เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
os,sf whatevergreenasavocado
rapt
  • note : 13555 words ใช้เวลานิดนึงนะ




    #raptjy



               เกิดมาไม่มีพ่อแม่แล้วอยู่กินแบบไหน..เลี้ยงตัวเองด้วยวิธีไหน..แล้วเอาตัวรอดจากสังคมเสื่อมทรามแบบนี้ได้ยังไง อาจมีคนมากมายตั้งคำถามกับการที่ผมเป็นผมในทุกวันนี้

               บุหรี่มวนแล้วมวนเล่าถูกจุดสูบโดยเด็กที่อายุเพิ่งจะสิบแปดไปหมาดๆเมื่อวานนี้..วันปีใหม่..เด็กกำพร้าที่ไหนจะรู้วันเกิดตัวเองกันล่ะ ได้อายุมาครั้งแรกก็จากการวินิจฉัยจากหมอเมื่อครั้งที่ผมโดนรับไปอุปการะจากครอบครัวเจ้าระเบียบครอบครัวหนึ่ง ผมไม่ได้รับความรักเหมือนที่เด็กเจ็ดขวบคนหนึ่งหวังจะได้ เพียงรับให้ไปเป็นคนใช้ส่วนตัวของสองแฝดชายหญิงลูกแท้ๆของพวกมันก็เท่านั้น

               เมื่อถึงจุดหนึ่งที่ครอบครัวนรกแตกนั่นแตกหัก ผัวมีชู้ เมียก็ประสาทกิน ผมโดนเรียกมาทำร้ายร่างกายซ้ำๆทั้งที่ไม่เคยทำอะไรผิด จนถึงจุดที่ทนไม่ไหวแล้ววิ่งหนีออกมา

               นอนข้างถนนอยู่นับอาทิตย์ นึกแล้วผมนี่ก็แน่เหมือนกันนะ เด็กสิบขวบกับการเป็นโฮมเลส ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ

               โดนลากคอขึ้นมาจากม้านั่งหลังตึกเก่าๆจากคนที่ดูโตกว่า ตอนนั้นตัวผมสั่น หนาวจนปากม่วง แหละหายใจรวยริน ตื่นขึ้นมาอีกทีในห้องพักมืดๆที่ผมไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหน ในใจภาวนาแค่ขอให้ชีวิตไม่กลับไปเป็นแบบเดิม

               มีเสียงดังขึ้นจากหน้าห้องในไม่กี่นาทีถัดมา ผู้ชายเอเชียผิวเข้มเป็นภาพแรกที่ผมเห็น เขาแนะนำตัวเองว่าชื่อไค,แก่กว่าผมเพียงห้าปี และอยู่คนเดียว

               ไคถามว่าบ้านผมอยู่ไหน ทำไมถึงไปนอนหนาวตรงนั้น ด้วยความที่ผมเป็นเด็ก ผมเล่าทุกอย่างให้คนตรงหน้าฟังอย่างหมดเปลือก ผมไม่ได้รับแววตาสงสารหรือสมเพชกลับมานั่นทำให้ผมพอใจ ไคมองมาที่ผมด้วยดวงตานิ่งๆ บอกว่ายินดีที่จะให้มาอยู่ด้วยกัน แต่มีข้อแม้คือต้องไปทำงานด้วยกัน

               นั่นแหละครับ จุดเริ่มต้นชีวิตของเจย์.. เป็นเด็กส่งยาตั้งแต่สิบขวบยิ่งเป็นเด็กจะยิ่งราบรื่น เจ้านายของไคบอกมาแบบนั้น

               นอกจากการทำงานซ้ำๆเดิมในทุกวันแล้ว ผมก็ไม่ได้โอกาสเรียนหนังสือเหมือนเด็กทั่วไป ไม่มีใครกล้าไปรับรองในการเป็นผู้ปกครองให้ผมเพราะเบื้องหลังชีวิตไม่โปร่งใสพอ

    เราเคยแม้แต่ขับรถบ้านคันเก่าเข้าไปตั้งแคมป์กันในป่าลึกเพราะเป็นช่วงกวาดล้างยาเสพติดครั้งใหญ่ ไม่มีสัญญาณเพื่อที่จะดูโทรทัศน์ ไม่มีไฟฟ้ามากพอที่จะเปิดหนังดูให้สิ้นเปลือง ดนตรีเป็นสิ่งเดียวที่ผมได้เรียนรู้และคลุกคลีอยู่ด้วยตลอดเดือนจากพี่ๆในกลุ่ม ที่ตอนนี้ต่างคนต่างก็แยกไปทำอาชีพที่ดูมั่นคงและสุจริต

              ชานยอลกลับมาอีกครั้งในฐานะเจ้าของอู่รถใหญ่ในบัฟฟาโลตอนที่ผมอายุสิบห้า เสนอว่าจะให้ทุนเรียนหนังสือเท่าที่ต้องการ ผมปฏิเสธ มันเลยวัยที่จะต้องไปเริ่มใหม่ในวังวนการศึกษาแล้ว แต่ไคบอกให้รับไว้แล้วเอาไปต่อยอดเรื่องดนตรีแทน

              ผมยังติดต่อกับไคเหมือนพี่น้องแท้ๆ กิจการบาร์ของไคกำลังไปได้สวย ไคโทรมาขอร้องผมให้ไปเป็นนักดนตรีประจำที่ร้านอยู่หลายครั้ง แต่ผมยังติดใจกับการเป็นบริกรของบ่อนใหญ่ชื่อดังในเท็กซัสอยู่ มีทั้งนักการเมืองดาราเซเล็ปกระเป๋าหนักเป็นลูกค้าอยู่เป็นร้อยๆ แค่ผมถอยรถเข้าซองได้ตรงเป๊ะสองร้อยดอลล่าร์ก็ลอยมาอยู่ตรงหน้าแล้ว เชื่อเถอะว่าเงินเก็บของผมสามารถซื้อรถญี่ปุ่นมาขับเล่นๆเป็นรอยนิดหน่อยก็ทิ้งได้หลายคัน

              จนกระทั่งวันนึงที่บ่อนถูกจับได้ว่าเป็นที่ฟอกเงินแหล่งใหญ่นั่นแหละ พนักงานทุกคนถึงถูกลอยแพไปอย่างสมบูรณ์แบบ

    ยืนพิงฟอร์ดมัสแตงปี1969 ที่ใช้เงินของตัวเองซื้อมาเป็นคันแรกในราคาไม่กี่ร้อยดอลล่าร์จากกรุเก็บรถเก่าของลูกค้าที่ล้มละลายคนหนึ่ง รอไคที่กำลังมาพาผมไปดูที่ทำงานใหม่ ในสายงานที่ต่างจากเดิมโดยสิ้นเชิง

    เงินเก็บที่มีอยู่ก็ทำให้ใช้ชีวิตโง่ๆไปได้ทั้งชีวิตแล้วยังจะทำงานทำไมอีก..นั่นคือสิ่งที่ผมถามตัวเอง แต่ก็ได้คำตอบจากตัวเองนี่แหละว่าเงินไม่ได้ทำให้ชีวิตผมคอมพลีทได้เลย งานที่ทำไปทั้งหมดไม่มีสิ่งที่ผมรักอยู่เลย ความที่ไม่มีใครให้พึ่งพาและไม่ต้องการเป็นภาระของใคร ผมจำเป็นต้องเลือกงานที่ได้เงินเยอะมาก่อนเสมอ

    การเริ่มงานใหม่ในครั้งนี้ที่มีพื้นฐานจากอะไรที่ผมรักคงจะทำให้ชีวิตของผมมันรู้สึกมีชีวิตชีวาขึ้นมาบ้าง สักนิดก็ยังดี

    ปี๊น ปี๊น!

               “ไง รถสวยนี่”ไคที่อยู่บนเรนจ์โรเวอร์สีดำคันใหญ่ลดกระจงลงมาแซวแล้วถอยรถเข้าจอดตรงที่ว่างข้างๆกัน ที่ที่มีราวกันพิเศษไว้ให้เจ้าของร้านนั่นน่ะ

               “ไง” ผมเดินเข้าไปกอดไคแน่นๆหนึ่งทีด้วยความคิดถึง รักและสำนึกในบุญคุณเสมอ

               “นี่ถ้าบ่อนห่านั่นไม่เจ๊งมึงก็จะไม่กลับมาหากูใช่มั้ย”ไคแกล้งพูดประชดประชัน ทำตัวเป็นคนแก่ใจน้อยไปได้

               “รู้ว่าผมกลับมาก็พอแล้วไม่ใช่เหรอ”

               “มึงนี่มันมึงจริงๆเลย”ไคพูดพร้อมกับวาดแขนโอบไหล่ผมไว้แล้วลากเข้าไปในประตูกระจกบานใหญ่ ที่มีป้าย close ติดอยู่

               เสียงจ๊อกแจ๊กจอแจของการเตรียมร้านดังเข้าสู่โสตประสาทของผม ไคลากผมไปตรงบริเวณหลังร้าน ระหว่างทางก็มีแวะทักทายพนักงานแต่ละส่วนตามประสาคนละเอียดกับงาน มาหยุดที่ห้องที่เขียนว่า‘ห้องพักนักดนตรี’มีคนอยู่สองสามคนนั่งสูบบุหรี่อยู่ในนั้นด้วยท่าทางสบายอารมณ์ คนนึงแนะนำตัวว่าชื่อลูคัส ส่วนหัวสกินเฮดตรงนั้นก็จอห์นนี่ แล้วก็คนคนท้ายยูตะ

               “มึงเป็นเหมือนโอเอซิสกลางทะเลทรายของพวกกูเลยเจย์”คนชื่อลูคัสพูดขึ้น ในวงดูเหมือนจะมีปัญหามาก่อนหน้านี้เรื่องนักร้องนำที่ขอแยกตัวไปอยู่วงอื่น หน้าที่ของผมในตอนนี้ก็คือกีต้าร์และร้องนำ ลูคัสคีย์บอร์ด จอห์นนี่กลอง ยูตะเล่นเบส

              “กูไปดูหน้าร้านก่อนนะ คุยกันดีๆ” ไคพูดทิ้งท้ายไว้แล้วเดินออกจากประตูห้องไป

    ไม่มีใครพูดอะไรเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของไคกับผม ไม่อยากให้ใครมองว่าการที่ผมได้มาอยู่ที่นี่เป็นการใช้เส้น ถึงจะใช้จริงๆก็เหอะ แต่สาบานเลยว่าถ้าต้องให้มาทดสอบแข่งกับคนอื่นผมก็ไม่แพ้ใครแน่นอน

              “มึงอายุเท่าไหร่วะเจย์”จอห์นนี่ที่ดูจะโตสุดถามขึ้น

              “ปีนี้สิบแปด” ทุกคนหันไปมองหน้ากันเลิ่กลักก่อนที่ยูตะจะเป็นคนอาสาพูดเอง

              “ทำไมไคยอมให้มึงเข้ามาเหยียบในนี้ได้” ผมไม่แปลกใจหรอกที่คนจะสงสัย ตามกฎหมายของสหรัฐอเมริกา คนจะเข้าบาร์ได้ต้องมีอายุยี่สิบเอ็ดปีขึ้นไป และไครู้ดีว่าไม่ควรจะเอาตัวไปเสี่ยงให้โดนขุดคุ้ยประวัติจึงเข้มงวดมากเรื่องนี้ ไม่ว่าจะเข้ามาในฐานะอะไร ลูกค้า หรือพนักงาน ไคล้วนแต่ไม่รับทั้งนั้น


              “รู้จักกันตั้งแต่เด็กแล้ว” ผมตอบไปสั้นๆให้พอหายสงสัยกัน

              “อ้อ” ทั้งสามคนพยักหน้าเข้าใจแล้วหันไปสนใจกีตาร์ของผมแทน

              “โหย ไม่ใช่เล่นเลยว่ะ ลูกผู้ดีตกอับหรือไงมึง ทำไมมาทำงานแบบนี้ได้” ผู้ดงผู้ดีห่าอะไร เค้าเป็นใครกูยังไม่รู้เลยไอ้พวกขี้เสือกเอ้ย

              “ไม่มีหรอก”

              “ห้ะ”

              “พ่อแม่น่ะ ไม่มีหรอก”


              จบคำพูดนั้นทุกคนก็ขอโทษขอโพยผมกันใหญ่ มันไม่ใช่เรื่องที่จะมาทำให้ผมรู้สึกอะไรเลยสักนิด ในเมื่อเกิดมาไม่เคยมี แล้วก็คิดว่าไม่จำเป็นจะต้องมีด้วย สุดท้ายคนเราก็เกิดมาเพื่อผสมพันธุ์แล้วก็ตายจากไป เลี้ยงไม่เลี้ยงก็คงเป็นอีกเรื่อง

              ผมขอร้องให้ทุกคนหยุดพูดเรื่องนี้แล้วคิดเรื่องเพลงของวันนี้ดีกว่า ไม่รู้ว่าแนวดนตรีของเราจะจูนกันได้ไหม ต้องปรับกันอีกมากหรือเปล่า มีเวลาอีกไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้นก่อนจะขึ้นเล่นจริง


              ถือว่าเป็นเรื่องที่น่าโล่งใจเพราะลิสต์เพลงพวกนั้นตรงกับที่ผมเล่นอยู่เป็นประจำพอดีApocalypse ของ Cigarettes After Sex เป็นเพลงที่ดีที่สุดในนี้ ผมขอเปลี่ยนลำดับเพลงเล็กน้อยให้เพลงนี้เป็นเพลงปิด

    ถึงเวลาเล่นจริงแล้ว มันเป็นเรื่องยากนิดหน่อยที่ต้องเล่นดนตรีให้เข้ากับคนทั้งวงที่ซ้อมจนคุ้นกันมาอยู่แล้วภายในครั้งแรก มันผ่านไปได้ดีภายในครึ่งแรก ผมได้ทิปส์ที่คนในนี้อาจจะคิดว่าเยอะจากแม่สาวปากแดงคนนึงที่นั่งอยู่โต๊ะหน้าเวที ก็ดี ผมกระตุกยิ้มขอบคุณไปก่อนจะกลับไปสนใจเพลงที่เล่นอยู่ต่อ


              หลังจากพักดื่มน้ำแล้วกลับมาเล่นต่อในครึ่งหลัง ลมหายใจของผมสะดุดไปหนึ่งสเต็ปจากการเห็นหน้าใครสักคนที่ไม่รู้จัก ผมนิ่งจนยูตะต้องส่งเท้ามาสะกิดเบาๆเพื่อเรียกสติ หลังจากนั้นผมก็ไม่ได้สนใจที่จะรับทิปส์จากใครอีกเลย ไม่สนใจคำโห่ร้องแซวตอนที่ยูตะเล่นมุข ไม่แม้แต่จะละสายตาไปไหน

    จนเพลงสุดท้ายทีเป็นเพลงโปรดของผมเล่นขึ้น คนที่มองอยู่ถึงเลยหน้าเศร้าๆขึ้นมาจากบาร์แล้วร้องคลอไปด้วย


              Your lips, my lips, apocalypse

              Your lips, my lips, apocalypse

              Go and sneak near the rivers flood is rising up on your knees, oh please

              Come out and haunt me, I know you want me

              Come out and haunt me


              ผมรู้สึกได้ว่าสายตาของเราสอดประสานกันอยู่ ถึงจะไกลๆก็เถอะ ใจของผมเต้นแรงขึ้นจนรู้สึกได้ เสียงก็สั่นขึ้นจากที่ได้ยินในเอียร์มอนิเตอร์ของตัวเอง มันน่าอายจริงๆที่ต้องมาเป็นอะไรแบบนี้ต่อหน้าคนดูนับสิบ

              เรียกสติตัวเองกลับมาก่อนจะแนะนำตัว บอกลา แล้วเดินลงเวทีมาแบบไม่ได้สนใจคำชมหรือเสียงปรบมือของใครทั้งนั้น ผมมีจุดมุ่งหมายเดียวคือเจ้าของดวงตาคู่นั้น

              แต่ไม่ทัน.. หายไปแล้ว.. ผมเดินวนอยู่ในบริเวณร้านหลายรอบจนท้อ ทั้งไฟที่สลัวแหละคนที่เบียดเสียดทำให้ผมยอมแพ้ลงไปในที่สุด เสียดาย..แต่ก็ไม่เป็นไร


              กลับมาที่หลังเวทีก็เจอกับสายตาสงสัยของไคที่ปิดไม่มิด

              “ไม่มีอะไร เหมือนเจอคนรู้จักนิดหน่อย” ไคพยักหน้ารับแล้วบอกให้ไปเจอกันในออฟฟิศหลังเก็บของเสร็จ

              “เฮ้เจย์!” จอห์นนี่ที่ยืนคุยอยู่กับผู้ชายคนหนึ่งเรียกผมให้เข้าไปหา

              “ว่าไง”

              “ช่วงนี้ทำอะไรอยู่บ้าง”

              “หมายถึง?”

              “ทำงานอื่น หรือเรียนอะไรแบบนี้”

              “ไม่ๆ ไม่มี ทำที่นี่ที่เดียว”

              “อ่า คนนี้โดยอง เป็นลูกค้าประจำ”

              “หวัดดีครับ.. แล้ว?” ผมหันไปทักทายคนตัวสูงกว่า แล้วตามท้ายด้วยคำถาม

              “คือ.. ค่ายเพลง WXเปิดรับเดโม่ ฉันก็เลยอยากจะมาชวนไปทำเพลงด้วยกัน”

              มึงว่าไง” จอห์นนี่หันมาถามความเห็นผมก่อนตัดสินใจอะไรออกไป

              “เอาดิ “

              จากการที่คุยกันมาสรุปได้ว่าวงที่เราจะฟอร์มเพื่อไปออดิชั่นประกอบด้วยผม จอห์นนี่ และยูตะ ลูคัสที่ต้องเรียนมหาลัยควบไปด้วยขอบายเพราะไม่มีเวลามากพอ ส่วนคีย์บอร์ดกับคอรัสโดยองจะเป็นคนเล่น

    พอได้ทำความรู้จักกับโดยองก็ได้รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นพนักออฟฟิศต๊อกต๋อยที่ไม่มีสิทธิเลือกแม้แต่คณะที่จะเข้าเรียนในตอนแรก ก็อย่างว่าแหละ การทำตามสิ่งที่ผู้ใหญ่บอกทั้งหมดก็ใช่ว่าจะดีเสมอไป ตอนแรกที่กังวลก็คือโดยองที่ต้องทำงานแปด-สี่โมงเย็นในทุกวันจะไม่ได้ว่างมาซ้อมในทุกครั้งที่นัด แต่ก็ได้รับคำสัญญาเป็นมั่นเป็นเหมาะที่มาพร้อมกับใบหน้ามุ่งมันว่าจะใช้เวลาที่ว่างจากงานให้คุ้มค่ามากที่สุด

               ชีวิตใหม่วันแรกก็มาพร้อมกับการวางแผนจะไปเป็นศิลปินซะแล้ว น่าตื่นเต้นเหี้ยๆ




    #raptjy




               สภาพการกินอยู่ของผมดูเป็นผู้เป็นคนขึ้นเยอะจากการช่วยเหลือของไค ไม่มีอีกแล้วห้องพักรูหนูสภาพซอมซ่อ มีแต่ทาวน์เฮ้าส์หลังใหญ่ที่อยู่ติดกันกับบ้านไค

               ตอนแรกไคขอให้ผมย้ายเข้ามาอยู่ด้วยกัน แต่เอาจริงๆใครจะอยากไปขัดจังหวะคนจู๋จี๋กับเมียกันเล่า ผมปฏิเสธไปอย่างหนักแน่น แต่ไคก็ยังยืนยันจะให้ผมอยู่ใกล้หูใกล้ตามากที่สุด ไม่รู้ว่าด้วยวิธีไหน บ้านสองชั้นกลางเมืองแบบนี้ถึงตกมาเป็นของผม ด้วยชื่อของผม.. อสังหาริมทรัพย์เพียงอย่างเดียวที่มี

               ผมเกลียดที่นี่จริงๆ ถึงอะไรจะสะดวกสบาย แต่ความที่อยู่ในเมืองก็เลยทำให้รถติด ติดจนผมท้อใจ มัสแตงลูกรักก็เป็นรถเกียร์ธรรมดาอีกต่างหาก เหยียบคลัตช์จนน่องปูดไปหมดแล้ว โหยหาการเหยียบคันเร่งจนมิดไมล์ที่บ้านนอกเหลือเกิน

    กริ๊ง! กริ๊ง!

               เสียงกริ่งหน้าบ้านดังขึ้นเป็นจังหวะที่คุ้นเคย ไม่ต้องเดาก็บอกได้เลยว่าไคแน่นอน เนื่องจากเมื่อก่อนใช้ชีวิตเสี่ยงคุกเสียงตาราง เราเลยจำเป็นต้องมีโค๊ดแม้กระทั่งการเคาะประตูหรือกดกริ่งอย่างที่เพิ่งเกิดขึ้น ผมเดินอาดๆไปที่ประตูแล้วปลดล็อคให้เท่านั้น ปล่อยให้ไคบิดลูกบิดเข้ามาเอง

               “เหมือนเดิมเลยนะมึง”

               “ไคเองก็ยังเหมือนเดิมเลย”

               “ก็กูพี่มึง

               “ผมก็น้องไคไง” เรานั่งยิ้มให้กันอย่างที่ไม่ได้เกิดขึ้นมานานมากแล้ว

               “เจย์กูพูดตรงๆนะ กูอยากให้มึงลงหลังปักฐานสักที ไม่ต้องใช้ชีวิตล่องลอยแล้วได้ไหมวะ”

               “เพราะแบบนี้เลยให้บ้านนี้กับผมเหรอ”

               “นี่เป็นของรับขวัญครอบครัวเพียงคนเดียวของกูต่างหาก”ผมแทบจะร้องไห้ออกมาดังๆต้องที่ไคพูดประโยคนั้นจบ

               “ผมไปหาเบียร์ดื่มดีกว่า ไคเอามั้ย”

                แสร้งทำเป็นลุกไปคุ้ยของในตู้เย็นโล่งๆ อีกมือก็ปาดน้ำตาที่รื้นขึ้นมาให้หมดไป

               “กูเปิดบาร์นะเจย์ ของแบบนั้นกูกินจนเบื่อแล้ว”

               “ถ้าไคไม่ งั้นผมไม่ดื่มแล้วก็ได้”

               เช็คความชื้นที่ตาตัวเองจนแน่ใจดีแล้วถึงปิดตู้เย็นแล้วเดินกลับไปนั่งที่โซฟาตัวเดิม

               “เห็นจอห์นนี่บอกว่าจะฟอร์มวง”

               “โอ้ ข่าวไวเหมือนกันนะ”

               “แน่สิ กูใคร

               “ไคไง ฮ่าๆๆ” นานแค่ไหนแล้วที่ผมไม่หัวเราะกับประโยคโง่ๆที่ไม่มีความตลกอยู่เลยแบบนี้

               “แล้วคิดหรือยังว่าจะชื่อวงอะไร”

               “ผมลืมคิดเรื่องนั้นไปเลย”มัวแต่ตื่นเต้นเรื่องเพลงเรื่องการอัดเดโมจนไม่ได้คิดถึงเรื่องชื่อวงเนี่ยนะ ใช้ได้ที่ไหนกันวะเจย์

               “อ้าว จะทำเพลงอยู่แล้วนะ”

               “นึกไม่ออกเลยไค เดี๋ยวค่อยไปปรึกษาคนอื่นดีกว่า”  

               “ฮ่าๆ มึงนี่มันจอมโยนขี้จริงๆ”

               “น่า คิดมากปวดหัว

               “บ้านใหม่เป็นไง”ไคกวาดสายตาไปทั่วบริเวณบ้าน แล้วถามออกมา

               “ดีมากเลยครับ ดีกว่าที่เคยมีมาทั้งชีวิต”          

               “ดีแล้ว อยู่สบายๆบ้างเถอะ”

               “แต่มันไม่ดีอยู่อย่างนึง คือแม่งในเมืองฉิบหาย ผมคงต้องดูรถเกียร์ออโต้ไว้สักคันแล้ว”

               “ฮ่าๆๆ เออ เอาไอ้ลุงของมึงไปพักเถอะ แล้วจะไปดูรถเหมือนไหร่ก็บอก จะไปส่ง”

               “อ่า ได้ครับ

               “กูกลับละนะ แล้วเย็นนี้มากินข้าวด้วยกัน” ไคพูดทิ้งท้ายแล้วเดินไปที่ประตู

               “ไค! ขอบคุณนะครับ..สำหรับทุกอย่าง”

               “เออ กูก็ขอบคุณเหมือนกัน ไอ้น้องชาย”

               

               

               การที่ทำเป็นไปรื้อตู้เย็นทำให้ผมรู้ว่านี่มันไม่มีอะไรติดบ้านเลยสักนิด แม้แต่ซุปกระป๋องโง่ๆก็ไม่มี เครื่องครัวครบแต่ไม่มีของสดมันก็เท่านั้นแหละ

               ต่อสายหาไคเพื่อที่จะถามตำแหน่งของซุปเปอร์มาร์เก็ตที่ใกล้ที่สุด แล้วก็โดนคำว่าโง่กระแทกหน้ามาเต็มๆ.. ตรงข้ามนี่เองเจย์.. ตรงข้ามนี่เอง  

               จัดการสวมสเว็ตเตอร์ทับเสื้อยืดตัวบาง คว้ากุญแจบ้านแล้วเดินข้ามถนนไปยังจุดหมาย มันใกล้จนเหมือนอยู่ในเกมส์เดอะซิมส์ที่จะเอาอะไรมาไว้ข้างอะไรก็ได้ จะไปไหนก็ดูง่ายไปหมด บ้านบ้าๆนี่ราคาเท่าไหร่กันนะ แล้วถ้ามีปัญญาซื้อสองหลังขนาดนี้ไคต้องมีเงินบัญชีอย่างต่ำๆเท่าไหร่

               พอนึกได้แบบนั้นแล้วก็ดีใจกับไคด้วยจริงๆที่สร้างเนื้อสร้างตัวได้จนมาถึงขนาดนี้ เส้นทางที่ไม่ได้โดยด้วยกลีบกุหลาบ ซ้ำยังมีหนามคอยทิ่มแทงให้ล้มลงไปกลางทางของพวกเรา มาถึงจุดนี้ได้ก็ดีโคตรๆแล้ว

               หันกลับมาตั้งใจเลือกซื้อของเข้าบ้านอีกครั้ง อย่างที่บอกว่าผมค่อนข้างจะมีเงินเหลือใช้ เพราะฉะนั้นไม่ต้องมาเสียเวลาดูฉลากราคาก่อนโยนลงรถเข็นเลย แค่เลือกของที่ใช้ประจำกินประจำอยู่แล้วก็พอ

               จะว่าเป็นนิสัยฟุ่มเฟือยของคนไม่เคยมีมันก็ใช่นะ ก่อนหน้านี้จะกินอะไร จะซื้ออะไรต้องคิดแล้วคิดอีกว่าพรุ่งนี้จะมีใช้มั้ย พอมาวันนี้ที่ผมมีทุกอย่างที่ต้องการแล้ว การได้ใช้เงินอย่างสาแก่ใจก็เป็นอย่างหนึ่งที่ทำให้ผมรู้สึกคอมพลีทนะ

    ปึก!

               นั่นไง มัวแต่อารมภบทกับชีวิตตัวเองจนไม่ได้มองทาง รถเข็นของผมไปขนกับตะกร้าที่คล้องแขนของคนที่กำลังเลือกนมบนชั้นอยู่

               “โอ้ย!” คนตรงหน้าร้องออกมา น่าจะเพราะตกใจมากกว่า ผมไม่ได้ชนแรงเลยนะสาบานได้

               “ขอโทษนะครับ พอดีไม่ได้มองทาง เจ็บตรงไหนมั้ย”

               “อ้อ ไม่เป็นไรครับ”

               ผมมัวแต่มองบ้าอะไรอยู่นะถึงไม่ได้เงยหน้าขึ้นไปมองคนที่โดนชนไวกว่านี้ .. เจ้าของดวงตาคู่นั้นยังไงล่ะ

               “เอ่อ.. เราเคยเจอกันที่ไหนมาก่อนมั้ยครับ” ใจผมกลับมาเต้นแรงอีกครั้งภายในช่วงอาทิตย์เดียวเท่านั้น

               “ฮ่าๆ นั่นมุขรึเปล่าครับ”ไม่ผิดแน่ ตาพระจันทร์เสี้ยวแบบนี้ ผมจำได้ดี

               “ไม่ ไม่ ไม่ใช่มุข ที่k’s วันนั้น ผมเห็น...”

               “อ๋า นึกออกแล้ว คุณนักร้องคนนั้นนี่เอง ขอโทษทีนะครับ นึกนานไปหน่อย”ผมได้รับรอยยิ้มแบบนั้นอีกแล้ว ทำยังไงดี ผมอยากจะเป็นคนเห็นรอยยิ้มแบบนั้นเพียงคนเดียว และตลอดไปเลย

               “ฮ่าๆ ครับ ผมเจย์ แล้วคุณ..?”

               “แทยงครับ แทยงลี

               “ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ/ยินดีที่ได้รู้จัก.. เอ่อ” ผมพูดออกมาพร้อมกับคนตรงหน้าจนเราต่างคนต่างก็หัวเราะเขินๆให้กัน

               “แล้วนี่มาคนเดียวเหรอครับ”ผมเป็นคนถามขึ้นเพื่อทำลายบรรยากาศเคอะๆเขินๆที่เกิดขึ้น

               “ใช่แล้วครับ มาตุนเสบียงไว้ไปอ่านหนังสือน่ะ แล้วคุณเจย์ล่ะครับ”

               “คนเดียวเหมือนกันครับ เอ่อ..ถ้าไม่รังเกียจเดินไปด้วยกันมั้ยครับ”

               “นำไปเลยครับ:-)”


    -


               ผมกลับมาบ้านพร้อมกับคนที่เพิ่งจะรู้จักในซุปเปอร์มาร์เก็ตเมื่อกี้นี้ เราบังเอิญคุยกันถูกคอเรื่องเพลง และแทยงสนใจอยากลองมาฟังเดโมที่ผมลองอัดไว้เล่นๆกับเพื่อนในวง

               เราตกลงกันว่าจะเปลี่ยนสรรพนามให้สนิทสนมกันกว่านี้โดยแทนตัวเองว่าเราและเรียกอีกฝ่ายด้วยชื่อ ถึงมันจะจั๊กจี้ปากเล็กน้อยเพราะปกติก็พูดมึงกูกับเพื่อน แต่ก็.. คนนี้ไม่ได้ตั้งใจจะให้เป็นแค่เพื่อนอยู่แล้ว

               มาจบกับที่การนั่งฟังซีดีเดโม่แผ่นที่สามของผม พร้อมโกโก้ร้อนที่อยู่ในแก้วมัคคนละแก้ว

               “โห เจย์แบบนี้เราว่าผ่านสบายๆเลย” แทยงพูดถึงการส่งเดโม่ไปออดิชั่นกับค่ายเพลงยักษ์นั่นแหละครับ

               “เราว่ามันยังมีจุดด้อยอยู่ แต่เรายังหาทางอุดช่องโหว่ไม่ได้”

               “เราว่านี่มันเจ๋งสุดๆไปเลยนะ เพลงมีแนวทางของตัวเองชัดมากอ่ะ เราชอบ” แทยงพูดพร้อมกับดวงตาที่เป็นประกาย

               “อ่า..ขอบคุณนะ” ผมเกาท้ายทอยแก้เขินเล็กน้อย ก่อนที่โทรศัพท์ของคนข้างๆจะแผดเสียงดังลั่นจนเราทั้งคู่ตกใจ

               “เจย์เราต้องไปแล้วอ่ะ พอดีต้องไปติวกับเพื่อนต่อ” ก็เรียนตั้งเภสัชนี่นา เข้าใจได้แหละ

               “โอเค .. เดี๋ยวเราไปส่งมั้ย”

               “เฮ้ยไม่เป็นไร เราเอารถมา”

               ผมเดินมาส่งอีกคนได้ถึงแค่หน้าบ้านตัวเองเท่านั้น เพราะโดนห้ามไว้ด้วยน้ำเสียงดุๆที่บอกว่าดูแลตัวเองได้ เป็นผู้ชายเหมือนกัน เท่านั้นแหละ ผมหมดคำจะไปเถียงต่อเลย

               “แทยง!”ผมเรียกคนที่ข้ามถนนไปถึงอีกฝั่งแล้วเพราะเพิ่งนึกอะไรออก พอแทยงหันมาแล้วผมก็พูดต่อโดยที่ไม่สนใจคนอื่นที่เดินขวักไขว่อยู่เต็มถนน“อาทิตย์หน้าไปดูเราอัดมั้ย”

               แทยงยิ้มแบบที่ผมชอบอีกครั้ง แล้วใช้นิ้วโป้งกับนิ้วชูทำท่าโทรศัพท์ “ไว้โทรมานะ!” ทิ้งท้ายไว้แค่นี้แล้ววิ่งหายไปในที่จอดรถใต้อาคาร ผมยืนรอจนรถขับมาตรงทางออกแล้วโบกมือให้คนบนรถอีกครั้ง

               ไว้จะโทรไปนะ:-)



    #raptjy



               ผมได้ชื่อวงแล้วโดยความคิดของคนอื่น เรียกพวกเราว่า trashes เนื่องจากเป็นศูนย์รวมของขยะทั้งหลาย ผมก็เป็นขยะที่โดนทิ้ง จอห์นนี่ก็ขยะสังคม โดยองก็เป็นผลผลิตจากความคิดขยะๆของพ่อแม่ ส่วนยูตะจริงๆไม่มีอะไรแต่อยู่ในวง ก็เลยจะยอมเป็นขยะด้วยกันก็ได้

               โดยองยังคงทำได้ดีกับการมาขอโน้ตเพลงไปซ้อมแยก ส่วนผมและคนที่เหลือจะใช้เวลาก่อนขึ้นแสดงที่ร้านไคซ้อมและถกถียงเรื่องเพลงกันกันเสมอ ดีเหมือนกัน ชีวิตมีลูปดี ตื่นบ่าย กินข้าว แต่งเพลง เล่นดนตรี นอน repeat

               เรานัดกันซ้อมตั้งแต่หกโมงเช้าของวันนี้ ความจริงห้องซ้อมก็ยังไม่เปิดหรอก แต่ด้วยนิสัยขยะของจอห์นนี่ก็ไปบังคับขู่เข็ญให้เจ้าของร้านมาเปิดให้จนได้

               พรุ่งนี้คือเดดไลน์ของการส่งเดโม่ แปลว่าวันนี้เป็นวันสุดท้ายของการทำทุกอย่าง

               “เจย์มึงพร้อมมั้ย” จอห์นนี่ถามขึ้น

               “ไม่พร้อมก็คงต้องพร้อม แต่เสียงยังไม่กลับมานะ”ผมไม่ใช่นักร้องอาชีพที่จะรู้วิธีบริหารเสียงก่อนร้องจริงๆหรืออะไรแบบนั้น มันก็แค่ต้องร้องร้องร้องอัดเข้าไปจนเส้นเสียงมันเข้าที่ นั่นแหละวิธีของผม

               “ไม่เป็นไร ร้องคลอคอรัสไปก่อน”

               ดนตรีเริ่มบรรเลงขึ้นจากการให้สัญญาณของจอห์นนี่

               1 2 3

               When you're on a holiday

              You can't find the words to say

              All the things that come to you

              And I wanna feel it too


              เนื้อเพลงนี่ดีจังเลยเนอะ สดใสไม่เข้ากับพวกเราสักคน


              On an island in the sun

              We'll be playing and having fun

              And it makes me feel so fine

              I can't control my brain


              กำลังจะมาแล้วครับ คิลลิ่งพาร์ทของพวกเรา


              Hip hip

              Hip hip

    (weezer - island in the sun)


              ฮิปฮิปนี่แหละครับ ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือเปล่า แต่เพลงที่ดีควรมีท่อนฮิตติดหูที่ไม่ต้องคิดมากเวลาฟัง คนเพิ่งเคยฟังครั้งแรก จะได้ร้องตามไปด้วยได้

              ส่วนท่อนอื่นที่ช่วยกันเค้นออกมาก็ถือว่าเป็นมาสเตอร์พีซทั้งนั้น เพลงจริงๆจังๆเพลงแรกในชีวิตพวกเราสี่คนที่ตกลงกันว่าถ้าออดิชั่นไม่ผ่านจะเอาไปปล่อยใต้ดินแทน มันคงจะมีคนชอบบ้างล่ะน่า


    Rrrr Rrrr


              ‘KAI’ ชื่อที่คุ้นเคยประกฎขึ้นที่หน้าจอโทรศัพท์จอห์นนี่พร้อมกับแรงสั่นอย่างบ้าคลั่ง เจ้าของเครื่องคุยกับปลายสายนิดหน่อยก่อนจะส่งต่ามาหาผม

              “ครับ”

              ‘มึงอยู่ไหน’

              “ห้องซ้อม ไคมีอะไรหรือเปล่า”

              ‘มีเด็กผู้ชายมาหามึง’ เชี่ย ฉิบหายแล้ว ผมลืมบอกแทยงไปเลยว่าจะออกมาซ้อมก่อนอัดเช้าขนาดนี้

              “ไค ผมขอคุยกับเขาหน่อย”

              ‘ฮัลโหลเจย์’

              “แทยง เราขอโทษนะ พอดีเพื่อนนัดออกมาซ้อม”

              ‘ฮ่าๆ ไม่เป็นไร เราก็มาแบบไม่ได้บอกก่อนเองอ่ะ’

              “อ่า..แล้วทำไงดี”

              ‘งั้นเราไปหาได้มั้ย ทำพายไก่ง่วงมาเยอะเลย’


              ผมกวาดสายตาไปหาคนในวงแล้วขยับปากถาม ซึ่งก็ได้แค่กันยักไหล่แล้วก็พยักหน้าอย่างไม่ใส่อะไรกลับมา


              “มาดิ ห้องซ้อมของเบนที่อยู่ชั้นใต้ดินของโรงหนังสมิธนะ”         

              ‘อื้ม เจอกันนะ’

              

              แทยงมาถึงในช่วงสาย กล่าวทักทายทุกคนอยากเป็นมิตร ในมือมีพายไก่งวงถาดใหญ่ที่กลิ่นค่อนข้างจะทำลายล้างมากทีเดียว

              จอห์นนี่ตบะแตกคนแรก โยนไม้กลองทิ้งแล้วพุ่งไปทางอาหารทันทีทำให้ทุกคนต้องหยุดไปด้วย แต่ก็ดี พักบ้างเถอะสามชั่วโมงนันสต็อปแล้ว นิ้วผมด้านจนไร้ความรู้สึกไปแล้ว

              ผมดันให้แทยงเขยิบไปนั่งติดกับพนักพิงโซฟาฝั่งนึงแล้วหย่อนตัวลงนั่งข้างกัน จะว่าหวงก้างก็ได้ แต่ต้องไม่มีใครได้เฉียดแทยงทั้งนั้น ผมจองมาตั้งนานแล้ว ส่ายหน้าปฏิเสธการรับพายจากมือคนที่ทำมาให้ แล้วอ้าปากออกกว้างแทน

              แทยงหัวเราะน้อยๆแล้วเอาพายชิ้นเดิมไปตัดให้เล็กลงพอดีคำ ส่งเข้าปากผมทีละชิ้น รอให้ผมเคี้ยวหมดแล้วหยิบอีกชิ้นมาทำแบบเดิมอย่างใจเย็น

              ไม่มีเสียงโห่แซวอะไรจากเพื่อนร่วมวง แต่สายตามหมั่นไส้ก็คงจะมีบ้าง มันเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้จริงๆ

              จุดเริ่มต้นของผมกับคนตรงหน้าอาจจะแปลกไปสักหน่อย แต่ทุกการแสดงออกทุกการขยับตัวมันเต็มไปด้วยความรู้สึก ผมรู้สึกมากจนแทบอยากจะร้องไห้ทุกครั้งที่ได้มองหน้าแทยง ความรู้สึกรักมันรุนแรงขนาดนี้เลยเหรอ การโดนใส่ใจมันดีแบบนี้เองสินะ

              เราซ้อมกันอีกครั้ง และอีกครั้งโดยที่แทยงก็ยังนั่งอยู่ตรงนั้นไม่ไปไหน ยกยิ้มให้กันบ้างเวลาที่สายหันมามองกันพอดี เจโยกหัวไปตามจังหวะเพลงในครั้งแรก ส่วนครั้งที่สองกับสามเริ่มร้องตามได้แล้ว

              ซ้อมได้อีกไม่กี่ครั้งก็ถึงเวลาที่ต้องย้ายกันไปที่ห้องอัด แทยงอาสาขับรถของตัวเองไปส่งเพราะลำพังไอ้ลุงของผมก็คงต้องไปกลับขนเครื่องดนตรีกันสองรอบ


              ผมยกกุญแจรถตัวเองให้ยูตะเป็นคนขับแล้วตัวเองก็ไปขับรถให้แทยงแทน


              “ตื่นเต้นมั้ย”

              “ไม่ ไม่เลย” เพราะผมไม่ได้คาดหวังอะไรจากค่ายใหญ่ขนาดนั้นอยู่แล้ว ที่ทำก็เพราะชอบแล้วก็สนุกมากกว่า

              “แต่เราตื่นเต้นอ่ะ”

              “ฮ่าๆๆ  แทยงแย่งความตื่นเต้นเราไปหมดแล้วนี่เอง”

              “เจย์อย่าแซวเรา”

              “เราขอกำลังใจหน่อยได้มั้ย จะหมดแรงแล้ว”

              “หืม”

              นะ


              แทยงคว้ามือซ้ายของผมไปหาตัวเอง บรรจงกดจูบลงบนรอยด้านและแผลถลอกที่อยู่บนนิ้วทั้งสี่ทำแบบนั้นซ้ำไปซ้ำมาจนปลายนิ้วรู้สึกถึงความชื้น ถึงจะขับรถลำบากหน่อย แต่ก็ไม่อยากให้ปล่อยมือเลย

    มือผมถูกปล่อยให้กลับไปขับรถได้อย่างถนัดมากขึ้น แต่มันไม่พอ สัมผัสนั้นมันไม่เคยพอ ผมใช้มือซ้ายบังคับรถและใช้มือขวาคว้าอวัยวะเดียวกันของอีกคนไว้


              แทยงไม่ได้ขยับหนี ซ้ำยังเอนหัวมาซบผมตอนที่รถติดไฟแดง แบบนี้เค้าเรียกว่าคนรักกันได้หรือยังนะ


              มาถึงก็เริ่มมีปัญหาตั้งแต่สตูที่จองไว้ถูกปล่อยให้คนอื่นใช้แทน ส่วนไอ้เจ้าของเฮงซวยก็ตีหน้ามึนไม่รับผิดชอบอะไรทั้งนั้น เรามีเวลาไม่มากที่จะมาต่อล้อต่อเถียง ยูตะเข้าไปเจรจากับคนที่มาใช้ห้องอัดให้รีบเก็บของออกไปภายในครึ่งชั่วโมงนี้ ทุกคนยินยอม ยกเว้นผู้ชายผมบลอนด์คนหนึ่งที่ไม่ยอมขยับตัวออกจากบริเวณห้องอัดเสียงร้อง


              “ไงเจย์” ผมไม่ได้คุ้นเคยกับเสียงนั้นหากแต่ใบหน้าที่คลับคล้ายคลับคลาว่าเคยเจอกันนั่นต่างต่าง

              “คีน” หนึ่งในแฝดนรกนั่น

              “ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ ไอ้ตัวขยะ” ผมนิ่ง ไม่ตอบโต้อะไรเป็นดีที่สุด ถึงสิ่งที่ผมต้องเผชิญมาตั้งแต่เด็กจนโตจะทำให้ผมเป็นคนกร้านโลกแค่ไหน แต่จะไม่มีการทำร้ายร่างกายใครโดยไม่จำเป็น

              “อืม”

              “ฮ่ะๆๆๆ กูว่าแล้วว่ามึงก็คงไปได้ไม่ไกลแล้วนี้ แล้วนี่คนไหนเลี้ยงมึงไว้ล่ะ คนนี้ คนนี้ หรือคนนี้”คีนไล่ชี้หน้าเพื่อนร่วมวงผมอย่างไร้มารยาท แล้วจบที่การมองแทยงด้วยสายตาหยาบโลน

              “เอาเวลาที่เสือกกูไปคิดดีกว่าว่าจะทำยังไงให้พ่อเลิกมีชู้ แล้วแม่เลิกเป็นบ้า เหี่ยวขนาดนั้นแล้วยังขี้เงี่ยนอยู่อีก ฉายาพ่อมึงชื่ออะไรนะ เควิ่นเดอะดิ้กกิตี้รึเปล่า ฮ่าๆๆ”

    ผลั่วะ!

               หมัดง่อยๆของคีนชกเข้าที่มุมปากผม ถือว่าผมไม่ได้เป็นคนเปิดก็แล้วกันนะ หมัดแรกของผมถูกส่งเข้าไปที่โหนกแก้ม หมัดที่สองที่ปลายคาง และจบท้ายด้วยการเอาเท้าถีบส่งมันออกไปจากห้องนี้ซะ

               “จะเริ่มยัง

               “โอลี่ชิท เจย์นี่ชีวิตมึงผ่านอะไรมาบ้าง”

               “ก็นิดหน่อย” พูดตอบจอห์นนี่แล้วหันไปหาแทยงที่กำลังเช็ดเลือดที่มุมปากผมอยู่อย่างแผ่วเบา“เราไม่เป็นไร”

               “เราไม่ชอบแบบนี้เลยเจย์”แทยงขมวดคิ้วมุ่นตอนที่เห็นว่าเลือดไม่ยอมหลุดไหล

               “มึงไปทำแผลไป เดี๋ยวพวกกูซาวน์เช็ครอ”

               ผมโดนแทยงลากออกมาที่ร้านสะดวกซื้อใกล้ๆ นั่งอยู่ที่ม้านั่งตัวยาวหน้าร้านโดยที่แทยงนั่งยองๆอยู่ที่หว่างขาเพื่อให้ได้เห็นแผลชัดขึ้น เลือดหยุดไหลแล้ว แทยงก็ยังเป็นกังวลอยู่ดี

               “มันไม่เป็นไรจริงๆนะแทยง”

               “เราไม่สบายใจเลยอ่ะ ทายาหน่อยนะ” นักศึกษาเภสัชคนเก่งทำท่าจะลุกเข้าไปในร้านสะดวกซื้อแต่ก็โดนผมดึงแขนไว้ก่อน

               “เราเจ็บเหมือนตอนเจ็บที่ปลายนิ้วเลย รักษาเราหน่อยได้มั้ย”



    #raptjy




               การที่บ้านผมอยู่ใกล้ทุกสิ่งบนโลกนี้ รวมไปถึงมหาลัยชื่อดังของเมืองเลยทำให้ที่นี่เป็นที่นอนเล่นระหว่างรอคาบเรียนของคนบนตัก แทยงมีกุญแจอีกชุดสำหรับเข้าออกเมื่อไหร่เวลาไหนก็ได้

               เราใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันแทบจะตลอดเวลาที่ว่างตรงกัน ผมไปรอรับแทยงที่มหาลัยบ้าง หรือบางทีแทยงก็ไปส่งผมทำงานแล้วรอรับกลับมานอนพร้อมกันในคืนวันศุกร์และเสาร์

               ผมเคยถามถึงเรื่องครอบครัวของแทยง แต่คำตอบคือไม่ต้องไปสนใจ ที่ผ่านมาแทยงถูกเลี้ยงดูมาด้วยเงินเท่านั้น.. ก็ยังดีนะที่มีเงิน.. เราต่างรับรู้เบื้องหลังของกันและกันไปจนถึงเรื่องที่ลึกที่สุดในจิตใจ

               มันอาจจะเป็นความคิดที่น่ากลัว แต่ต่อไปนี้ผมคงอยู่ไม่ได้จริงๆถ้าไม่มีแทยงในชีวิต

               “เจย์กี่โมงแล้ว” แทยงถามขึ้นมาเสียงงัวเงีย

               “อีกสิบนาทีบ่าย

               “ตายล่ะ เราไปเรียนก่อนนะ เดี๋ยวกลับมาหา”

               “อืม” แทยงจูบแก้มผมทั้งสองข้างก่อนจะเดินรีบๆไปที่ประตู

               การมีแทยงเข้ามาทำให้ชีวิตผมเป็นชีวิตมากขึ้น มีจุดมุ่งหมายว่าอยากทำให้คนที่คอยดูอยู่ภูมิใจ ได้เรียนรู้ที่จะทำเพื่อคนอื่นมากขึ้น ผมไม่เคยคิดว่าการให้มันดีตรงไหนเลยเวลาหาเงินก็หามาคนเดียว จนวันที่ผมครึ้มอกครึ้มใจซื้อช่อดอกเดซี่ข้างทางยื่นให้คนที่ไปด้วยกัน รอยยิ้มที่ได้กลับมามันคุ้มค่าจริงๆกับเงินไม่กี่เซนต์ที่เสียไป

               เคยมีวันนึงที่ผมเดินผ่านจุดเกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์ แถมรถเวรที่คว่ำนั่นดันเป็นรถรุ่นเดียวกับผม ตอนนั้นผมฉุกคิดอะไรได้อยู่อย่างนึง จากตอนแรกที่ตั้งใจจะไปหาอะไรกินที่ซับเวย์กลายเป็นว่าเปลี่ยนทิศทางไปที่ธนาคาร ถอนเงินจำนวนเกินครึ่งที่มีแยกไว้อีกบัญชี เขียนพินัยกรรม และทำประกันภัยที่ผู้รับเงินถ้าผมตายไปก็คือไคกับแทยง

               ผมไม่เคยกลัวความตายไม่เคยนึกถึงอนาคตมาก่อนจนมาถึงวันที่มีคนที่อยากดูแล อยากอยู่ด้วยกันไปจนแก่ อยากสร้างครอบครัวด้วยกัน

               ระหว่างที่แทยงไม่อยู่ผมก็ไม่มีอะไรทำมากหรอก สูบบุหรี่ เล่นกีตาร์ไปพลางๆ ตั้งแต่มาอยู่ที่นี่ผมมีเวลามากพอที่จะแต่งทำนองเพลงจนเอามารวมกันเป็นอัลบั้มได้แล้ว วันนี้ตั้งใจจะเริ่มเอาเนื้อร้องมาใส่ในเพลงแรก ให้ตายเถอะ ถ้าบอกว่าแต่งเพลงรักทั้งที่กำลังนึกถึงหน้าแทยงอยู่ด้วยจะดูน้ำเน่าไปมั้ยนะ

               ขี้ยางลบกับขี้บุหรี่มากมายกระจายอยู่เต็มบริเวณบ้านโดยที่เนื้อเพลงก็ยังไม่ลงตัว ผมตัดสินใจหยุดสิ่งที่ทำไว้ก่อนแล้วขึ้นไปอาบน้ำอีกรอบรอเวลาไปทำงานคืนนี้

               ลงมาอีกทีก็พบว่าแทยงกลับมาแล้วและกำลังเก็บกวาดซากอารยะธรรมของผมอยู่

               “แทยง ไม่ต้องทำหรอก เดี๋ยวแม่บ้านก็มาทำ”

               “งั้นเจย์จะรอจนถึงวันอาทิตย์เลยเหรอ เราไม่เอาด้วยหรอก แล้วที่เขี่ยบุหรี่เนี่ย เต็มแล้วก็ไม่เอาไปเท ล้นหมดแล้ว”

               แม้แต่ที่เขี่ยบุหรี่ แทยงยังเป็นคนซื้อมาตั้งไว้ตามจุดต่างๆของบ้านเลย ก่อนหน้านี้ก็ใช้แค่ขวดเหล้าเก่าๆเท่านั้นแหละ ด้วยความที่ปากขวดมันเล็ก เขี่ยลงบ้างไม่ลงบ้างจนแทยงคงทนรำคาญไม่ไหว

               “ขี้บ่น” ผมยืดปากล่างของอีกคนด้วยนิ้วชี้กับนิ้วกลาง

               “ก็มันรกอ่ะ

               “ไม่อยากให้รกก็มาอยู่ด้วยกันดิ มาช่วยเราดูแลบ้านหน่อย”

               “อย่าท้าเรานะเจย์”

               “ไม่เคยท้าเลยครับ”

               “รอแต่งกันก่อนนะ แล้วเราจะไม่ไปไหนเลย:-)”

    -

               ผมขอร้องให้แทยงอยู่ดูผมร้องเพลงแทนที่จะกลับไปนอนรอที่บ้านแล้วออกมารับผมตอนเลิกงานเหมือนสุดสัปดาห์ทั่วไปเพราะอายุยังไม่ถึงเหมือนกันกับผม ที่ผมเจอครั้งแรกนั้นแทยงแอบเข้ามาตอนที่การ์ดเผลอ เพียงเพราะไม่อยากกลับบ้าน

               พาเข้ามาด้วยกันทางหลังร้าน เดินเข้าไปขออนุญาตไค แล้วเลยไปที่ห้องพักนักดนตรีห้องเดิม

               “ไงเจย์” ลูคัสเป็นเพียงคนเดียวที่นั่งอยู่ก่อนหน้าผมจะเข้าไป

               “ไง อ้าว แทยง

               “รู้จักกันเหรอ

               “อ้อ เรียนที่เดียวกันน่ะ” ดีแล้ว ตอนนี้แทยงก็รู้จักคนในวงของผมครบทุกคน ทั้งวงที่ร้าน แล้วก็วงประกวด

               นึกแล้วก็แอบลุ้นอยู่หน่อยๆเหมือนกันเรื่องเดโม่ที่ส่งไป ผมไม่เคยกังวลกับสิ่งที่ทำลงไปอย่างเต็มที่แล้วแต่นี่มันไม่เต็มที่เพราะแผลตึงที่มาจากการโดนต่อย นึกแล้วก็หงุดหงิดอยากจะกลับไปกระทืบมันให้เจ็บหนักมากกว่าเดิม สันดานชั่วของไอ้เหี้ยคีนยังไม่เปลี่ยนไปเลย

               ถึงเวลาที่ต้องขึ้นเวทีแล้ว ผมฝากแทยงไว้กับเซฮุนแฟนของไค กำชับให้ดูแลดีๆ และอย่าปล่อยให้ไปไหนมาไหนคนเดียว ถึงจะเคยเข้ามาในนี้แล้วแต่ก็ยังไม่ใช่ที่ที่น่าไว้วางใจอยู่ดี

               เราเล่นเพลงตามลิสต์ และบางเพลงที่ลูกค้าขอจบไปแล้ว ใกล้ถึงเวลาที่ร้านปิด คนส่วนใหญ่ทยอยพากันออกไปต่อที่โซนผับอีกฝั่งนึงของเมือง

               บนเวทีเหลือแค่ผมคนเดียวกับคนจำนวนประปราย

               เนื้อเพลงสองท่อนที่ผมนั่งงมเมื่อเช้ากำลังจะถูกร้องออกมาเป็นครั้งแรก ให้กับคนที่มีความหมายที่สุดในชีวิตของผมในตอนนี้

               “this is for you, t”

    When I said 'I can see me in your eyes',

    You said 'I can see you in my bed',

    That's not just friendship that's romance too,

    You like music we can dance to,

               ผมไม่ได้ละสายตาไปจากแทยงเลยแม้แต่วินาทีเดียว ดวงตาที่มองมานั้นมีน้ำใสเคลือบอยู่มากกว่าปกติจนสะท้อนกับแสงไฟจากเวที

    Sit me down,

    Shut me up,

    I'll calm down,

    And I'll get along with you

    ร้องจบแล้ว ผมเดินลงบันไดตรงไปหาแทยงที่จะร้องไห้แหล่ไม่ร้องแหล่อยู่ข้างเวที

    “เนื้อเพลงคุ้นๆเนอะ”ผมคิดว่าแทยงคงจะเห็นกระดาษยับๆอยู่ตรงกองที่เก็บกวาดเมื่อเช้านั่นแหละ

    “อืม ขนาดออกไปเรียนแป๊ปเดียวเรายังคิดถึงจนแต่งเพลงให้ได้ตั้งสองท่อนแน่ะ”

    “’งั้นเราไม่อยู่สักอาทิตย์เจย์ก็แต่งเพลงได้เป็นอัลบั้มเลยดิ”

    “อย่าคิดจะลองเชียว”

    ริมฝีปากเราเคลื่อนเข้าหากันโดยอัตโนมัติ ครั้งนี้แทยงเป็นคนสอดมือเข้ามาในกลุ่มผมของผมให้ใบหน้าของเราแนบแน่นกันยิ่งขึ้น ลิ้นเล็กเกี่ยวกระหวัดกับอวัยวะเดียวกันเนิบๆ

    มือของผมลูบเบาๆที่สะโพกบางของคนรัก ส่วนริมฝีปากก็ยังทำหน้าที่ของมันอย่างดี

    “เฮ้ยๆ พนักงานเค้าจะเก็บร้าน มึงจะทำอะไรก็ไปทำที่บ้าน!”เสียงไคตะโกนออกมาจากหลังร้านทำให้เราผละออกจากกันแทบจะทันที

    หันมาหัวเราะให้กันเบาๆแล้วก็เป็นผมที่ลากแทยงไปที่ลานจอดรถ

               “อายเค้าอ่ะ

               “อายทำไม คนเยอะแยะ”

               “เจย์!” แทยงฟาดมือมาที่ต้นแขนผมจนเกิดเสียงดัง

               “ฮ่าๆๆๆ โอ้ย แทยง เราเจ็บ”

               “ดี เจ็บซะบ้าง”พูดจบแล้วก็ปลดล็อครถแล้วเดินอ้อมไปขึ้นรถฝั่งคนขับ

               แทยงมักจะเป็นห่วงว่าผมจะเหนื่อยเกินไปเสมอ ถึงได้คอยรับส่งทุกครั้งที่พอจะมีเวลา ทั้งๆที่การเรียนของตัวเองก็ไม่ได้เบาไปกว่ากันเลย

               “แวะกินอะไรก่อนมั้ย”

               “มิลค์เชค

               “หืม”     

               “ทำไมอ่ะ

               “เจย์คนที่แต่งตัวด้วยชุดสีดำทั้งตัว ในตู้เย็นมีแต่เบียร์ สูบบุหรี่จัดจนคิดว่าเป็นปล่องควันเคลื่อนที่เพิ่งบอกเราว่าอยากกินมิลค์เชค”

               “ก็ให้เรามีมุมน่ารักบ้างดิ”แทยงฉีกยิ้มกว้างแล้วเอื้อมมือมาหยิกแก้มผมเบาๆ

               “วันนี้เป็นเด็กชายเจย์เหรอครับ”

               “เราจะเป็นอะไรก็ได้ที่แทยงอยากให้เป็น”

               “งั้นก็เป็นคนดีของเราตลอดไปเลยนะ”

               “เราสัญญา” แกะมือของอีกคนจากข้างแกมตัวเองออกมา แล้วประทับจูบลงไปบนหลังมือผะแผ่ว

               เกือบจะจูบกันอีกครั้งถ้าไม่โดนรถคันหลังบีบแตรไล่เพราะสัญญาณไฟเปลี่ยนเป็นสีเขียวแล้ว

               “ทำไมแค่จะจูบมันถึงชอบมีอุปสรรคนักนะ”ผมแกล้งบ่นออกมาเบาๆ

               “ฮ่าๆเจย์ อดทนไว้ก่อนนะ”

               “…”

               “ถ้าถึงบ้านแล้วเราจะให้จูบเท่าที่ต้องการเลย”

               “นานขนาดนั้น แค่จูบไม่ไหวหรอก”

               “whatever you want baby”

               ยกเลิกการเกินมิลค์เชคแล้วกลับบ้านไปกินแทยงแทนดีว่าเนอะแบบนี้



    #raptjy




               ‘เจย์โว้ย เราผ่านรอบเดโม่’ข้อความแรกของวันจากจอห์นนี่ทำให้ผมใจเต้นไม่เป็นส่ำ จากที่ปลงจิตไปแล้วกลายเป็นว่าสร้างความให้ตัวเองอีกครั้ง

               แน่นอนว่าคนที่ผมคิดถึงเป็นคนแรกคือแทยง กำลังใจเดียวในชีวิต และไค พี่ชายของผม

               ต่อสายหาแทยงเป็นคนแรกทั้งที่รู้ว่าอีกฝ่ายอยู่ในแลป แต่ผมรอให้นานกว่านี้ไม่ได้แล้วจริงๆ แทยงกระซิบตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงดีใจแล้วบอกว่าจะรีบมาหาทันทีที่เลิกเรียน

               คนต่อไปคือไค รายนี้ไม่ต้องโทรหรอก เดินไปบอกถึงที่เลยดีกว่า

    ก๊อกๆ ก๊อกๆ

               โค้ดเคาะประตูแบบเดิมถูกนำมาใช้อีกครั้ง

               ‘เปิดเลย กูไม่ได้ล้อค!’ ไคตะโกนผ่านประตูไม้ออกมา

               “ไค ผมมีเรื่องจะบอก” เริ่มพูดทันทีที่ประตูหน้าบ้านถูกปิดลง

               “ว่าไง” ไคที่กำลังง่วนอยู่กับการทำบัญชีร้านเงยหน้าขึ้นมาคุยกับผม ลุคนี้แปลกดีเหมือนกัน เป็นตาแก่ที่ต้องใส่แว่นเวลาทำงานเอกสารแล้วเหรอเนี่ย

               “เดโม่ผ่านนะ

               “ดีแล้วเจย์ กูรู้ว่ามึงทำได้”

               ผมได้นั่งคุยกับไคต่ออีกนิดหน่อยเรื่องของงานที่ร้าน ถ้าเกิดไปออดิชั่นรอบสดผ่าน นั่นแปลว่าผมต้องเซ็นสัญญาเป็นศิลปินและจะมาทำงานที่ร้านได้ไม่ประจำเท่าเดิม แต่ไคก็ยังเป็นไค ไคที่ไม่เคยคิดจะถ่วงความเจริญของผม เพียงแต่ขอให้กลับมาเล่นที่ร้านบ้าง แล้วก็ยังบอกอีกว่าคิดถูกจริงๆที่หาบ้านไว้ให้ ไม่งั้นผมก็เกือบจะล่องลอยไปที่อื่นอีกแล้ว

               ในกรุ๊ปแชทของวงมีการเคลื่อนไวมากมายเกี่ยวกับไอเดียเพลงใหม่ที่จะเอาไปออดิชั่น..เหลืออีกด่านเดียวเท่านั้น ถ้าได้ก็ดี ถ้าไม่ได้ผมก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไรอยู่แล้ว เพียงแต่ยังต้องเล่นดนตรีที่เป็นของคนอื่น วงอื่นต่อไป  คนที่หวังไว้มากที่สุดก็คงจะเป็นโดยองที่อยากหลุดพ้นจากบ่วงงานประจำค่าตอบแทนต่ำคุณภาพชีวิตต่ำ

               แต่จะว่าไปจอห์นนี่ก็คงไม่แพ้กัน คนที่โดนตราหน้าว่าเป็นขยะสังคม เป็นเด็กเวรเด็กเหลือขอก็คงอยากจะพิสูจน์ตัวเองใจจะขาด ส่วนยูตะคือคนที่ชิลที่ประมาณผมเลย ไม่ได้ก็ทำงานที่ร้านไคต่อไป อีซี่ๆ

               แทยงไขประตูเข้าบ้านมาพร้อมกับถุงช้อปปิ้งใบใหญ่ วางของไว้ที่เคาน์เตอร์ครัว โถมตัวเข้ากอดผมแน่น แล้วพร่ำบอกว่าดีใจด้วยจริงๆ

               ภายในถุงที่หอบเข้ามามีแชมเปญขวดใหญ่กับribs และ สเต็กเนื้ออย่างดีจากภัตตาคารดังบรรจุอยู่ แทยงบอกว่ามันคือการฉลองให้ผม งานฉลองเล็กๆของเราสองคน

               ดีจริงๆที่ร้านไคปิดทุกวันจันทร์ เพราะแบบนั้นวันนี้เราถึงได้ใช้เวลาร่วมกันทั้งคืน แทยงนั่งคร่อมอยู่บนตัก แขนโอบรัดรอบคอผมไว้ กำลังอ่านเท็กซ์ที่จะใช้สอบในอีกสองวันถัดไป มือซ้ายของผมที่กอดเอวแทยงอยู่ก็คีบบุหรี่ยี่ห้อโปรดไปด้วย อีกมือหนึ่งมีดินสอไม้แท่งเก่าที่กำลังขีดเขียนเนื้อเพลงใหม่อยู่          

               ไหล่ของแทยงเป็นที่วางคางอย่างดีของผม ถึงแม้ว่าควันบุหรี่จะทำให้อีกคนหัวเหม็น แต่แทยงก็ยังยืนยันจะนั่งแบบนี้เพราะบอกว่าเป็นท่าที่สบายที่สุด

               “เจย์เราไม่อยากอ่านแล้ว”รู้สึกได้ถึงการขยับหัวลงมาซุกกับต้นคอผมไว้

               “คิดว่าทันมั้ย

               “อืม ใกล้จบแล้ว

               “งั้นพอก่อน

               “แต่เราจะไม่ลุกไปไหนหรอกนะ”แทยงพูดพลางขยับขามารัดเอวผมเป็นท่าลูกลิง

    จุ้บ

               ผมขยับหัวไปจูบแก้มคนบนร่างเบาๆ

               “ทำไมขี้อ้อนแบบนี้”

               “เพราะว่าเจย์เป็นคนที่เราอยากอ้อนไง”


    -


               วันที่ต้องออดิชั่นสดมาถึง เราใช้รถแทยงในการขนของเหมือนเดิม โดยองที่ลางานมากังวลมาก นั่งเอามือถูกันมาตั้งแต่ขึ้นมานั่งบนรถ ยูตะชิลๆพูดมากเหมือนเดิม จอห์นนี่ก็นั่งเงียบมาตลอดทาง เหมือนกำลังใช้ความคิด

               ส่วนตัวผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าต้องรู้สึกยังไง แต่มันก็เป็นอะไรที่จะไม่แอบหวังนิดๆไม่ได้เลย นี่จะเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในชีวิตอีกหรือเปล่า แต่ไม่ว่าจะด้วยการเปลี่ยนแปลงไหนมันก็ไม่ดีเท่าการมีคนข้างๆที่ดีขนาดนี้เข้ามาในชีวิต

               มีวงที่มารอออดิชั่นในรอบนี้ไม่มาก ดูๆแล้วน่าจะไม่ถึงสิบด้วยซ้ำ แต่ละวงล้วนเป็นคู่แข่งที่น่ากลัว บางวงก็ดังมากๆอยู่แล้วในวงการเพลงใต้ดิน บางวงก็ขนเอฟเฟ็กต์ที่ราคาน่าขนลุกมาเต็มกระเป๋า และทีมสุดท้ายที่เหลือบไปเห็นก็คือวงกระจอกๆของคนกระจอกๆของไอ้คีนแฝดนรก

               มันมองผมด้วยสายตาเหยียดหยามที่ต้องการให้รู้ตัว ไม่รู้เหมือนกันว่าใครต้องสมเพชใครกันแน่ระหว่างผมที่ตอนนี้มีทั้งเงิน ทั้งคนรักที่ดี และวงที่เป็นเพื่อนกัน ไม่ใช่ความสัมพันธ์แบบหัวหน้ากับลูกน้อง กับมันที่สถาบันครอบครัวล้มเหลว น้องแฝดก็ใจแตก พ่อก็เริ่มเอาเงินที่มีไปเลี้ยงเมียน้อย ใครกันนะ ที่มีปมด้อย

                

               แทยงคว้าแขนผมไว้แล้วลูบเบาๆเป็นเชิงบอกให้ใจเย็นๆ ผมก็คิดแบบนั้นแหละ เอาพิมเสนไปแลกกับเกลือ ไม่คุ้มค่าเลยสักนิด

               วงแล้ววงเล่าที่ผ่านไป แต่ละคนออกมาด้วยสีหน้าเฉยๆที่ไม่อาจคาดเดาได้ว่ามันคือข่าวดีหรือร้าย จนถึงคิวของวงพวกเรา โดยองโดนยูตะตบหัวไปฉาดใหญ่เพื่อเรียกสติก่อนที่เราจะล่มกันหมดเพราะความตื่นเต้นเกินเหตุของมือคีย์บอร์ด

               หนึ่งในกรรมการคือนักดนตรีชื่อดังที่ผมติดตามผลงานมาตั้งแต่เด็ก ไม่ผ่านก็ไม่เป็นไร ได้เจอแค่นี้ก็คุ้มแล้ว หลังจากซาวน์เช็คเสร็จ ก็ถึงเวลาเล่นจริง

               หนึ่งในเดโม่ที่ผมแต่งไว้เล่นๆถูกนำมาใช้จริงโดยการช่วยกันเกลาจนสมบูรณ์แบบจากการสุมหัวของทุกคนในวง

               I know I'm fucking moody

               And I know I'm quite unkind

               I know I'm kinda of distant

               But you're always on my mind


               เริ่มมีการขยับหัวตามทำนองเพลง และมีเสียงกระดาษพลิกอ่านเนื้อเพลง


               And you will imply that I am apathetic

               Right to the bone

               ,

               And I don't wanna let it go

               You know I'm not a weirdo, no

               I don't wanna let it go

               You know I'm not a weirdo

               (the vaccines - weirdo)

             

      “พอ”กรรมการคนนึงพูดขึ้นทั้งๆที่ยังเล่นได้ไม่ถึงครึ่งเพลงด้วยซ้ำ

               ทั้งวงมองหน้ากันเลิ่กลั่ก นั่นมันแย่ถึงกับทนฟังไม่ได้เลยเหรอ เกินความเงียบขึ้นร่วมนาที ผมไม่กล้าแม้แต่จะปล่อยมือออกจากกีต้าร์ให้เกิดเสียงดัง หายใจยังต้องค่อยๆเลย ให้ตาย

               “เซ็นเลยห้ะ

               “ครับ?”

               “เซ็นสัญญาเลย” คนที่ดูอาวุโสที่สุดในห้องพูดขึ้น พระเจ้า นี่ผมหูฝาดไปหรือเปล่าวะ

               ในห้องที่แอร์เย็นเฉียบกว่าปกติกับกระดาษเอสี่อีกสองสามแผ่นตรงหน้าทำให้รู้ว่าเราไม่ได้กำลังฝันอยู่ ส่วนแบ่ง 50:50 ระหว่างค่ายและวงเป็นตัวเลขที่เยอะจนเหลือเชื่อ

               “ทัวร์โปรโมตในประเทศต่อโซนยุโรปทันทีที่มินิอัลบั้มเสร็จ ถ้าการตอบรับดีก็ไปเอเชียในไตรมาสสุดท้ายของปี”

               พระเจ้า ผมเห็นลางของการทำงานจนหัวหมุน นี่เราเพิ่งเริ่มต้นไม่ใช่เหรอ ทำไมวางแผนกันไกลขนาดนั้น หรือเป็นผมเองที่ไม่เคยใช้ชีวิตมีแบบมีแผนมาก่อนเลยไม่ชิน

               “ถ้าตกลงก็ตามนี้”

               “เอ่อ ผมขอปรึกษากันก่อนนะครับ”

               ออกมาจากห้องเย็นนั่นแล้ว ยูตะเป็นคนเปิดฉากบ่นออกมาคนแรก

               “ตารางแน่นเหี้ย กูจะเอาเวลาตรงไหนไปนอน”

               “แต่โอกาสก็มาอยู่ตรงหน้าแล้วนะ”โดยอง

               “เออ เห็นตัวเงินแล้วก็ขนลุก โชว์ครั้งเดียวได้มากกว่าที่กูหามาครึ่งปี”จอห์นนี่

               ผมไม่ได้ร่วมพูดอะไร แต่หันไปถามความเห็นแทยงทางสายตา แล้วก็ได้รับการพยักหน้ากลับมา

               “ถ้ามึงเอากูก็เอาอ่ะ”

               “เออ ก็ลองดู สองปีเอง ถ้าไม่ใช่ k’sก็ยังต้อนรับเราอยู่ มั้ยวะ ฮ่าๆ”

               นี่เป็นการตัดสินใจครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดและจะเปลี่ยนทางเดินชีวิตของผมไปตลอดกาล



    #raptjy



               การเตรียมตัวเป็นไปอย่างเข้มข้น อีกไม่กี่วันซิงเกิลแรกของพวกเราก็จะถูกปล่อยออกมา หลังจากนั้นพวกเราจำเป็นที่จะต้องมีผู้จัดการส่วนตัว เพื่อเป็นคนคอยประสานงานและจัดตารางงาน

               คนที่ทางค่ายเห็นสมควรให้มารับหน้าที่นี้คือฝรั่งร่างใหญ่คนหนึ่งชื่อว่าไมค์ เนื่องจากเราเป็นวงร็อค เน้นเล่นกลางคืนและโนเซนเซอร์ คนที่จะมาเป็นผู้จัดการได้ก็ต้องมีสกิลของความเป็น security guard อยู่ด้วยพอสมควร

               ทัวร์แรกที่พวกเราจะเริ่มโปรโมทคือแต่ละรัฐของอเมริกา อเมริกามีห้าสิบรัฐพวกเราก็ล่อไปซะ45แล้ว ไม่รู้จะเจาะตลาดกลุ่มไหนหรือยังไงก็ไม่รู้ก็เลยเอาแม่งทั้งหมด

               จะไม่มีการกลับมาพักที่บ้านตัวเองอีกเป็นเวลาหลายเดือน ซึ่งนั่นก็แปลว่าไม่มีการไปทำงานที่ร้านไค และจะไม่ได้เจอแทยง นั่นคือสิ่งที่ผมไม่ชอบใจเลย

               “เราไม่อยากไปนานขนาดนั้นเลย”

               “มันเป็นงานนะเจย์”

               “แทยงจะเข้าใจเราใช่มั้ย”

               “เราเข้าใจ

               “แล้วแทยงจะคิดถึงเรามั้ย”

               “เราไม่เคยไม่คิดถึงเจย์เลย”

               ยังไม่พอ.. ผมรู้สึกว่าคำพูดแค่นี้ไม่ได้หนักแน่นพอที่จะทำให้ผมเชื่อว่าเรารักกันมากพอ ถ้าผมกลับมาแล้วแทยงไม่อยู่แล้วผมจะทำยังไง

               “แทยง

               “หืม

               “แต่งงานกันมั้ย

               “เฮ้ย เจย์ล้อเล่นเหรอ เรายังเรียนไม่จบเลยนะ”

               “เราไม่ได้ล้อเล่น” แต่ว่ารัก.. รักจนปล่อยให้ไปไหนไม่ได้อีกแล้ว

               “ลองทบทวนดูก่อนมั้ย พวกเรายังเด็กกันอยู่เลย แต่ถ้าคิดว่ายังไงก็อยากแต่งเราก็จะแต่..”

               “แต่ง เราอยากแต่งงานกับแทยง”

               ผมคิดว่าผมใช้ชีวิตของการเป็นผู้ใหญ่มานานมากพอที่จะเริ่มชีวิตคู่ได้แล้ว อยากไปทำงานแล้วกลับบ้านมาเพื่อเจอภรรยาที่รักรออยู่ กินข้าวเย็น เล่าเรื่องที่เจอมาทั้งวันให้กันฟัง คงจะดีไม่น้อยเลย

               “ขอเราดีๆอีกสักทีได้มั้ย”

               ผมคุกเข่าลงไปตรงหน้าคนรัก ใช้สองมือประคองมือซ้ายของอีกคนขึ้นมา เงยหน้ามองด้วยสายตาเว้าวอน

               “will you marry me?”

               “I do”

    -

               “มึงต้องล้อกูเล่นแน่ๆเจย์”

               ไคตกใจจนนั่งไม่ติดเก้าอี้หลังจากที่ผมมาคุยเรื่องขอเหมาร้านเพื่อใช้เป็นสถานที่แต่งงาน

               “ผมเปล่า

               “มึงคิดดีแล้วเหรอ”

               “ไม่เคยมั่นใจอะไรเท่านี้เลย”

               “มึงยังเด็ก

               “ก็แค่อายุ ไคก็รู้”

               “แล้วเมียมึงล่ะ ไหนจะที่บ้านเค้า”

               “แทยงโอเค ทุกคนโอเค เหลือแต่ไคที่ลีลาไม่ยอมให้ผมใช้ร้านสักทีเนี่ย”

               “กูเคยไม่ให้อะไรมึงหรือไง จะแต่งวันไหน”

               “พรุ่งนี้เลย

               “กูล่ะปวดหัวจริงๆ”


    -


               งานแต่งงานเล็กๆของผมกับแทยงเกิดขึ้นในผับที่คลอไปด้วยเสียงดนตรีร็อค ส่วนคนที่ได้รับเชิญก็คือไค เซฮุน เพื่อนร่วมวง และพนักงานฝ่ายอื่นๆเท่านั้น

               ผมไม่มีญาติที่ไหนอีกแล้ว ส่วนแทยง..มีก็เหมือนไม่มี

               ไม่มีการสัญญา ไม่มีการสาบานต่อหน้าพระเจ้า ทว่าสายตาของเราทั้งคู่ที่สอดประสานกันก็สื่อความหมายได้เป็นอย่างดีว่ารักและเทิดทูนอีกฝ่ายมากแค่ไหน

               “เอาล่ะครับเจ้าบ่าว สวมแหวนให้เจ้าสาวได้” ไคที่เป็นพิธีกรพูดขึ้น

               “เชย” ผมขยับปากแล้วขยิบตาให้ไคก่อนจะดึงสร้อยทองคำขาวออกมาจากกระเป๋าเสื้อ

               “แล้วแต่มึงครับ!” เจ้าของร้านที่ผมรักแกล้งพูดขึ้นเสียงเรียกเสียงหัวเราะได้เป็นการใหญ่

               ผมเดินไปแย่งไมค์ออกจากมือไคแล้วเคาะเพื่อเทสต์เสียงเล็กน้อย

               “ไง” ได้รับการตอบรับเป็นเสียงโห่แซวจากคนด้านล้างเวที “ไม่ได้จะขอบคุณที่มา แต่จะอธิบายว่าทำไมให้สร้อย”

               “เจ้าสาวของกูชอบทำความสะอาด แทยงจะเช็ดถูปัดกวาดนู่นนี่ทุกครั้งที่มีโอกาส จนหลังๆไม่เหลืองานอะไรให้แม่บ้านทำแล้ว” ผมพูดพลางจ้องใบหน้าขี้เขินของแทยง “เจ้าสาวของกูเรียนคณะเภสัช ที่มีการเข้าแลปเคมีอะไรสักอย่างที่กูไม่เข้าใจ เวลาทำความสะอาด แทยงก็ต้องถอดแหวน หรือทำแลป ถ้ามีแหวนก็คงไม่สะดวก แต่กูเองก็อยากให้ของชิ้นนี้มันอยู่กับแทยงทุกที่ ทุกเวลาแบบไม่น่ารำคาญใจ.. ก็เลยเป็นสร้อย”

               “ก็ไม่คิดมาก่อนนะครับว่าเด็กกรังๆที่ผมเลี้ยงมาตั้งแต่เด็กจะมีมุมน้ำเน่าแบบนี้ด้วย” ไคพูดล้อ “อ่ะ สวมสร้อยได้”

               พิธีโง่ๆบนเวทีได้จบลงตรงที่แขกทุกคนเมาเป็นหมา ไม่หลงเหลือสภาพตอนปกติเลยแม้แต่คนเดียว ขนาดไคที่ว่าคอแข็งก็ยังต้องให้เซฮุนเป็นคนแบกกลับบ้าน

               

               เราออกทางหลังร้านเหมือนเดิม ขึ้นฟอร์ดมัสแตงคันเดิม ขับรถกลับบ้านตามทางเดิมๆ.. ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าในขณะที่ทุกอย่าเป็นไปตามปกติ แต่สถานะของผมกับแทยงขยับไปอยู่ที่ขั้นบอสของความสัมพันธ์แล้ว

               “เจย์

               “หืม

               “เราจะกลับบ้านกันเหรอ”

               “อืม มีอะไรหรือเปล่า”

               “ก็.. เปล่า ไม่มีอะไร

               แทยงยังคงนั่งเงียบแล้วมองตรงไปข้างหน้าเหมือนกำลังคิดอะไรอยู่

               “คิดอะไรอยู่ บอกเราได้มั้ย” ผมพูดพลางขยับมือขวาที่เคยใช้บังคับเกียร์รถไปวางไว้ที่ตักของคนรัก

               แทยงใช้ทั้งสองมือคว้าเข้าเข้าที่อวัยวะเดียวกันของผม แล้วบีบๆคลายๆเล่นอยู่แบบนั้น

               “ก็แบบ.. วันนี้วันแต่งงาน”

               “อื้อ

               “มันก็..”

               “น่าจะมีอะไรพิเศษ?”

               “อื้อ แบบนั้นแหละ

               

               ผมหมุนพวงมาลัยอย่างแรงเพื่อกลับรถจนแทยงต้องโผมาจับเข้าที่แขนของผมพร้อมกับดวงตาที่เบิกกว้างอย่างตกใจ

               “เปลี่ยนบรรยากาศไง” ประทับริมฝีปากลงบนมือผอมของอีกคนแล้วเริ่มต้นเหยียบคันเร่งอีกครั้งเมื่อเห็นว่าสัญญาณไฟจราจรเปลี่ยนเป็นสีเขียว

               โรงแรมหรูใจกลางเมืองที่ผมไม่คิดจะไปเหยียบเป็นจุดหมายของค่ำคืนนี้ บทรักของเราเริ่มต้นตั้งแต่เดินเข้าลิฟท์ ผมดันให้แผ่นหลังของแทยงติดเข้ากับผนังด้านใน แล้วทาบตัวเองแนบกับอีกฝ่าย พรมจูบตั้งแต่ขมับเปลือกตาปลายจมูกจนถึงริมฝีปาก

               ลิฟท์เปิดออกก่อนถึงชั้นที่ต้องการ

    ผมมองเห็นสายตาของผู้มาใหม่ผ่านเงาสะท้อนของผนังลิฟท์ มันดูไม่เป็นมิตรนัก อาจจะเพราะว่าเราทำอะไรกันประเจิดประเจ้อ หรืออาจจะเป็นอีกสาเหตุคือเราต่างก็เป็นผู้ชายด้วยกันทั้งคู่ แต่ใครจะสนกันล่ะ ผมชูนิ้วนางด้านซ้ายที่มีแหวนแต่งงานของเราอยู่ไปที่ไอ้แก่หัวล้านทั้งที่ริมฝีปากไม่ได้ผละออกจากอวัยวะเดียวกันของภรรยาจนมันต้องส่ายหัวออกมาอย่างไม่พอใจแล้วกดลิฟท์ให้เปิดออกในชั้นถัดไป

               

               “เจย์ นิสัยไม่ดี” แทยงพูดทั้งที่ตัวเองก็ยังหัวเราะคิกคักอยู่แท้ๆ

               “อือ เราก็ดีกับแทยงแค่คนเดียวไง”




    #raptjy



               “ชุดนอน

               “เอามาแล้ว

               “ถุงเท้า?”

               “เรียบร้อยครับ

               “ยาแก้หวัดล่ะ

               “ไมค์น่าจะมี

               “แล้ว..”

               “เราเอามาหมดแล้ว แทยงก็เช็คไปแล้วทีนึงนี่”

               “แต่เราเป็นห่วง ตั้งสองเดือนเลยนะเจย์”

               “เราไปทำงาน เข้าใจเราใช่มั้ย”

               “เข้าใจ แต่เป็นห่วงไง ต้องดูแลตัวเองดีๆรู้ใช่ไหม เรามีเจย์คนเดียวนะ” แทยงผละออกจากกองเสื้อผ้าของผมแล้วเปลี่ยนมานั่งซุกอยู่ที่ตักของเจ้าของมันแทน

               “แทยงตัวหอม” ผมพูดพลางสูดดมไปทั่วร่างกายของคนบนตัก

               “เจย์ก็หอม” แทยงทำแบบเดียวกัน “เราต้องคิดถึงกลิ่นเจย์มากแน่ๆเลย”

               “ให้ตายเหอะแทยง เราเริ่มไม่อยากไปแล้ว”

               “เพราะเรารึเปล่า ขอโทษนะ ไม่ได้ตั้งใจให้เป็นแบบนั้นเลย” แทยงก็ยังเป็นแทยงที่แสนดี และเข้าอกเข้าใจกันอยู่เสมอ

               “มันเป็นเพราะเราเองก็ไม่อยากห่างแทยงต่างหาก” ผมกระชับกอดให้แน่นขึ้น “แต่ยังไงก็ต้องไปอยู่ดี”

               “อื้อ

               “แทยงก็ตั้งใจเรียนนะ ถ้าเรียนจบแล้วจะได้มาเป็นแม่บ้านแบบเต็มเวลาให้เจย์”

               “เฮ้ย เราก็ต้องทำงานดิ”

               “ฝันไปเลย ไม่มีวันนั้นหรอก เราไม่ยอม”

               “เจย์ เราเรียนมาหนักนะ ขอเราใช้ความรู้หน่อยได้รึเปล่า”

               “งั้นก็เป็นเภสัชประจำวงเรา”

               “ฮ่าๆ เพ้อเจ้อ วงดนตรีที่ไหนเขามีเภสัชกรของวงกัน”

               “วงนี้แหละ

               พลิกตัวแทยงลงบนโซฟาตัวใหญ่อย่างไม่อยากที่จะต่อล้อต่อเถียงกับคนใต้ร่างอีกต่อไป เหลือบมองนาฬิกาก็พบว่าอีกไม่เกินครึ่งชั่วโมงรถจากบริษัทก็จะมารับแล้ว และแน่นอนว่าเราทำอะไรๆแบบนั้นไม่ทัน การปล้ำจูบเนื้อนิ่มๆของแทยงจนขึ้นสีแดงระเรื่อไปทั่วร่างกายจึงเป็นคำตอบสุดท้าย

               ผมถอนหายใจอย่างหงุดหงิดเพราะเสียงโทรศัพท์ที่แผดเสียงลั่นเป็นรอบที่สาม โอเค ผมยอมแพ้ ลุกขึ้นหยิบโทรศัพท์กับกระเป๋าเงินยัดเข้าไปในกระเป๋าหลังของกางเกง ลากกระเป๋าเดินทางใบโตไปที่ประตูบ้าน ส่วนอีกมือก็จับจูงแทยงให้เดินไปด้วยกัน

               “โอ้ย มันจะห่างกันไม่ได้เลยหรือไง!” ยูตะโห่แซวพร้อมกับหัวของมันที่โผล่ออกมาจากช่องซันรูฟ

               “เราไปนะ

               “อื้อ ตั้งใจนะ เราดีใจด้วย มากๆเลย”

               “ตั้งใจเรียนนะ

               “อื้อ

               “แทยง

               “หือ

               “รักนะ

               “เราก็รักเจย์


    -


               แล้วก็เป็นไปอย่างที่คิด การทำเพลงและออกทัวร์ไกลๆ เหนื่อยกว่าที่คิดหลายเท่า เพราะว่าเดินทางด้วยรถยนต์ก็เลยใช้เวลานานในการเดินทาง กว่าจะถึงที่หมายก็เหลือเวลาอีกแค่สิบนาทีในการยัดเบอร์เกอร์เข้าปากแล้ววิ่งขึ้นเวทีไปซาวน์เช็ค ร่างกายผมล้าไปหมด

               มันเป็นแบบนี้อยู่หลายต่อหลายครั้งจนผมโมโหในการตัดสินใจของตัวเอง ชีวิตผมไม่ได้ลำบากมากถึงกับต้องมาทำงานตัวเป็นเกลียวหัวเป็นน็อตกลับโรงแรมทีก็หมดแรงจนแทบสลบ แล้วก็เป็นแบบนี้วนลูปไปเรื่อยๆอยู่แบบนี้

               จากความฝัน ตอนนี้มันกลายเป็นความรับผิดชอบและความจำเป็น เพราะโดยองลาออกจากงานประจำและหันมาทำวงอย่างเต็มตัว จอห์นนี่ก็ดูจะมีความสุขกับการงานแล้วก็ค่าตอบแทนที่ได้รับ ฐานแฟนคลับที่เพิ่มขึ้น แถมยังมีสัญญาที่ค้ำคอ ซึ่งนั่นก็แปลว่ามันยุบไม่ได้ ผมตัดสินใจอะไรตามที่ตัวเองคิดไม่ได้เลยสักอย่าง

               ผมได้คุยกับแทยงทางโทรศัพท์วันละไม่กี่ประโยค แต่ก็พูดถึงเสมอในตอนที่ยกเอาเพลงที่แต่งให้แทยงขึ้นมาร้องในคอนเสิร์ต

               ไม่มีใครหน้าไหนไม่รู้ทั้งนั้นแหละว่าฟร้อนท์แมนของวงtrashesแต่งงานแล้ว


    -


               ผมออกมานั่งดื่มคนเดียวที่บาร์ของโรงแรมหลังจากที่วางสายจากแทยงไปได้ไม่ถึงสิบนาที ถึงแม้ว่าแค่เหล้ากับบุหรี่จะไม่ได้ช่วยให้ผมรู้สึกดีขึ้นเลยก็ตาม แต่ตราบใดที่ในวันพรุ่งนี้ยังมีตารางงานของวงอยู่ ผมก็คงยังจะใช้ผงสีขาวหรือใบสีเขียวไม่ได้จากการสั่งห้ามเด็กขาดของไมค์

               เพราะผมเคยใช้โค้กจนน็อคก่อนขึ้นร้องเพลงสี่ชั่วโมงมาแล้ว

               เหล้าช็อตสีแปลกตาถูกดันมาวางตรงหน้าด้วยผีมือของคนที่นั่งตรงเก้าอี้ตัวข้างๆกันตรงเคาน์เตอร์บาร์

               “แบบนั้นขมแย่เลย ลองเปลี่ยนบ้างมั้ยครับ” รอยยิ้มของคนแปลกหน้าสดใสเปล่งประกายในห้องมืดสลัวที่คละคลุ้งไปด้วยควันบุหรี่

               ผมไม่ได้พูดอะไร ได้แต่ยกยิ้มบางๆที่อาจจะเป็นรอยยิ้มที่กว้างที่สุดในรอบเดือนกลับไปแล้วกระดกน้ำสีสดใสนั่นหมดแก้วภายในครั้งเดียว

               “คุณใช่เจย์ไหมครับ?”

               “หืม รู้จักด้วยเหรอ”

               “ฮ่าๆ ก็ดังแล้วนะครับ” ผมแค่ไม่คิดว่าคนหน้าหวานแบบนี้จะมารู้จักวงแนวนี้ต่างหาก

               “อ่อ

               “ผมเตนล์นะครับ ตามประวัติก็น่าจะแก่กว่าคุณไปปีนึง”

               “...”

               “เอ่อ อย่าเข้าใจผิดนะครับ” พี่เตนล์ส่ายมือเป็นพัลวัน “คือผมเป็นนักข่าวน่ะครับ จริงๆแล้วที่จะมีสัมภาษณ์พรุ่งนี้ผมก็เป็นคนรับผิดชอบ ก็เลยต้องทำการบ้านมานิดหน่อย”

               “ผมก็ยังไม่ทันได้ว่าอะไรเลย”

               “ก็นายหรี่ตาจับผิด! อุ้บ” คนขี้โวยวายชะงักไปเล็กน้อย “ก็คุณ..”

               “เรียกแบบที่พี่สะดวกก็ได้ครับ ไหนๆก็ดื่มด้วยกันแล้ว”

               ความสดใสที่แผ่ออกมาทำให้ผมยิ้มมากกว่าที่เคยเป็น อาจจะเพราะเมา อาจจะเพราะเหงา หรืออะไรสักอย่างผมก็ไม่รู้เหมือนกัน

    แว๊บหนึ่งที่ผมเห็นพี่เตนล์เป็นแทยง แล้วภาพก็ตัดมาเป็นพี่เตนล์เหมือนเดิม นั่นทำให้รู้ว่าตัวเองเริ่มเมาและควรออกไปจากตรงนี้

               “ผมว่าผมควรไป..”

               “จะไปแล้วเหรอ ยังสนุกอยู่เลย”

               “ครับ

               “ไม่ไปได้มั้ย

               “...”

               “คืนนี้อยู่กับพี่ได้รึเปล่า”

               “...” ผมไม่รู้ เพียงแต่ผมไม่ชอบแววตาเหงาๆนั่นเลย

               “อ่า ขอโทษทีนะ

               “พี่รู้ใช่ไหม หมายถึง เรื่องของผม”

               “อื้อ

               “ถ้าผมเผลอเรียกชื่อเขา..”

               “ไม่เป็นไร ขอแค่ไม่ไปก็พอ”

               สุดท้ายผมก็เป็นแค่ผู้ชายคนนึงที่มีความต้องการในเรื่องอย่างว่าจนหน้ามืดตามัว ผมหยุดรู้สึกผิดไม่ได้ด้วยซ้ำแต่ในขณะเดียวกันก็ห้ามสัญชาตญาณดิบของตัวเองไม่ได้เหมือนกัน

               ขอโทษ

               แทยง

               เจย์ขอโทษ


    -


    “มันจะไม่มีครั้งต่อไปแล้วเจย์”

               “ไม่เอาน่า พี่ก็รู้ว่ามันดีแค่ไหน”

               “เรียกชื่อพี่สิ ทำได้ไหม”

               “...”

               “กลับไปเหอะ

               “ได้ ขอแค่พี่ไม่ไปก็พอ”

               ใครจะสนกันล่ะ ในเมื่อผมติดใจในร่างกายของพี่เตนล์ยิ่งกว่าใคร




    #raptjy




               ตั้งแต่กลับมาจากการทัวร์ครั้งแรก ผมยังติดต่อกับพี่เตนล์อยู่เสมอ จากตอนแรกที่ตกลงกันว่าจบคืนแล้วจะแยกย้าย แต่ด้วยสายอาชีพของเราทั้งสองคนก็ทำให้โคจรมาเจอกันอยู่ดี

               ช่วงนี้วงไม่มีการโชว์อะไรเป็นพิเศษ ส่วนใหญ่ก็จะขลุกกันอยู่ที่ห้องซ้อมเพื่อเขียนเพลงสำหรับอัลบั้มใหม่มากกว่า มันกดดันกว่าที่เคย การมีเด้ดไลน์ มีการกำหนดทิศทางของอัลบั้ม ไม่ใช่แนวทางของผมเลยสักนิด มันเหมือนกับว่าผมกำลังโดนจูงจมูกไปในทิศทางที่ไม่ได้อยากไป

               ผมใช้สารเสพติดอยู่หลายครั้งเวลาที่คิดอะไรไม่ออก และโชคไม่ดีนักที่บางครั้งก็ช็อคจนต้องหามส่งโรงพยาบาล ผมกับแทยงเราทะเลาะกันเรื่องนี้บ่อยมาก บ่อยจนผมเริ่มเบื่อที่จะอยู่ใกล้ๆเพื่อคอยฟังคำพูดเจ้ากี้เจ้าการ

               ในเมื่อมันไม่มีทางออก ก็ขอใช้ยาสักหน่อยไม่ได้หรือไงวะ ผมเครียด เครียดมากพอแล้วและไม่อยากจะรับอะไรเพิ่ม

    Rrrrr Rrrr

               “เจย์ สายเข้า

               “อือ ช่างมัน” ผมพูดตอบทั้งที่ไม่ลืมตา รวบร่างเปล่าเปลือยของพี่เตนล์ให้กลับมานอนอยู่ในตำแหน่งเดิม

               Rrrr Rrrr

               “เจย์ รับเหอะ เค้าจะเป็นห่วงนะ”

               “อือ

               ผมรับโทรศัพท์มาจากมือของคนที่แก่กว่า

               (เจย์ อยู่ไหน)

               “ห้องซ้อม

               (หลับเหรอ)

               “อือ เผลอหลับอะ

               (อ่อ แล้วจะกลับมั้ย)

               “แทยงอยากให้เรากลับรึเปล่า”

               (อื้อ.. แต่ถ้าขับรถไม่ไหวนอนที่สตูก็ได้นะ เราเป็นห่วง)

               “ครึ่งชั่วโมงเจอกันนะ”

               ผมลุกขึ้นมาบิดขี้เกียจเล็กน้อย เก็บเสื้อผ้าที่กองกระจัดกระจายแล้วนำมาสวมเข้าบนร่างกายตามเดิม เดินเข้าห้องน้ำเพื่อสำรวจร่างกาย ล้างหน้าล้างตา จัดผมเผ้าที่ยุ่งเหยิง

               “ไม่ได้เอารถมาแล้วจะกลับยังไง”

               “พี่ก็ไปส่งเจย์

               “เฮ้ย ไปส่งที่บ้านเมียอะนะ”

               “บ้านผม

               “อ้อเหรอ

               “ครับ ไปส่งหน่อย


    -


               ผมจูบลาพี่เตนล์เล็กน้อยแล้วถึงผละลงจากรถ มีแค่ไฟหน้าบ้านเท่านั้นที่เปิดต้อนรับการกลับมาของผม ส่วนแทยงก็คงจะหลับปุ๋ยไปแล้วหลังจากที่วางสาย รายนั้นน่ะขี้เซาและขี้หนาว คงนอนตากฮีตเตอร์อุ่นๆอยู่ในห้องแล้ว

               พอเปิดประตูบ้านก็พบว่าความคิดตัวเองถูกแค่ครึ่งเดียว แทยงหลับแล้วจริงๆ แต่เป็นตรงโซฟากลางบ้านต่างหาก คนตัวเล็กหลับคุดคู้อยู่ในผ้าห่มขนปุยผืนเล็ก ในมือยังถือโทรศัพท์มือถืออยู่เลย

               ผมส่ายหัวเล็กน้อยอย่างเอ็นดู ช้อนคนตัวเบาหวิวมาไว้แนบอก แล้วเดินขึ้นห้องอย่างทุลักทุเลเพราะคนที่อุ้มอยู่หลับสนิทมากจนปล่อยตัวไปตามแรงโน้มถ่วงของโลก ไม่มีการเกาะตัวผมไว้เลยสักนิด

               เมื่อส่งแทยงนอนในท่าที่ถูกต้องแล้วผมถึงผละไปอาบน้ำล้างตัวจากเหงื่อแล้วก็อะไรต่างๆที่โสโครกจากการร่วมรักกับพี่เตนล์เมื่อสองชั่วโมงก่อน

               หอบร่างเปลือยเปล่าที่เปียกโชกไปส่องที่หน้ากระจกขนาดเท่าตัวทั้งที่ยังเปิดน้ำทิ้งไว้จนในห้องน้ำมีไอน้ำจากความร้อนลอยอยู่เต็มไปหมด ดวงตาที่หมองคล้ำดูเหน็ดเหนื่อย กับร่างกายที่เริ่มผอมกระหร่องที่สะท้อนอยู่ตรงกระจกเหมือนเป็นใครสักคนที่ผมไม่รู้จัก

               มีร่องรอยการถูกถูกขบเม้มประปรายที่ทำให้ผมต้องตัดสินใจใส่เสื้อยืดนอนทั้งๆที่ปกติผมแทบจะเปลือยอยู่บ้านตลอดเวลา

               ทำไมปล่อยให้ตัวเองเป็นแบบนี้นะเจย์

               ใช่ว่าผมไม่รู้ถูกผิด แต่ผมแก้ไขอะไรไม่ได้เลย ทำไมการรักแทยงแต่ในขณะเดียวกันก็มีพี่เตนล์ถึงเป็นความผิดที่ทำให้ผมมีความสุข

               ถ้าแทยงเป็นส่วนที่เติมเต็ม พี่เตนล์ก็เหมือนทำให้ชีวิตที่สมบูรณ์แล้วกลายเป็นชีวิตที่พิเศษขึ้นไปอีก ให้ตาย ผมเหมือนลอยได้เลยล่ะตอนนี้


    -


               ผมออกจากบ้านมาห้องซ้อมในเวลาสิบเอ็ดโมง ซึ่งแน่นอนว่ามันคือเวลาสายโด่งของสมาชิกวงคนอื่นๆ

               “มึงเคยทำได้ดีกว่านี้นะเจย์”

               “อือ

               “โฟกัสหน่อย ใจมึงไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเลย”

               “อือ

               “ยังไม่เลิกอีกเหรอ”

               “...”

               “เจย์ กูบอกมึงว่าไง” โดยองทำตัวเหมือนเป็นพ่อผมโดยการขึ้นเสียงใส่

               “แล้วมึงจะทำไม

               “เชี่ยนี่” เสื้อยืดเก่าๆของผมถูกกระชากโดยอดีตพนักงานออฟฟิศ

               “...” และสิ่งที่ผมทำคือการยกยิ้มเหยียดๆใส่มันแล้วผลักออก “แล้วมึงจะทำไมโดยอง คนที่มีหน้าที่เล่นดนตรีไปตามคอร์ดที่กูเขียนไว้ให้หน่ะ มันจะทำไม”

               “...”

               “ในขณะที่กูคิดเพลงแทบตาย มึงทำอะไร นั่งโง่ๆรอไง”

               “...”

               “ถ้ามึงไม่มีปัญญา ก็เงียบไป”

               “...”

               “ทุกอย่างมันขึ้นอยู่กับกู มันอยู่ที่กูนี่ กูคนเดียว!” ผมใช้นิ้วชี้ชี้เข้าหาตัว แล้วหันหลังกลับออกมาจากห้องซ้อม  

               คอนโดพี่เตนล์ที่อยู่ใกล้ที่สุดเป็นที่แรกที่ผมเลือกจะมา ผมไม่อยากเอาอารมณ์ใดๆไปลงกับแทยงเพราะรู้ว่าอีกฝ่ายเปราะบางยิ่งกว่าใคร แทยงจะเครียดแล้วก็คิดมากกว่าผมไปอีกสามเท่า และสุดท้ายจะต้องกลายเป็นผมที่กอดปลอบแทยงที่ร้องไห้เพราะกลัวผมเครียดเสียเอง

               “ลืมอะไรไว้เหรอ

               “เปล่า

               “แล้ว

               “เหนื่อย มีของมั้ย”

               “อยู่ที่ลิ้นชักหัวเตียง”

               “...”

               “อย่าเยอะนักล่ะ นายใช้มันบ่อยเกินไปแล้ว”

               “อือ

               ผมรู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาเป็นกองหลังจากรับสารอันตรายนั้นเข้าปอด พี่เตนล์สวยจัง โลกใบนี้สวยงามจังเลยนะ ผมโชคดีจังเลยที่มีแทยง โชคดีจังเลยที่มีไค อ่า ดีจริงๆด้วย

               “เจย์ .. เจย์!แจฮยอน!”

               

    -


               ผมลืมตาขึ้นมาในความมืดและรู้สึกถึงลำคอที่แห้งผาก สถานที่ที่ผมคุ้นเคยเป็นอย่างดีในช่วงสองเดือนให้หลังปรากฏแก่สายตาอีกครั้งหนึ่ง

               ควานหาปุ่มเรียกพยาบาลแล้วกดอย่างแรงสองสามครั้งก่อนที่จะมีคนเข้ามาเพื่อเช็คร่างกาย น่าแปลกที่ครั้งนี้ผมไม่ได้รู้สึกเหนื่อยอ่อนและมึนงงมากเท่าครั้งก่อนๆ

               พี่เตนล์และสมาชิกวงคนอื่นๆมาเยี่ยมผมในตอนเช้าของวันถัดมา แน่นอนว่าต้องมาคนละเวลาเพราะพี่เตนล์ถูกคนในวงเกลียดไปแล้วในข้อหาที่พาผมเสียผู้เสียคน หึ น่าขำสิ้นดี ทั้งๆที่ผมทำตัวเองแท้ๆก็ยังโทษคนอื่นกันอยู่เลย

               “ติดต่อแทยงบ้างหรือยัง”

               “ยัง” น่าแปลกที่ผ่านไปสองวันแล้วก็ยังไม่มีสายเรียกเข้าแม้แต่สายเดียว หรือแม้แต่ข้อความจากภรรยาของผม

               “มึงจะให้เค้ารู้เป็นคนสุดท้ายอีกแล้วเหรอ”

               “เออ มาถึงก็บ่น

               “ครั้งนี้ไม่น่าบ่น” ยูตะพูดเบาๆแต่ถึงแบบนั้นผมก็ยังได้ยินอยู่ดี

               “หมายความว่าไง

               “มึงเป็นโรคลมชัก หมายถึง เป็นโรคจริงๆ ไม่ใช่เพราะยา”


    -


               ผมเป็นโรคลมชัก นั่นหมายถึงผมอาจจะมีโอกาสที่จะชักในตอนไหน เวลาไหนก็ได้ แม้แต่ตอนที่กำลังเล่นดนตรี ขับรถ ชักว่าว หรืออะไรก็ตามแต่

               มันอาจจะทำให้การใช้ชีวิตของผมยากขึ้น แต่ก็ไม่แย่เท่าไหร่หรอกถ้าภรรยาคุณเป็นเภสัชกรที่จะคอยจัดยาให้ในทุกๆวัน

               ที่บ้านเงียบสงัด แทยงอาจจะหลับอยู่ที่ชั้นบน ผมหย่อนกระเป๋าเป้โง่ๆที่บรรจุสมุดเยินๆที่ใช้เขียนเพลงไว้ที่โซฟา ลอบหัวเราะกับตัวเองเล็กน้อยที่ย่องขึ้นบันไดเสียงเบาราวกับว่ากลัวคนในห้องนอนจะได้ยิน

               แต่ไม่มี แทยงไม่ได้อยู่ที่ห้องนอน แทยงไม่ได้อยู่ที่ไหนทั้งนั้น ของใช้ของแทยงหายไปจากโต๊ะเครื่องแป้ง

               ผมเปิดประตูตู้เสื้อผ้าและชั้นเก็บของทุกที่อย่างบ้าคลั่ง

               หายไปหมดเลย ทุกอย่างที่เคยวางไว้ข้างกัน ตอนนี้เหลือแค่ของผมคนเดียว




    #raptjy



               ผมตามหาแทยงในทุกที่ จนเจอว่าอยู่ที่บ้านแม่ ผมขอร้องที่จะได้เจอกับลูกชายคนเดียวของพวกเขาอยู่สองสามครั้ง แต่ไม่เลย ผมไม่ได้โอกาส

               ไม่ได้โอกาสที่จะรู้ด้วยซ้ำว่าทำไมเราถึงเป็นแบบนี้

               “เจย์คืนนี้เล่นที่ผับไม่ไกลบ้านมึง นอนบ้านก็ได้ ไม่ต้องเช่าโรงแรม”

               “อือ

               “ถ้าไม่ไหวบอกนะ

               “ไหว

               ใช่ ในตอนที่พูดผมคิดว่าตัวเองไหวจริงๆ แต่รู้ตัวอีกทีก็ลงไปชักกับพื้นตั้งแต่ยังไม่ทันจบเพลงที่สอง เสียงโห่ร้องที่มาจากความตกใจ และบางคนที่ไม่พอใจก่อนที่ผมจะโดนหามไปที่หลังเวทียังก้องอยู่เต็มสองหูถึงแม้ว่าอาการจะเบาลงแล้วก็ตาม

               “ดีขึ้นรึยัง

               “อือ

               “ยาที่ได้ไปกินบ้างหรือเปล่า”

               “อือ

               “เจย์

               “แทยงไม่อยู่

               “ลุกขึ้นมากินยาตามที่เขียนบนซองก็คงไม่ลำบากเท่าไหร่หรอกมั้ง”

               “...”

               “ความดื้อของมึงจะทำเราพังกันไปหมด”

               ผิดหวังในตัวกูเหรอ ยูตะผิดหวังในตัวกูเหรอ โดยองด้วยเหรอ หรือแม้แต่จอห์นนี่ แทยงก็คงเป็นแบบนั้นด้วย เหมือนกันเลยนะ กูเองก็ผิดหวังในตัวกูเหมือนกัน


    -


               ผมมาที่หน้าบ้านหลังใหญ่ของแทยงอีกครั้งหลังจากที่โดนค่ายสั่งให้พักงานหนึ่งอาทิตย์เพื่อไปรักษาตัวเอง ครั้งนี้ผมเตรียมทุกสิ่งของที่จำเป็นมากับรถคันเก่าคันเดิม ทั้งอาหาร ขนม และขวดสำหรับถ่ายเบา

               ใช่ ผมกินนอนอยู่ในรถหน้าบ้านหลังนี้ทั้งคืนและกดกริ่งทุกชั่วโมงเพื่อให้ผมได้เจอกับคนที่ผมแสนคิดถึงสักที

               

               สุดท้ายก็คงมีใครสักคนที่ทนรำคาญไม่ไหว แทยงถึงได้มายืนอยู่ตรงหน้าผมตอนนี้

               แทยงยังงดงามเหมือนเดิมเลย ถึงแม้ว่าจะซูบผอมลงไปบ้าง ถึงแม้ว่าดวงตาจะไร้ประกายอันสดใสเหมือนอย่างเคย

               “...”

               “แทยง

               “...”

               “คิดถึงจัง

               “..อื้อ

               “ทำไมถึงกลับมาอยู่บ้าน”

               “...”

               “โกรธอะไรเจย์

               “เราอยากโกรธมากเลย เจย์รู้มั้ย”

               “...”

               “เราไม่อยากเป็นแบบนี้เลย แบบที่พยายามจะเข้าใจเจย์ในทุกๆอย่างและกลายเป็นว่าเราหันมาโทษตัวเองแทน”

               “...”

               “จนถึงตอนนี้เราก็ไม่ได้โกรธ”

               “...”

               “เราถามได้มั้ยว่าเราไม่ดีตรงไหน เราทำพลาดไปตรงไหนเหรอ”

               “...”

               “ทำไมเจย์ถึงมีคนอื่นแบบนั้น”

               ใจผมร่วงลงมากองอยู่ที่พื้น คลื่นความรู้สึกผิดซัดเข้าที่หน้าจนชาหนึบ

               “..ขอโทษ

               “...”

               “เราไม่ได้รักเค้าเลยนะแทยง สาบานได้”

               “...”

               “กลับบ้านเราเถอะนะ”

               “...”

               “เจย์คิดถึง.. เหมือนจะตายเลย”

               แทยงยกแขนขึ้นกอดอก สูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วมองตรงมาที่ผมด้วยสายที่ว่างเปล่า

               “เลิกยุ่งกับเขาหรือยัง”

               “...”

               “ตอบเรา

               “..เลิกไม่ได้” ผมพูดเสียงแผ่วเบา

               มันเป็นความผูกพันที่แสนจะเห็นแก่ตัว มีแว๊บหนึ่งจริงๆที่ผมคิดว่าตัวเองก็รักพี่เตนล์เหมือนกัน อาจจะน้อยกว่าคนตรงหน้า แต่ให้ตายยังไงผมก็ไม่สามารถใครสักคนได้เลย

               “...” แทยงเมินหน้าหนี พร้อมกับน้ำตาที่หยดลงบนข้างแก้ม

               “แต่หลังจากนี้เรามีอะไรก็จะบอกแทยงทุกอย่างเลยนะ ไปไหนทำอะไรก็จะบอก จะบอกเป็นคนแรกเลย”

               “ซื่อสัตย์แบบนี้เราก็ไม่เอาอะเจย์ ตลกเหรอวะ จะมีทีเดียวสองคนได้ยังไง”

               “...”

               “กลับไปเหอะ อย่าเจอกันอีกเลย”

               “แล้วถ้..”

               “ไม่ต้องต่อรองแล้วอะ เราไม่ไป” แทยงสะอื้นตัวโยนอย่างน่าสงสาร และผมก็ได้แต่ยืนมองอยู่แบบนั้นผ่านม่านน้ำตาของตัวเอง แทยงไม่แม้แต่จะให้ผมแตะต้องร่างกายด้วยซ้ำ

               “แทยง..ทำไมวะ ยังรักกันอยู่ไม่ใช่เหรอ”

               “หน้าเจย์เรายังไม่อยากมองเลย”

               “...”

               “ไปเหอะ ไม่มีประโยชน์หรอก เราไม่ได้เล่นตัว ยังไงเราก็ไม่กลับไป”

    โลกของผมพังทลายลงอย่างสมบูรณ์แบบ



    #raptjy



               ผมตื่นขึ้นมาในเช้าวันใหม่ที่ว่างหลังจากปล่อยอัลบั้มที่สองไป เมื่อคืนผมก็ชักอีกแล้ว ร่างกายไม่รักดีเหมือนจะออกอาการบ่อยขึ้นจนผมเริ่มหงุดหงิด

               แต่ไม่เป็นไรหรอก ผมจะให้อภัยมันก็แล้วกัน

               ลุกขึ้นมาเพื่อยิ้มให้กับตัวเองในกระจกกว้างที่สุดเท่าที่เคยยิ้ม ใช้เวลาอาบน้ำขัดตัวนานที่สุดในชีวิต คุ้ยตู้เสื้อผ้าหาชุดที่คิดว่าหล่อที่สุดเพื่อสวมใส่ แล้วสตาร์ทรถออกจากบ้าน

               จุดมุ่งหมายคือบ้านไคที่อยู่ห่างออกไปยี่สิบนาที

               ผมไม่ได้บอกใครไว้ก่อนเลยทำให้ได้รับสายตางุนงงจากเจ้าของบ้านทั้งสองคนที่ตาบวมฉึ่งซึ่งเดาได้ไม่ยากว่ากำลังหลับกันอยู่แน่นอน

               “ไงมึง ไม่ได้เจอนาน” เสียงอู้อี้ขึ้นจมูกของคนที่นั่งอยู่ตรงหัวโต๊ะเริ่มบทสนทนาขึ้น

               “ก็ดี

               “ดีห่าอะไร กูมีทีวีดูนะ”

               “ไค ขอซีเรียลได้มั้ย แบบที่ผมกินตอนเด็กๆ”

               “คิดยังไงวะ

               “นะ

               “เออ

               มันน่ารักตรงที่ว่าไคมีฟรุทลูปแบบใหม่แกะกล่องอยู่ในตู้เหนือซิงค์ล้างจานอยู่เป็นกระตั้ก

               “เอาไว้เลี้ยงเด็กที่ไหนเนี่ย”

               “เลี้ยงมึงอะ

               “ไค

               “เออ

               “ขอบคุณนะครับ

               “อะไรของมึง น่าขนลุก”

               “ฮ่าๆ รักจริงๆนะ พี่ชายคนเดียวของผม”


    -


               “ทำงานเหรอ อยู่ที่ห้องอะ”

               (อืม มีสัมภาษณ์วงใหม่)

               “จะกลับกี่โมง

               (ไม่น่าได้กลับ คิวดึกเลย)

               “แบบตอนที่เราเจอกันอะนะ”

               (ก็คงงั้น)

               “เตนล์

               (ว่า)

               “หาผัวซะนะ เอาแบบที่เป็นคนดี พึ่งพาได้”

               (ฮ่าๆ จะไรของเจย์วะ)

               “เชื่อเจย์

               (เออ ทำงานแล้ว ไว้เจอกัน)

               “อือ เจอกัน


    -


               ที่สุดท้ายคือบ้านแทยง ผมไม่อาจหารจะกดกริ่งหรอก ก็ในเมื่อแทยงไม่อยากจะเห็นหน้าผมแล้วด้วยซ้ำ ผมสอดซองจดหมายขนาดกลางที่มีดอกไม้แห้งดอกแรกที่ผมเคยให้แทยงอยู่ในนั้นเข้าไปในตู้จดหมาย

               ไม่รู้ว่าแทยงลืม หรือตั้งใจทิ้งไว้ แต่ผมก็ยังอยากให้มันอยู่กับแทยงอยู่ดี


    -


               กลับเข้าบ้านมาอีกทีในตอนเกือบค่ำ พร้อมกับอุปกรณ์มากมายจากถุงร้านขายเครื่องมือการช่าง

               นั่งร้องไห้อยู่ตรงบันไดทางขึ้นชั้นสองเป็นชั่วโมงแบบที่หาสาเหตุไม่ได้

               เสาต้นหนึ่งของราวบันไดเป็นที่ที่ผมเลือก

               เชือกสีน้ำตาลอันใหญ่ถูกมัดด้วยเงื่อนโง่ๆ

               

               ผมไม่หลงเหลือความรู้สึกอะไรอีกแล้ว ไม่แม้แต่จะกระพริบตาในตอนที่ปีนเก้าอี้เพื่อสอดหัวเข้าไปในห่วงนั้น ในเมื่อโลกของผมมันหมุนช้าลงตั้งแต่เริ่มใช้ชีวิตที่ไม่ได้ดั่งใจ ช้าลงตั้งแต่มีโรคบ้าบอรุมเร้าจนไม่เป็นอันใช้ชีวิต และหยุดลงโดยสมบูรณ์แบบตอนที่แทยงหันหลังให้

               ไม่รู้ว่าอะไรแบบนั้นจะเรียกว่าชีวิตได้ยังไง

               ผมก็แค่ทำให้มันหยุดจริงๆไปซะเลย

               เก้าอี้ถูกเตะออกไปไกล สติดับวูบลง พร้อมกับร่างกายแน่นิ่งที่ห้อยไปตามแรงโน้มถ่วงของโลก



    love is soft

    love's a fucking bitch



    ---------------------------------------------------------------------------------------------------


    มีใครงงกับความคิดเจย์มั้ยคะ คือมันเป็นความคิดชั้นเดียว 

    คิดตื้นๆเพราะสมงสมองพังไปหมดแล้วเพราะหลอนยาไรงี้ด้วย

    แต่ส่วนใหญ่ก็อินเนอร์แหละหนา

     

    จบแล้วนะพี่น้อง จบแล้วจริงๆ

    ขอบคุณทุกคนที่เขี้ยวเข็ญด้วย เรื่องนี้ใช้เวลาแต่งเป็นปี 

    เป็นปีจริงๆ555555555555

    #raptjy


    *มีแรงบันดาลใจมาจากเรื่องของ ian curtis , john lennon, kurt cobain  ปนๆกัน*





Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in