"หนังสือภาพสาระบันเทิงสำหรับเด็ก" ภาพในหัวข้อเราคือ ธีสิสชิ้นนี้จะต้องเป็นหนังสือที่บ่งบอกถึงความเป็นตัวเราให้ได้มากที่สุด นอกจากถูกใจเราแล้วจะต้องถูกใจเด็กด้วย นี่คือสิ่งที่เราต้องการในการทำธีสิส!
หลังจากที่ได้แนวทางค่อนข้างชัดเจนสำหรับตัวเองแล้วในระดับหนึ่ง ครั้งแรกที่นำไปพรีเซนต์ในหัวข้อ My Ideas for a Thesis ตอนนั้นเราตื่นเต้นมาก เราคิดกังวลว่าจะผ่านไหม จะได้ไหม ช่วงเวลาที่พรีเซนต์เราก็พูดทุกอย่างที่เราคิดออกไป โดยยังไม่คำนึงว่ามันจะเป็นไปได้ไหม ทั้งในส่วนของการทำในรูปแบบของ Wordless Book, การใช้เทคนิคพิเศษทำแบบ Paper Art, การทำแบบ Pop up, และคิดอยากจะทำแบบหนังสือทำมือ ภาพในหัวเรามันอลังการงานสร้างสุด ๆ แต่เมื่อก้าวเข้ามาสู่การเริ่มทำจริง ๆ หลังจากได้อาจารย์ที่ปรึกษาแล้ว อาจารย์ก็ช่วยให้คำแนะนำโดยทำให้เรามองเห็นภาพใหญ่ ๆ ก่อน อาจารย์ให้เราลองไปคิดและร่างสิ่งที่เราคิดออกมาทั้งหมด ว่าอยากทำเป็นรูปแบบยังไง หน้าที่ของเราตอนนั้นคือ การนั่งวาดและวาด เขียนและเขียน ตลอดทั้งสัปดาห์ ซึ่งมันทำให้เราค่อย ๆ ตกตะกอนในสิ่งที่ฟุ้ง ๆ เอาไว้ตอนแรก ออกมาเป็นรูปแบบที่เราอยากทำจริง ๆ ดังนั้นสิ่งที่พรีเซนต์ไปครั้งแรก เราตัดออกแทบจะทุกอย่าง 555555 เหลือเอาไว้ก็แค่หัวข้อและสิ่งที่เราสามารถทำได้จริง ๆ ในเวลาเพียง 3-4 เดือน ภาพในหัวจึงเหลือเป็นแค่หนังสือภาพธรรมดา ๆ เล่มหนึ่งเท่านั้น แต่จะทำยังไงให้มันไม่ธรรมดา นี่เป็นสิ่งเราต้องคิดต่อไป ช่วงเวลาการทำงานช่วงแรกนั้นค่อนข้างหนักไปทางการใช้ความคิด การหา Concept ของตัวเอง รวมถึงหาข้อมูลต่าง ๆ ไปพร้อม ๆ กัน เราใช้เวลาแทบทั้งวันนั่งคิดนั่งเขียน ผ่านไปหนึ่งสัปดาห์ก็นำไปปรึกษาอาจารย์ ทำเช่นนี้วนไปประมาณ 5 สัปดาห์ที่เราตบตีกับตัวเอง ซึ่งมันก็ช่วยให้งานของเราค่อย ๆ เป็นไปในแนวทางที่ชัดเจนมากขึ้น
เราเริ่มจากการลิสต์ข้อมูลของเจ้าแมลงใบไม้ที่อยากใส่เอาไว้ทั้งหมดออกมา ข้อมูลเหล่านี้ได้มาทั้งจากงานวิจัย เว็บไซต์ต่างประเทศและของไทย ยูทูป และประสบการณ์จากการเลี้ยงจริงของเรา เราก็นำมาใช้ในงานนี้ พอได้ข้อมูลต่าง ๆ ที่เราค่อนข้างมั่นใจว่าถูกต้องแล้ว เราก็เริ่มวางโครงเรื่องทั้งหมด โดยเรื่องของเรานั้นตั้งใจจะทำเป็นแบบสาระบันเทิง คือ สารคดี+บันเทิงคดี ทำให้เราต้องคิดว่า จะทำยังไงให้สารคดีนี้มันสนุก ซึ่งก็ค่อนข้างยากสำหรับเรา
เราใช้เวลาหลายอาทิตย์ในการเขียนมันออกมา ก็ได้เป็นโครงเรื่องแบบที่เล่าผ่านมุมมองของผู้เล่าที่จะพาเด็ก ๆ ไปรู้จักกับเจ้าแมลงใบไม้ ซึ่งก็ค่อนข้างถูกใจเราเพราะเราสามารถบอกทุกอย่างที่เราอยากบอกผ่านเรื่องราวได้ทั้งหมด เราจึงเริ่มแต่งออกมาโดยใช้ภาษาอังกฤษ เพราะโดยส่วนตัวแล้วเราชอบอ่านนิทานภาษาอังกฤษ และหลาย ๆ งานของเราที่เคยทำก็มักทำเป็นภาษาอังกฤษ เรารู้สึกสนุกในการคิดคำ แต่งคำภาษาอังกฤษ นอกจากจะเอาคำที่เคยได้ยินได้ฟังมาใช้ ก็ได้ลองแต่งประโยคเอง การแต่งประโยคเองทำให้เราเริ่มหาข้อมูลของการใช้คำ การใช้ประโยคที่เราคิดขึ้นมา เราเริ่มอยากรู้ว่าประโยคนี้มันใช้ได้ไหม ใช้ยังไง ใช้ในบริบทไหน ซึ่งการแต่งเป็นภาษาอังกฤษมันทำให้เราได้เริ่มมองหาคำศัพท์ เริ่มฝึกใช้แกรมมาต่าง ๆ และมันทำให้เราสนุกมาก ๆ ในการคิดหาคำมาแต่เป็นเรื่องราว ซึ่งไป ๆ มา ๆ เราก็สนุกจนเอาคำเหล่านั้นมาแต่งเป็นกลอนซะอย่างนั้น 55555 พอได้ลองเขียนประโยคนึง ก็เริ่มหาคำที่จะมาคล้องกับประโยคข้างบน มันก็เป็นการท้าทายมากที่จะเอาเรื่องราวสารคดีมาแต่งเป็นสาระบันเทิงโดยใช้ภาษาอังกฤษ แล้วยังแต่เป็นกลอนอีก แน่นอนว่าเราใช้เวลานานกว่าจะได้คำแต่ละคำที่สามารถร้อยเรียงให้มันเป็นเรื่องเดียวกันได้ และในที่สุดเราก็ทำได้จริง ๆ ซึ่งมันทำให้เรายิ่งชอบงานของตัวเองมากขึ้นไปอีก ทำให้ตอนนี้เราได้แนวทางเรื่องของคำที่จะใช้ในงานเรียบร้อยแล้ว
นี่คือตัวอย่างกลอนที่เราแต่งค่ะ
Under the sky and over the sea
There was a place full of the trees
The Green Leafy Trees
In the green leafy trees
This is a place where insects love to be free
If you come closer and see
Do you believe me?
That some leaves can walk
So, we called it "Walking Leaves"
ภาษาที่ใช้ก็จะประมาณนี้ค่ะ
ขั้นตอนต่อไปคือ การออกแบบคาแรคเตอร์ ส่วนนี้เราคิดว่าเป็นส่วนที่ยากที่สุด เราจะทำยังไงให้ภาพที่เราวาดออกมาถูกใจทั้งตัวเราและถูกใจเด็ก เราก็ลองวาดแล้วก็นำไปปรึกษาอาจารย์ซึ่งเราก็ลองปรับเปลี่ยนสไตล์การวาดไปเรื่อย ๆ ยังไม่ได้ลายเส้นและสไตล์ที่ถูกใจสักที และส่วนนี้ก็ใช้เวลาค่อนข้างนาน แต่เราก็ต้องทำต่อไป เพราะด้วยความที่เป็นหนังงสือภาพ แน่นอนว่าภาพนั้นคือส่วนสำคัญที่สุดในหนังสือ ภาพจะช่วยให้เกิดความประทับใจ และเกิดการจดจำได้ดีที่สุด เราจึงต้องทุ่มเทกับการทำภาพประกอบให้มากขึ้น แต่ก็ยังไม่ได้สไตล์ภาพที่ถูกใจสักที
เวลาผ่านไป 5 สัปดาห์ก็ถึงเวลาที่เราต้องนำเสนอความคืบหน้าธีสิส 30 % ครั้งนี้เราไม่ค่อยตื่นเต้นมากเท่าครั้งก่อน เพราะเราคิดว่าเราก็พอจะมีอะไรไปอัปเดตให้อาจารย์ฟังอยู่บ้าง 55555 ตลอดเวลาที่พรีเซนต์นอกจากเราจะต้องพูดให้รู้เรื่องแล้ว เราก็พยายามมองสีหน้าของอาจารย์ตลอดการพรีเซนต์ ซึ่งสิ่งที่เราเห็นคือ อาจารย์ตั้งใจฟังและดูเหมือนจะชื่นชอบงานของเราพอสมควร ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าทุกครั้งที่เราพรีเซนต์แล้วเห็นอาจารย์แต่ละท่านตั้งใจฟังและพร้อมให้คำแนะนำเป็นอย่างดี มันทำให้เรามีกำลังใจในการทำต่อไปมาก ๆ ขอบคุณอาจารย์ทุก ๆ ท่านจริง ๆ ค่ะ
เรื่องราวของการทำธีสิสยังไม่หยุดอยู่แค่ 30% เท่านั้น 70% ยังรออยู่ข้างหน้า สู้ต่อไปทาเคชิ 555555 เป็นกำลังใจให้เราด้วยนะคะทุกคน เราจะพยายามทำให้สำเร็จให้ได้!!!!
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in