'KISS ME LIKE YOU WANNA BE LOVED.'
06:00 AM :
“ตื่นได้แล้วพี่ยอนจุน ตื่นเดี๋ยวนี้ ตื่นทันที ”
เสียงนาฬิกาปลุกที่มีเพียงหนึ่งเดียวในโลกดังก้องขึ้นในห้องนอนโทนสีครีมขาวสะอาดตา
บนเตียงนอนขนาดคิงไซส์โทนสีเดียวกับห้องปรากฏก้อนผ้าห่มยักษ์ ภายในมีมนุษย์สูงกว่าหกฟุตสองชีวิตขดตัวเบียดกันอยู่
และแม้เสียงนาฬิกาปลุกจะสดใสเจื้อยแจ้วเพียงใดกลับไม่มีปฏิกิริยาตอบโต้จากใครสักคน
แต่จะว่าไม่มีเลยก็ไม่ถูกต้องนัก เพราะหนึ่งคนในก้อนผ้าห่มยักษ์เอื้อมมือออกมาควานสะเปะสะปะหาต้นเสียงอย่างกึ่งหลับกึ่งตื่น แต่ก็เป็นอันต้องยอมแพ้ไป เพราะต้นเสียงที่ว่าหรือโทรศัพท์ของพี่ยอนจุนที่ถูกกล่าวถึงนั้นวางอยู่อีกฟากหนึ่งของเตียง
ห้านาทีผ่านไป,
เหตุการณ์ทุกอย่างสงบลงราวกับไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น
นาฬิกาปลุกเงียบเสียงลง
ไร้ซึ่งการเคลื่อนไหวใด ๆ
06:30 AM :
“หนูรู้นะว่าพี่ยังไม่ตื่น จะตื่นดี ๆ ตอนนี้หรือจะให้หนูต้องเล่นบทโหด”
เสียงหวานใสเจ้าเดิมเพิ่มเติมคือข้อความใหม่ที่แฝงคำข่มขู่ดังขึ้นอีกครั้ง
คราวนี้เป็นคนอยู่ฝั่งโทรศัพท์ที่เอื้อมมือออกจากผ้าห่มไปจัดการกดปิดนาฬิกาปลุกอย่างเร็วไว
ไม่มีใครรู้ได้ว่าเหตุผลที่เขารีบร้อนกดปิดเป็นเพราะกลัวสิ่งที่ได้ยินหรือแค่อยากนอนต่ออย่างสงบกันแน่
แต่คงไม่ทันการณ์เท่าไหร่เพราะเจ้าของเสียงปลุกแสนสดใสนั่นตื่นขึ้นมาเสียแล้ว บทสนทนาสุดสะลึมสะลือภายใต้ผ้าห่มสีครีมผืนโตจึงเริ่มต้นขึ้น
“พี่ยอนจุน ตื่น”
คนเป็นน้องว่าพลางถูไถหัวกลมนุ่มไปมากับแผ่นอกกว้างเปลือยเปล่าของคู่สนทนาที่โอบกอดตนอยู่ตลอดทั้งคืนจนกระทั่งตอนนี้
“ขออีก 5 นาทีนะคะ”
สิ้นเสียงแหบต่ำตามประสาคนยังไม่ตื่นดี หากยังแฝงความออดอ้อนของชเวยอนจุน อ้อมแขนแกร่งก็โอบเอาคนน้องเข้ามาชิดอกมากกว่าเดิม ไม่พอยังพาดขายาว ๆ มากอดก่ายร่างนุ่มนิ่มไว้อีกด้วย
ชเวซูบินตอนนี้น่ะ
มองยังไงก็ไม่ต่างจากหมอนข้างของคนโตกว่าเลยสักนิด
“หนูจะหายใจไม่ออกแล้วเนี่ย”
คนเป็นน้องพยายามดิ้นให้หลุดจากพันธนาการของคนขี้เซา หากแต่ร่างหนาที่สูงน้อยกว่าตนเองเกือบสี่เซนติเมตรนั่นกลับแข็งแรงอย่างไม่น่าเชื่อ
และนอกจากจะไม่คลายอ้อมกอดให้คนน้องได้หายใจหายคอได้อย่างสะดวก ชเวยอนจุนยังสามารถกลับไปหลับต่อได้อย่างไม่สะทกสะท้าน
หลับ ที่แปลว่าหลับจริง ๆ ไม่ใช่การแสดง
หลักฐานคือเสียงกรนน้อย ๆ ที่ดังอย่างสม่ำเสมออยู่ข้างหูซูบินตอนนี้
เชื่อเขาเลย ผู้ชายคนนี้
ชเวซูบินได้แต่คิดในใจ
อันที่จริงคนที่ถูกโอบกอดอยู่นั้นก็ไม่ได้ตื่นง่ายไปกว่าคนพี่เท่าไหร่ แต่พอได้รู้จักชเวยอนจุนเจ้าของอ้อมแขนที่ตระกองกอดตนอยู่ ซูบินจึงได้เข้าใจอย่างถ่องแท้เลยว่าตัวเองยังห่างไกลจากคำว่าขี้เซานัก
ขี้เซาของจริงน่ะคนคนนี้ต่างหาก
ชเวยอนจุนขี้เซาชนิดที่ว่าบางครั้งต่อให้เรียกเท่าไหร่ก็ไม่มีปฏิกริยาตอบรับ จนผู้ร่วมอาศัยชายคาเดียวกันทั้งยังพ่วงตำแหน่งคนรักอย่างซูบินต้องหยิบฟอกซี่มาฉีดใส่
ใช่ คุณอ่านไม่ผิดหรอก, ฟอกซี่อันเดียวกับที่ทุกคนคิดภาพกันอยู่นั่นล่ะ
เป็นฟอกซี่อันเดียวกับที่ใช้รดน้ำน้อง ๆ ต้นไม้สีเขียวในคอนโดที่ซูบินแสนรักแสนห่วงนั่น แต่หลัง ๆ มาชักน่าสับสนแล้วว่าการใช้งานหลักของเจ้าอุปกรณ์นี้คือใช้รดน้ำต้นไม้ หรือใช้ฉีดน้ำเพื่อปลุกคนเป็นพี่กันแน่
ขี้เซาขนาดนี้ได้ยังไงนะคนเรา
เมื่อคิดได้ว่าป่วยการณ์จะปลุกเพราะคนพี่ปลุกยากยิ่งกว่าอะไรในโลก และยังไม่เข้าสู่สถานการณ์ฉุกเฉินระดับที่ต้องไปหยิบฟอกซี่ที่แขวนอยู่ข้างประตูมาใช้งาน
ชเวซูบินจึงถอดใจและหันมานอนจ้องหน้าอีกคนฆ่าเวลาไปพลาง ๆ
“หน้าก็ออกจะแงว ทำไมนิสัยลูกหมาขนาดนี้ก็ไม่รู้”
คนน้องว่าทั้งอมยิ้มพลางไล่นิ้วนุ่มนิ่มขาวผ่องไปตามรูปตาเรียวรี จมูกโด่งสวยได้รูป และริมฝีปากหยักหนาของคนที่หลับสนิทอยู่
ทันใดนั้นความคิดซน ๆ ก็วิ่งเข้ามาในหัว
ซูบินไม่เคยลองปลุกคนโตกว่าด้วยวิธีนี้มาก่อน และเพราะคิดว่าไม่ลองก็คงไม่รู้ว่าจะได้ผลไหม วิธีปลุกที่เพิ่งคิดค้นได้จึงเริ่มต้นขึ้นทันที
“หนูจะนับ 1 ถึง 5 ถ้าพี่ไม่ตื่นหนูจะเลิกปลุกจริง ๆ นะ”
ไร้ซึ่งเสียงตอบรับหรือแม้แต่การเคลื่อนไหวเป็นสัญญาณรับรู้ใด ๆ จากชเวยอนจุน ชเวซูบินพยักหน้ากับตัวเองเบา ๆ เป็นการเตรียมใจ
“หนึ่ง”
ว่าจบชเวซูบินจึงบรรจงจุมพิตลงบนเปลือกตาซ้ายของคนขี้เซา ก่อนจะถอยออกมาลุ้นในใจให้วิธีที่ตนคิดขึ้นมาได้ผล
นัยน์ตากลมโตดั่งลูกกระต่ายบัดนี้เปล่งประกายด้วยความตื่นเต้นและความหวัง
แก้มกลมขาวใสขึ้นสีน้อย ๆ อย่างน่ารักจากความเขินอายกับวิธีปลุกแสนซุกซนของตน
ทว่ายังไร้ซึ่งปฏิกิริยาตอบรับจากคนเป็นพี่, เช่นเคย
โอเค มันคงไม่ง่ายขนาดนั้น
ซูบินปลอบตัวเอง แล้วรวบรวมกำลังใจอีกครั้ง
“สอง”
คราวนี้คนน้องจรดริมฝีปากอมชมพูกเป็นกระจับของตนลงที่เปลือกตาขวาของคนที่หลับอยู่ ก่อนจะถอยออกมาดังเช่นเมื่อครู่เพื่อเฝ้าดูความเคลื่อนไหวของคนเป็นพี่
แต่ก็เช่นเดิม, ไร้ซึ่งปฏิกิริยาใด ๆ จากชเวยอนจุน
ชเวซูบินหายใจเข้าลึก ๆ หนึ่งครั้งเพื่อรวบรวมความกล้าเตรียมพร้อมสำหรับการนับครั้งต่อไป
“สาม”
นิ้วเรียวยาวของซูบินแตะที่ปลายจมูกรั้นของคนเป็นพี่อย่างมันเขี้ยว ก่อนจุมพิตอ่อนหวานแผ่วเบาจะตามลงไปแตะลงที่ตำแหน่งเดียวกัน
เจ้าของความคิดซุกซนถอยตัวออกมาพร้อมกับเสียงหัวใจที่ดังต่อเนื่องอย่างห้ามไม่ได้
ทุกอย่างดำเนินไปอย่างเก้ ๆ กัง ๆ ในความคิดของซูบิน
ปกติแล้วเขาไม่ค่อยแสดงความรักต่ออีกคนผ่านการสัมผัสร่างกายเช่นนี้มากนัก
ซูบินเติบโตมาในครอบครัวที่ต่างคนต่างง่วนอยู่กับชีวิตตัวเองซะส่วนมาก สิ่งที่ใกล้เคียงกับการแสดงความรักที่สุดคงเป็นเงินในบัญชีที่ถูกโอนเข้ามาทุกเดือนอย่างสม่ำเสมอ และเป็นตัวเลขที่เมื่อหลาย ๆ คนได้เห็นก็อดพูดออกมาไม่ได้ว่าเกิดเป็นซูบินน่ะแสนสบาย
คนเหล่านั้นหารู้ไม่ว่าสิ่งที่เขาต้องการที่สุดไม่ใช่ตัวเลขแปดหลักในบัญชีธนาคาร
แต่เป็นสิ่งที่คนตรงหน้าคอยมอบให้กันเสมอมา
สายตาแสนอ่อนโยนและปลอบประโลม
รอยยิ้มอันอบอุ่นดั่งแสงอาทิตย์ยามเช้าตรู่ในฤดูหนาว
อ้อมกอดที่ให้ความรู้สึกปลอดภัยเสียยิ่งกว่าที่ไหน ๆ บนโลกในนี้
และจุมพิตละเมียดละไมที่ทำเอาคนอ่อนวัยกว่าใจสั่นไหวได้ทุกครั้งไป
เมื่อได้ลองสลับบทบาทมาเป็นผู้ให้จึงไม่ง่ายสำหรับเขาเอาเสียเลย
ท่ามกลางอากาศอุณหภูมิยี่สิบสององศา ซูบินรู้สึกร้อนผ่าวที่หน้าไม่ต่างกับตอนที่คนเป็นพี่พาไปซาวน่า แก้มกลมฟูจากที่ขึ้นสีเพียงจาง ๆ บัดนี้ราวกับถูกแต้มทับซ้ำ ๆ ด้วยสีชมพูเข้ม
พลันอ้อมกอดที่คลายออกเล็กน้อยของคนเป็นพี่ดึงซูบินกลับมาสู่ปัจจุบัน
ในที่สุด!
ซูบินลิงโลดอยู่ในใจก่อนจะยื่นหน้าเข้าไปสำรวจอีกคนใกล้ ๆ หากแต่นอกเหนือจากการคลายอ้อมกอดแล้วชเวยอนจุนก็ไม่มีปฏิกิริยาอะไรอีก
ยังคงนอนหลับตาพริ้มพร้อมกรนเบา ๆ อย่างมีความสุข
ซูบินพยายามสังเกตสีหน้าอีกคนเพื่อจับพิรุธว่าแกล้งหลับอยู่หรือไม่ ราวสี่ถึงห้านาทีผ่านไปทุกอย่างก็ยังคงสงบเงียบ
ซูบินพรูลมหายใจออกมาทางปากอย่างหวั่นใจ
เอาไงเอากันวะตัวเรา
“สี่”
สิ้นเสียงนับจำนวน คนเป็นน้องปิดเปลือกตาของตนเองลงประทับริมฝีปากสวยลงที่คางมนได้รูปของอีกคน
ต่างจากครั้งก่อน ๆ ที่เป็นเพียงจุมพิตแผ่วเบา รวดเร็ว
ครั้งที่สี่นี้ซูบินกดน้ำหนักลงไปมากกว่า แนบแน่นกว่ายาวนานกว่า
โดยไม่ถอยออกมาตั้งตาลุ้นปฏิกิริยาของคนเป็นพี่ดังเดิม ซูบินค่อย ๆ ละเมียดไล้ริมฝีปากตนจากคางมนขึ้นไปเรื่อย ๆ จนถึงเป้าหมายต่อไป,
ริมฝีปากหยักหนาของชเวยอนจุน
“ห้า”
เพียงกระซิบแผ่วเบา ริมฝีปากที่อยู่ห่างกันไม่เกินหนึ่งนิ้วกั้นจึงได้ทักทายกัน
ซูบินสูดหายใจเข้าลึก ๆ แล้วจึงประทับจุมพิตลงไป
สัมผัสแสนเย็นชืดจากริมฝีปากคนที่หลับอยู่ไม่ได้ทำให้ซูบินรู้สึกแย่สักนิด กลับกัน, เขารู้สึกดีที่สามารถถ่ายเทความอบอุ่นไปให้อีกคนได้
ซูบินเพียงกดน้ำหนักริมฝีปากหนักเบาสลับกันไปปราศจากการล่วงล้ำใด ๆ
คนเป็นน้องตัวสั่นน้อย ๆ จากความตื่นเต้นและใจที่สั่นรัวและเมื่อรู้สึกตัวว่ากลั้นหายใจไม่ไหวอีกต่อไปจึงหวังจะถอนริมฝีปากออกมา
โดยไม่ทันได้ตั้งตัว
ริมฝีปากล่างของชเวซูบินกลับถูกฟันขาวของคนที่หลับตาพริ้มอยู่งับไว้ซะอย่างงั้น
คนที่ถูกพันธนาการ อีกครั้ง ในรูปแบบที่ต่างออกไป รีบเปิดเปลือกตาเพื่อมองคนตรงหน้าอย่างตื่นตระหนก
และในสายตาดั่งจิ้งจอกทะเลทรายอย่างชเวยอนจุนนั้น
ชเวซูบินในตอนนี้ช่างน่ารักและน่ากินเสียเหลือเกิน
“หนูซนแต่เช้าแบบนี้ พี่จะไปทำงานไม่ไหวเอานะคะ”
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in