว ผมทำได้แค่เขียนเรื่องที่อยากเขียน ตามความอยากที่ชีวิตควรมี!
หนังสือคือนักเขียน ครูคนเดียวกันเสียด้วยซ้ำ ความจริงของชีวิตที่ตั้งใจมานานเคลื่อนที่ออกตัวหน้ายกแบบมอเตอร์ไซค์แต่ไม่รู้ว่าอีกสิบเมตรของระยะล้อหลังจะล้มคว่ำรึเปล่า ?
ศุทธิตินันน์ กุรจักรฤทธิ์
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in