ร้ายกว่าที่คิดแฮะ เพราะนึกว่ามันจะเป็นหนังรักธรรมดาที่มีพล็อตแหวกๆ หนังญี่ปุ่นสายนี้หลังๆ ถ้าไม่จบแบบธรรมดาก็จะจบแบบสติแตกไปเลย ซึ่งเรื่องนี้จบได้แบบพอดีตัวและอิ่มเกินคาดหวังมากๆ
จริงๆ แล้วเรารู้สึกว่าหนังพูดถึงความรักของคนกับสื่อป๊อบคัลเจอร์ที่เป็นจริงไม่ได้อย่างอ่อนโยนและบริสุทธิ์ ที่บอกว่าเป็นป๊อบคัลเจอร์ก็เพราะนางเอกที่ออกมาไม่ได้เป็นตัวแทนของนักแสดง แต่เปรียบเสมอร่างทรงของหนังที่พระเอกเฝ้าดูอยู่ทุกวัน
ถ้าให้พูดอย่างฉาบฉวย มันเปรียบได้เหมือนกับความรักของโอตะคุที่หลงรักตัวละครสมมติที่ไม่มีอยู่จริง นางเอกหรือองค์หญิงมิยูกิที่หลุดออกจากหนังก็เปรียบได้กับตัวละครสมมติที่ถูกสร้างขึ้นและสวมบทบาทให้ห่างไกลจากโลกแห่งความเป็นจริง เป็นสตรีที่มีเสน่ห์แตกต่างจากสตรีในอุดมคติที่หาไม่ได้ในยุคนั้น
ที่น่าสนใจก็คือความรักในเรื่องนี้ถูกยกไปในขั้นของความรักที่แสนบริสุทธิ์ นั่นก็คือไม่สามารถแตะต้องกันได้ ขณะเดียวกันที่มนุษย์ที่แท้จริงนั้นมีความต้องการ มีตัณหาที่สื่อสารออกมาผ่านการสัมผัส (หากแต่หนังไม่ได้พูดออกมาหรือให้ตัวละครแสดงออกอย่างรุ่มร่ามจนน่าชิงชัง)
ทีนี้ต้องขึ้นอยู่กับตัวหนังว่าจะสามารถทำให้เราเชื่อได้ไหมว่าความรักของทั้งสองคนเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์เกินที่จะแปดเปื้อนด้วยความเป็นจริงของมนุษย์
ตัวหนังเองก็เล่าเรื่องได้ดี ขยี้ได้อยู่หมัด สุดท้ายแล้วมันอาจจะไม่ใช่หนังรัก แต่เป็นหนังที่พูดถึงความฝันของชายคนหนึ่งที่ไม่มีทางเป็นจริงได้ และมันสามารถเป็นจริงได้เพียงในโลกแห่งจินตนาการ...ที่คนอื่นไม่มีวันได้รับรู้
อนึ่ง การดูหนังเรื่องนี้ในโรงภาพยนตร์ลิโด้เองก็สร้างบรรยากาศและอารมณ์ร่วมได้ดีเลยทีเดียว เพราะนอกจากโลเคชั่นที่สอดคล้องกับในเรื่อง มันก็พูดถึงการมาและจากไปของภาพยนตร์ที่มีมากมายบนโลก การเวียนผ่านยุคของภาพยนตร์ หรือการล่มสลายของตัวโรงภาพยนตร์เอง
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in