อมก๋อยอำเภอที่กันดารที่สุดในประเทศไทย!
เกิดมาสิบเก้าฝนสิบเก้าหนาวก็พึ่งได้ยินชื่อนี่แหละ
ความรู้สึกแรกที่ได้มาเหยียบอมก๋อย ว้าววววว ที่อมก๋อยมีเซเว่นด้วยตื้นตันดีใจ น้ำตาจะไหล
อย่างน้อยก็ขอกินน้ำชาเย็นๆสโมกกี้ไบท์สักชั้น ขนมจีบซาลาเปาสักลูก เลย์รสเมี่ยงคำสักห่อ ก่อนขึ้นดอยละกัน นี่แหละหนาเด็กรุ่นใหม่ใส่ใจเซเว่น
ในตัวอำเภออมก๋อยเป็นอำเภอเล็กๆ มีเซเว่นอิลเลเว่นมีร้านขายของชำ ร้านอาหาร โรงพยาบาล
สถานที่ราชการ เหมือนในตัวอำเภอทั่วไป อำเภออมก๋อยตั้งอยู่ทางใต้สุดของจังหวัดเชียงใหม่ผู้คนที่นี่น่ารัก ยิ้มแย้มแจ่มใส อัธยาใสดี เป็นมิตร เป็นอำเภอที่น่ารักมากอีกอำเภอหนึ่ง
สิ่งที่สำคัญที่สุด(สำหรับฉัน)ในอำเภออมก๋อยคือร้านส้มตำของป้าดวงพร (ตั้งชื่อเอง) มือฉมังแห่งการตำส้มตำที่อิมพอร์ตมาจาก Northeastern Thailand หรือที่เรียกสั้นสั้นคือIsan ฝีมือการตำส้มตำของป้าดวงพรจัดว่าเด็ดที่สุดในอมก๋อย อร่อยม๊ากกกก(ลากเสียงเพื่อความสมจริง) ลาบ ต้มแซ่บ อร่อยทุกอย่าง ด้วยความที่พวกเราเป็นเด็กอีสานโตมากับส้มตำ กินปลาร้าเป็นก่อนที่จะคลานได้เสียอีก เพราะฉะนั้นฮอร์โมนจะพุงพล่านเวลาเจอร้านส้มตำบังคับร่างกายตัวเองไม่ได้ เจอที่ไหนต้องพุ่งเข้าใส่ ไปกินวันแรก(หลังจากที่ลงดอยมาแล้ว) กินเสร็จเรียกป้ามาเก็บตังค์ เฮ้ยทำไมถูกจัง สั่งไปตั้งหลายอย่างสองร้อยกว่าบาทเองพึ่งมารู้ทีหลังว่าที่แท้ป้าดวงพรคิดตังค์ผิด วันที่สองไปกินอีกป้ามากระซิบว่าเมื่อวานป้าคิดผิดแต่ป้ามาเล่าให้ฟังเฉยๆ ไม่เอาตังค์หรอก ที่ป้ามากระซิบกลัวลุงสมหมาย(ตั้งชื่อเอง)ได้ยินเดี๋ยวป้าโดนบ่น ถ้าไปอมก๋อยแวะชิมกันได้ ออกตัวนิดนึงว่าป้าไม่ได้จ้างมาโฆษณาแต่แซ่บอีหลีเด้อ
มาถึงอมก๋อยพวกเราก็ได้พบกับพี่จิ๊ก พี่แจง พี่อาสาที่จะดูแลพวกเราตลอดค่ายอาสาครั้งนี้ฉันกับพวกพี่ๆก็ช่วยกันขนกระเป๋า สัมภาระ ข้าวปลาอาหารแห้ง ไปไว้บ้านพี่จิ๊กพี่แจงเพื่อรอรถพี่แดงที่จะขับขึ้นดอยไปยังหมู่บ้านผาผึ้ง
และเนื่องด้วยเสบียงที่เราเตรียมมาไม่พอเราจึงต้องไปซื้อเสบียงเพิ่มที่ตลาดอมก๋อย โดยมีพี่จิ๊ก
และพี่แจงช่วยแนะนำว่าต้องซื้ออะไรบ้างอาหารที่ต้องเตรียมไปบนดอยก็จะเป็น มาม่า ปลากระป๋อง ไข่ไก่ หมูแช่แข็งผักสดก็แพ็คใส่ลังน้ำแข็งไว้ผงปรุงรสต่างๆ ผงต้มยำ ผงกะเพรา ผงทุกผงเท่าที่จะคิดออก เคยไหมคิดว่าของบางอย่างนี่ผลิตมาเพื่อใครวะทำต้มยำ กะเพรา ก็ปรุงเองได้ อร่อยกว่าอีกสรุปรู้ซึ้งก็วันนี้ผลิตเพื่อดีมานอย่างกูนี่แหละ แถมตอนไปทำงานเป็นแม่บ้านทำความสะอาดที่เมกาก็ได้ผงพวกนี้แหละช่วยชีวิตเอาไว้ขนไปเป็นกระเป๋ามีทั้งผงต้มยำ ผงเขียวหวาน ผงหมูสะเต๊ะ ผงกะทิ เส้นสลิ่มยันผงทำสังขยา ขนไปจนโดนพ่อกับแม่บ่นว่านี่ไปสามเดือนหรือจะไปเป็นปีคะคุณลูกมึงไม่คิดจะกินอาหารประเทศอื่นเลยหรอคะ อยู่รอดจากเมกามาจนถึงทุกวันนี้ก็อีผงที่เคยคิดว่าไม่มีใครซื้อนี่แหละ (อีกเรื่องที่ตลกมากคือเดินตลาดเห็นเสื้อหมวก รองเท้า ลายสับปะรด ก็บ่นๆกับตัวเองใครจะซื้อวะ สรุปตื่นเช้ามาเพื่อนใส่รองเท้าลายสับปะรดมาเรียนแถมสะสมทุกคอลเลคชั่นอีก ฮา)
ซื้อเสร็จพวกเราก็กลับมารอรถพี่แดงที่บ้านพี่จิ๊กพี่แจงทุกคนต่างก็ก้มหน้าเล่นโซเชียลทุกอย่าง
อัพรูปในไอจี โทรบอกลาพ่อกับแม่ อัพเฟสบอกลาญาติมิตรสหาย บอกลาแฟนคลับ(ที่ไม่มี)บอกลาแฟน(ที่ไม่มี) บอกลากิ๊กคนที่หนึ่งสองสาม(ที่ไม่มี)
โทรหาพ่อแม่ ตู๊ดด ตู๊ดดด “ฮัลโหล”
“พ่อแม่หวายสิ*ไปเป็นครูดอยแล่วเด้อ*….”ฉันพูดด้วยเสียงกังวลโดยที่ไม่รู้ว่าหนทางข้างหน้า
จะเป็นอย่างไร ทั้งตื่นเต้นทั้งสงสัย ทั้งดีใจ ความรู้สึกผสมปนเปกันไปหมด
“ดูแลตัวเองดีๆล่ะ” พ่อแม่คงกังวลไม่น้อยไปกว่ากัน…
เดี๋ยวๆ อันนี้คิดเข้าข้างตัวเองจริงๆแล้วพ่อ
แม่ไม่ค่อยกังวลหรอก พ่อแม่รู้ว่าถึกรู้ว่ายังไงลูกเราก็ต้องดูแลตัวเองได้ จะไปไหนก็ไปเถอะ แค่อย่าไปทำร้ายคนอื่นนะลูก จำได้ว่าสมัยมัธยมต่อให้กลับบ้านดึกแค่ไหนก็ไม่เคยโทรตาม วันนั้นช่วยโรงเรียนทำกระทงซึ่งต้องกลับบ้านดึกแต่ลืมที่จะโทรบอกแม่ ประมาณสองสามทุ่มแม่โทรมาดีใจมากนึกว่าแม่จะโทรตามเป็นห่วงลูกสาวที่ไร้เดียงสาเปล่าเลยแม่โทรมาแค่ว่าฝากซื้อเกี๊ยวให้น้องด้วยนะ แค่นี้แหละ ตู๊ด ตู๊ด ตู๊ด ซึ้งน้ำตาไหลพราก
….สิบวัน ลาก่อนโลกโซเชี่ยล
*สิ แปลว่า จะ
*แล่วเด้อ แปลว่าแล้วนะ
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in