ทั้งนี้ ขอชี้แจงก่อนว่าเนื้อหาที่จะแบ่งปันต่อไปนี้ เป็นแผนการเขียนส่วนตัวที่ทำให้เราได้รับ offer จาก Bath, Cardiff, Leeds, และ Queen Mary University of London ซึ่งมหาลัย ฯ เหล่านี้อยู่รองลงมาจาก Top tier อย่าง Cambridge, Oxford, Imperial London, LSE และอื่น ๆ ดังนั้นใครที่เล็ง ranking ในระดับนี้เอาไว้ ขอให้ข้าม vlog นี้ไปค่ะ 😂
ที่อยากฝากไว้ก็มีเท่านี้ค่ะ ถ้าพร้อมแล้ว เลื่อนลงไปอ่านกันได้เลยยย
Step 1: Build the foundation
ก่อนอื่น อยากให้ทุกคนก่อนเข้าใจว่าโดยปกติแล้ว SOP จะไม่มีโครงสร้างการเขียนหรือการแบ่ง paragraph ที่ตายตัวค่ะ มหาลัยฯ ส่วนใหญ่มักกำหนดแค่แนวทางคร่าว ๆ เช่น character limit มาให้ และจะปล่อยให้เราเป็นคนคิดเองว่าอยากจะวางเนื้อหาอะไรไว้ตรงส่วนไหน ซึ่งนั่นทำให้มือใหม่หัดเขียน SOP ค่อนข้างเคว้งพอสมควร
แต่ถึงจะพูดแบบนั้น แต่ทุกมหาลัย ฯ ก็มีความคาดหวังให้ตัว SOP ต้อง focus ไปที่ 3 คำถามนี้ค่ะ
Q.1: Why do you want to study this course or subject?
Q.2: How have your qualifications and studies helped you to prepare for this course or subject?
Q.3: What else have you done to prepare outside of education, and why are these experiences useful?
จะเห็นได้ว่าทุกคำถามมุ่งไปที่ Motivation และ Preparedness for the course ของเรา ซึ่งเป็นการทดสอบว่าเราจะเป็น great fit สำหรับมหาลัย ฯ เขามั้ย เพราะฉะนั้นแล้วก่อนจะเริ่มเขียน อยากให้ทุกคนลองนึกถึงประวัติที่ผ่านมา และร่างออกมาก่อนว่าเรามีไอเดียอะไรที่จะตอบคำถามพวกนี้ได้บ้างนะคะ
สำหรับเทคนิคในการเตรียมของเรา คือการค่อย ๆ build ข้อมูลสำหรับเขียนโดยทำตาม step นี้ค่ะ 👇🏻
Set the Stage
1. Researching the course, department, and University thoroughly
👉🏻 ศึกษาคอร์สในมหาลัย ฯ ที่เราเล็งไว้ว่าเขา require skills อะไรบ้าง อันนี้ไม่ใช่สิ่งที่เขียนไว้โต้ง ๆ ใน entry requirement อย่าง IELTS หรือ GPA นะคะ แต่เป็นพวก hard & soft skills ที่จำเป็นต้องมี ถ้าเรายังไม่แน่ใจว่าคืออะไร ก็สามารถสกัดจากหน้าเว็บของสาขา หรือดู module ในคอร์สนั้น ๆ ได้ค่ะ
▶︎ hard skills คือ ทักษะที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับสาขานั้น ๆ เช่น MSc finance ก็โยงกับพวก Data analysis, Accounting, Economics เป็นความรู้เชิงวิชาการที่เป็น core หลักของสาขา ซึ่งเรามักจะอ้างอิงจาก past education ของเรา
▶︎ soft skills คือ ทักษะที่ไม่จำเป็นต้องศึกษาในห้องเรียน อาจมาจากการทำกิจกรรม extracurricular activities แบบนี้ค่ะ เช่น presentation and teamwork, critical thinking พวกนี้ก็เป็นทักษะที่ควรมีในการเรียน finance ซึ่งต้องทำงานกลุ่มและวิเคราะห์การตัดสินใจทางการเงิน
👉🏻 การหา skills นอกจากจะลองสกัดจาก course syllabus ใน website ของมหาลัย ฯ โดยตรงแล้ว เราอาจเข้าไปอ่าน student/alumni blogs ของคนที่เรียนสาขาที่เราสนใจด้วยก็ได้ค่ะ หรือถ้ายังคิดไม่ออกก็สามารถโยนข้อมูลเข้าไปถาม AI ได้เลยค่ะ
การ research ข้อมูลเกี่ยวกับตัวคอร์ส นอกจากจะช่วยให้เราสามารถเชื่อมประวัติการเรียนและสกิลที่ตัวคอร์สต้องการ (Q2 + Q3) แล้ว ยังเหมือนเป็นการตั้งคำถามตัวเองไปในตัวด้วยว่าคอร์สนี้เหมาะกับเราจริง ๆ รึเปล่า
2. Motivation: Why do I want to study this course?
👉🏻 สำหรับคำถามนี้ ค่อนข้าง freestyle ตามแต่ละคนมากเลยค่ะ โดยแรงจูงใจอาจเป็นได้ทั้ง:
▶︎ ความสนใจจากวิชาที่เรียนตอนป.ตรี หรือก่อนหน้านี้
▶︎ เคยอ่านบทความ หรือเห็นข่าวจากสื่ออื่น ๆ แล้วจุดประกายความสนใจเรา
▶︎ ครอบครัวทำอาชีพในสายนี้
▶︎ role model คนอื่น
และอื่น ๆ อีกมากมาย ถ้าเพื่อน ๆ มีหลายเหตุผล ก็ลองลิสต์ออกมาก่อน แล้วค่อยมาเลือกก็ได้ค่ะว่าอะไรที่เขียนแล้วจะดู impactful และ relevant กับคอร์สมากที่สุด ส่วนตัวเราเลือกแค่อย่างเดียวค่ะ เพราะแค่นี้ก็กินเนื้อที่มากพอแล้ว แต่ถ้าใครสามารถโยงหลายเหตุผลเข้าด้วยกันได้โดยที่ไม่ทำให้ SOP ดูเสีย balance ก็จัดไปให้เต็มที่เลยค่ะ
3. How has your learning so far helped you to be ready and succeed on a course?
👉🏻 ในส่วนนี้ คือการลิสต์วิชาที่เราเรียนผ่านมาในระดับป.ตรี ว่ามีตัวไหนที่เตรียมเราสู่การเรียนสายนี้บ้าง รวมไปถึงกิจกรรมใน/นอกมหาลัย ฯ และจิตอาสา รางวัลต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องค่ะ
👉🏻 ใครจับต้นชนปลายไม่ถูกว่าจะเอาอะไรดี อาจลองเริ่มจากการทำ CV ก่อน เพื่อให้เราเห็นภาพรวมผลงานที่ผ่านมาของตัวเองดูได้นะคะ การเริ่มจาก CV นอกจากจะเป็นการประหยัดเวลาที่ต้องมาเสียกับการนั่งนึกของเราแล้ว ยังเป็นการช่วยเช็คด้วยค่ะว่าเราไม่ได้ตกหล่นผลงานสำคัญอะไรในชีวิตไป
Step 2: Tell your story
เมื่อมีข้อมูลคร่าว ๆ แล้วว่าจะเขียนอะไรบ้าง ทีนี้ก็ถึงขั้นตอนเริ่มเขียนค่ะ ซึ่งส่วนตัวเราเริ่มจากการนำ bullet point ที่เขียนไว้เมื่อซักครู่ มาขยายความและเรียบเรียงให้เป็น essay ค่ะ
ทั้งนี้ ก่อนจะเริ่มเขียน อยากให้เพื่อน ๆ เข้าไปเช็ค website ของมหาลัย ฯ ที่ต้องการจะยื่นก่อนนะคะว่ามี requirement อะไรเป็นพิเศษรึเปล่า เพราะในส่วนของรูปแบบการเขียน บางมหาลัย ฯ จะมีข้อกำหนดแปะเอาไว้ที่ website ของตัวเองเลยค่ะ แต่บางที่ก็ไม่มี ซึ่งในกรณีนี้แปลว่าเขาอิงรูปแบบสากลที่มหาลัย ฯ ส่วนใหญ่ใช้ นั่นคือ 4,000 character or 400-600 words limit และในแต่ละ paragraph มักจะมีจำนวนคำราว 350 เท่านั้น
ทั้งนี้ ถ้าเป็นมหาลัย ฯ ที่การแข่งขันค่อนข้างสูง อาจกำหนดกระทั่งสัดส่วนของเนื้อหา academic กับ extracurricular activity หรือ work experience ด้วย ยกตัวอย่างเช่น Edinburgh จะให้น้ำหนัก 40% work experience และ 60% academic ต่างกับมหาลัย ฯ โดยทั่วไปที่มักจะแบ่งแบบ 80% academic และ 20% extracurricular activity ค่ะ ยังไงอย่าลืมเข้าไปเช็คก่อนเขียนด้วยนะคะ
Structure for Master's SOP
และนี่ก็คือ structure การเขียนซึ่งเรารวบรวมมาจากหลายเว็บจนสกัดออกมาได้ตามนี้และคิดว่าครอบคลุมทุกคำตอบที่ทางมหาลัย ฯ ต้องการค่ะ
ต้องบอกก่อนว่าเพื่อน ๆ ไม่จำเป็นต้องแบ่ง paragraph ออกเป็น 4 ส่วนตามนี้นะคะ นี่เป็นเพียง timeline การเขียนเนื้อหาแต่ละส่วนของเราเท่านั้น ยังไงพอถึงเวลาเขียนจริง เพื่อน ๆ สามารถแบ่ง paragraph ย่อยลงไปได้อีก ตามความเหมาะสมของแต่ละคนเลยค่ะ อย่างเราก็แบ่ง p.2 ออกเป็นอีก paragraph เลย เพราะอยากขยายและเน้น professional exp. เข้าไปด้วย
ในส่วนของการแบ่งความยาวแต่ละส่วน เราให้น้ำหนักเรียงจากมากไปน้อยตามนี้ค่ะ p.2 → p.1 → p.3 → p.4 ที่เรียงแบบนี้ เพราะเราคิดว่าตัว p.2 กับ p.1 จะโชว์ Motivation กับ Preparedness for the course ของเราได้มากที่สุดค่ะ ส่วน p.3 จริง ๆ แล้วก็เป็นจุดที่สร้างความแตกต่าง หรือทำให้ SOP เราดูน่าสนใจได้ โดยเฉพาะถ้าเพื่อน ๆ สามารถอ้างอิงชื่อผู้สอนหรือชิ้นงานใด ๆ ที่อยากจะรังสรรค์ออกมาถ้าเราได้เรียนคอร์สนี้ เพราะมันก็คือการสะท้อนความสนใจที่เรามีต่อตัวคอร์สแบบ evident-based ซึ่งนี่เป็นสิ่งที่คนแนะนำเขียน SOP หลายคนย้ำมาก ๆ ค่ะ
ข้อควรระวัง
🔻ใน Paragraph Intro อย่าเริ่มด้วยประโยค cliche อย่าง "I've always been passionate about ____ since I was young." เพราะคนตรวจเขาอ่านจนเบื่อแล้วค่ะ
🔻ระวังอย่าเขียน Paragraph Intro เวิ่นเกินไป ย่อหน้าแรกไม่ควรยาวเท่ากับย่อหน้าผลงาน
🔻ระวังอย่าเขียน Academic - Professional Exp ติดกันเป็นลิสต์เหมือนเอา CV มาวาง จุดนี้ยากนิดนึงค่ะ แต่เราใช้วิธีดึงเฉพาะอันที่โดดเด่นและเกี่ยวข้องมาก ๆ กับคอร์สมาใส่ สมมติถ้าชื่อบริษัทยาว ก็บอกแค่ the leading company
🔻วิธีการใช้ภาษาก็สำคัญค่ะ อย่าเขียนในลักษณะ monotone หรือเหมือน essay ที่ตอบคำถามอย่างเป็นกลาง ไม่ใส่อารมณ์ แต่พยายามเขียนให้เป็น narrative เหมือนกำลังเล่าเรื่องให้คนไม่รู้จักฟัง ให้เขาได้รู้จักตัวตนของเราผ่านความคิดหรือสิ่งที่เราได้เรียนรู้จากการเติบโตของเราในแต่ละขั้น
🔻Extracurricular Activities อาจไม่ใส่ก็ได้ ถ้า Work experience ของเราเด่นกว่า (ยังไงกิจกรรมเราก็ใส่ไว้ใน CV อยู่แล้วค่ะ)
Writing Style
ว่าด้วยสไตล์การเขียน ถึงจะไม่มีกฎตายตัวอีกเช่นเคย แต่สิ่งที่เราจับทางได้จากหลาย ๆ เว็บก็คือ การมีหลักฐานสนับสนุนความสนใจหรือทักษะที่เรายกมาอย่างชัดเจนค่ะ แน่นอนว่าใน p.2 ที่เราต้องใส่เรื่องวิชาเรียนหรือผลงาน มันมีหลักฐานออกมาเป็นรูปธรรมอยู่แล้ว และเขาก็เช็คได้จากตัว transcript และ CV แต่ว่าในส่วนแรกที่เราพูดถึง motivation เนี่ย มันค่อนข้างจะลอย ดังนั้นพยายามหาโยงให้ได้ค่ะว่าความสนใจนั้นนำไปสู่ action อะไร โดยข้างล่างนี้จะเป็นรูปแบบการเขียนที่ U. of Bath แนะนำมาค่ะ
PEEL:
- Point: Start with a clear statement showing your interest, skill or insight.
- Evidence: Back it up with a specific example or experience.
- Explanation: Show what it taught you or how it’s relevant.
- Link: Connect back to your subject or future studies.
ยกตัวอย่างในกรณีการเขียน p.1 ตาม structure นี้ อาจการเริ่มด้วย topic sentence ว่าเราสนใจประเด็นนี้ (P) ซึ่งนั่นนำไปสู่การเข้าร่วมโครงการ / take course (E1) และจากประสบการณ์นั้นทำให้เราได้เรียนรู้หรือ appreciate อะไร (E2) จึงนำมาสู่การตัดสินใจ pursue master's degree นี้ (L)
ข้อสำคัญที่ห้ามลืมคือ เนื้อหาในทุก paragraph จะต้องย้อนกลับมาเชื่อมถึงตัวคอร์สของเราเสมอค่ะ เหมือนเป็นการบอกว่าที่เราเขียนมาทั้งหมดในย่อหน้านี้ สุดท้ายแล้วเราต้องการบอกอะไรกับเขา ต้องการจะสื่อว่าเรามี skill set ที่เป็นประโยชน์ต่อคอร์สและมหาลัย ฯ นี้ยังไงบ้างนะ หรือว่าการได้เรียนที่นี่ มันจะ fulfill เป้าหมายในอนาคตของเรายังไงบ้าง ทำนองนี้ค่ะ
General Writing Tips
นอกเหนือจากสไตล์การเขียนข้างบนแล้ว เราก็ได้รวบรวมสิ่งที่ต้องระวังหรือว่าควรจะใส่เอาไว้ด้านล่างค่ะ หลายอย่างดูเหมือนจะเป็น common sense ก็จริง แต่ถ้าพลาดขึ้นมาก็อาจเป็นเรื่องใหญ่ได้ โดยเฉพาะเรื่องการใช้ภาษาที่ไม่ควรซับซ้อนเกินไป (ต่างกับการเขียนตอบ IELTS) หรือการไม่ bragging ในความสามารถของตัวเองจนเหมือนเราไร้ที่ติ
Step 3: Perfect the final draft
ขั้นตอนสุดท้ายของเรา คือการเช็คความถูกต้องโดยรวมของ SOP ตาม tips ด้านบนเลย ซึ่งหลัก ๆ ก็จะครอบคลุมในเรื่อง (1) Typo (2) Grammartical mistake (3) Content และ (4) Word limit
ในส่วนนี้ แนะนำให้เพื่อน ๆ เอา SOP ที่เขียนเสร็จแล้วส่งเข้า chatgpt ให้เขาประเมินให้เราได้เลยค่ะ บางคนอาจไม่กล้าใช้เพราะกลัวจะโดนเรื่อง AI Policy ตอนแรกเราเองก็หวั่นอยู่เหมือนกันค่ะ แต่หลังจากที่ไปหาดูคลิปของหลายคน ซึ่งหนึ่งในนั้นมีทีม admission เองด้วย ก็พบว่าเขา encourage ให้เราใช้ AI เพื่อเกลา SOP ที่เราเขียนออกมาซะด้วยซ้ำ เราเลยคิดว่าตราบใดที่มหาลัย ฯ นั้น ไม่ได้มี strict AI policy จนเกินไป การใช้ AI เพื่อ recheck เนื้อหาของเราก็ถือว่าเป็นการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี เพื่อสร้างความได้เปรียบให้ตัวเองค่ะ คิดซะว่ายังไงคู่แข่งเราก็ต้องใช้อยู่แล้ว เพราะฉะนั้นเราเองก็ต้องอย่าไปยอมค่ะ
เวลาให้ AI ช่วย แทนที่จะโยน SOP ลงไปเพียว ๆ เลย เราแนะนำให้เพื่อน ๆ เอา module (อาจเป็นเว็บหรือไฟล์) ของคอร์สที่จะยื่นแนบประกอบไปกับตัว SOP ของเรา แล้วให้เขา evaluate ว่าที่เราเขียนมันเหมาะสมกับตัวคอร์สแล้วหรือยัง หรือสามารถพัฒนาให้ strong ขึ้นได้ยังไงบ้าง โดยอาจใส่ word limit กำกับไปด้วยเผื่อมัน generate ออกมาเยอะไปค่ะ ทั้งนี้ เวลาเลือกนำประโยคจาก AI มาใช้ อย่าลืมเกลาภาษาทั้งหมดให้เป็นระดับภาษาเดียวกันกับ SOP ของเราด้วยนะคะ
꧁ ⬧︎⧫︎ Bonus ⧫︎⬧︎ ꧂
แล้ว vlog นี้ก็เดินทางมาถึงตอนจบค่ะ ขอบคุณทุกคนที่อ่านมาถึงตรงนี้นะคะ
ก่อนจะจากกัน เราขอชี้แจงอีกครั้งว่า vlog นี้ไม่ใช่ guideline ของ SOP อย่างเป็นทางการ แต่เป็นเพียงข้อมูลที่เรารวบรวมมาจากความชอบของตัวเองผ่าน website และ youtube ซึ่งไปหาอ่านมามากมายและอยากจะมาแบ่งปันให้ทุกคนได้เรียนรู้เท่านั้นค่ะ หากมีเวลา เราสนับสนุนให้เพื่อน ๆ ลองไปค้นคว้าเพิ่มเติมจากสิ่งที่เราเขียนไว้ในนี้ และหากเพื่อน ๆ มีความเห็นในการเขียนที่ต่างออกไปจากเรา ก็ลองชั่งน้ำหนักและเชื่อดูได้ ไม่จำเป็นต้องยึดตามแนวทางของเราเสมอไปนะคะ
สำหรับต้นคลิปและช่องทางที่เราใช้รวบรวมข้อมูล รวมไปถึงตัวอย่างของ SOP ทั้งหลาย เราได้ฝากไว้ด้านล่างนี้แล้วค่ะ แต่เนื่องจากเราเขียน SOP ไว้นานมากแล้ว เลยอาจจะรวมเว็บไซต์ต่าง ๆ ที่เคยใช้อ้างอิงได้ไม่ครบนัก ยังไงต้องขออภัยด้วยนะคะ
สุดท้ายนี้ เราขอให้ทุกคนที่ผ่านเข้ามาโชคดีกับเส้นทางนับจากนี้ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ขอให้รู้ไว้ว่าเราเก่งมากแล้ว ที่สามารถก้าวออกมาจาก comfort zone ของตัวเองได้ และเราเชื่อว่าทางเดินนับจากนี้ก็จะต้องทำให้เราแข็งแกร่งขึ้นอีกแน่นอนค่ะ
แล้วพบกันใหม่ใน vlog ถัดไปค่ะ
Best of Luck to everyone
ーLadyMinjee
°°°·.°·..·°¯°·._.· 🎀·._.·°¯°·..·°.·°°°·.°·..·°¯°·._.· 🎀·._.·°¯°·..·°.·°°°·.°·..·°¯°·._.· 🎀·._.·°¯°·..·°.·°°°
SOP Samples & References
🔎 "the personal statement that GOT ME INTO OXFORD." Kwok, Sep 21, 2020. Video, 7.59. https://www.youtube.com/watch?v=GJpfR6Vy8hg&t=272s.
🔎"How to draft your personal statement." University of Bath. accessed November 5, 2025. https://www.bath.ac.uk/guides/how-to-draft-your-personal-statement/.
🔎"How to write the NEW personal statement (2025/26 Format) — Advice from Oxford, Cambridge & Imperial." Andrew at Anyverse, August 21, 2025. Video, 17.22. https://www.youtube.com/watch?v=4Am_PxsctzU&t=722s.
🔎Rose, Christine, Kathy Liu, Kristin Joys, and Carlos A. "7 Great Statement of Purpose Examples + Analysis 2025/2026." College Essay Guy. accessed November 4, 2025. https://www.collegeessayguy.com/blog/statement-of-purpose-examples#C=.
🔎"Writing a personal statement to apply for a master's course." University of Bath. accessed November 4. https://www.bath.ac.uk/guides/writing-a-personal-statement-to-apply-for-a-masters-course/.
🔎"SOP for Masters (2025) - Format, Sample & Winning Writing Tips." Leap Scholar. accessed November 6, 2025. https://leapscholar.com/statement-of-purpose/masters.
°°°·.°·..·°¯°·._.· 🎀·._.·°¯°·..·°.·°°°·.°·..·°¯°·._.· 🎀·._.·°¯°·..·°.·°°°·.°·..·°¯°·._.· 🎀·._.·°¯°·..·°.·°°°
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in