2023. 8. 30.
[แปล ]
ตั้งแต่ช่วงปลายอายุ 19 ที่ผมได้ก่อตั้งวงกับมินฮยอก จนถึงตอนนี้ผ่านมาแล้ว 6 ปีครึ่ง ชีวิตของผมก็มีแต่ ลาคูน่า (Lacuna) แค่นั้นเลย อยู่มาวันหนึ่งผมก็คิดขึ้นมาได้ว่า "ผมรู้จักพวกเขาดีพอรึยังนะ?" ทั้งๆ ที่เราใช้เวลาด้วยกันมานาน ผ่านอะไรมาด้วยกันมากมาย ได้เห็นกันในหลากหลายแง่มุมแล้ว แต่แม้ตอนนี้ก็ยังมีเรื่องที่ทำให้ผมได้ค้นพบใหม่ๆ อยู่เสมอว่า "อ้อ เพื่อนคนนี้ชอบสิ่งนี้สินะ" หรือ "ไม่ชอบสิ่งนี้สินะ" อะไรแบบนั้น คงเพราะเมื่อเราใช้ชีวิตต่อไป เราก็มีประสบการณ์ใหม่ๆ และความคิดใหม่ๆ เกิดขึ้นเรื่อยๆ นั่นเอง
เลยคิดว่าจะลองเขียนเรื่องราวเกี่ยวกับเพื่อนๆ ที่มีค่าที่สุดของผมทีละคนดู
คนแรกที่ผมอยากเขียนถึงก็คือมินฮยอก
แน่นอนว่าผมรักสมาชิกทุกคนเหมือนกันหมด แต่กับมินฮยอก เราเป็นผู้ก่อตั้งวงด้วยกันนี่นา ผมได้พบกับมินฮยอกครั้งแรกช่วงเดือนกันยายน ตอนอายุ 19 ตอนนั้นผมทำตัวเหมือนนักดนตรีในละแวกบ้าน แต่จริงๆ แล้วยังไม่มีเพื่อนร่วมวงเลย ในตอนนั้นก็คือต้องการหาเพื่อนร่วมวง
แล้วผมก็ไปเจอโพสต์ในคอมมูนิตี้ดนตรีของ Facebook ว่าจะมี "Jam Day" ซึ่งเป็นวันนัดรวมตัวกันเล่นดนตรีสดๆ ตอนนั้นการทำ Jam Day กำลังฮิตในหมู่เด็กเตรียมสอบเข้าดนตรี ผมเลยตัดสินใจทั้งที่ใจสั่นๆ ไปเข้าร่วมกับคนแปลกหน้าทั้งหมด
ผมได้เจอกับมินฮยอกที่นั่น เขาเป็นเหมือนพลังดิบของดนตรีเลย ต่างจากคนอื่นที่พยายามเลียนแบบสไตล์ฮิตๆ ในตอนนั้น มินฮยอกเล่นตามความรู้สึกจริงๆ มันเท่มากจนพูดไม่ถูก
มินฮยอกมีเพื่อนในงานนั้นอยู่แล้วหลายคน ส่วนผมที่ไม่รู้จักใครเลยก็ยิ่งลำบากใจจะเข้าไปคุย แต่ผมก็รวบรวมความกล้าแล้วพูดไปว่า "นายเท่มากเลยนะ"
หลังจากนั้นผมรวบรวมความกล้าอีกครั้งหนึ่ง ส่งเดโมเพลงตัวเองให้เขาฟัง มีสองเพลง ชื่อ 길을 잃다 (หลงทาง) และ 잔재 (เศษซาก) พร้อมชวนเขาทำวงด้วยกัน ไม่กี่นาทีถัดมาเขาก็โทรกลับมาว่า "เพลงโคตรดีเลย" แล้วในคืนฤดูใบไม้ร่วงปี 2016 วงของเราก็ถือกำเนิดขึ้น
ต่อมาพออีซัคและคิมโฮเข้ามาร่วมด้วย เราก็กลายเป็นลาคูน่าแบบทุกวันนี้
ผมกับมินฮยอกเข้ากันได้ดีตั้งแต่แรก คุยกันครั้งแรกก็เรื่องเพลงที่ชอบ ซึ่งเราทั้งคู่ชอบวงอินดี้เกาหลีมากๆ สำหรับผมที่ตอนเรียน เพื่อนๆ พอฟังชื่อวงก็ถามกลับมาว่า "เพลงอะไร?"
ดังนั้นการได้เจอคนที่ชอบเหมือนกันก็เหมือนเจอคนในทะเลทรายเลย
ตอนนั้นพวกเราหลงใหลแนว Garage Rock อย่าง The Strokes หรือ Two Door Cinema Club มาก มินฮยอกเคยบอกว่ามีริฟฟ์กีตาร์แนว garage ที่แต่งเองอยู่ พอฟังแล้วเราก็เอามาพัฒนาเป็นเพลง Far Away จนได้ นับแต่นั้นมา เราก็ไม่ค่อยมีเรื่องขัดแย้งทางดนตรีกันเลย เราช่วยกันแชร์สิ่งที่ชอบ แบ่งปันอิทธิพลทางดนตรี และชื่นชมงานของกันและกันอยู่เสมอ เวลาไหนที่ผมรู้สึกไม่มั่นใจในเพลงตัวเอง มินฮยอกจะเป็นคนแรกที่บอกว่า "มันเจ๋งมาก!"
เวลาที่พวกเราคุยกันหรือเล่นกัน มินฮยอกชอบพูดเล่นประมาณว่า "นี่แหละ ผู้นำ!" หรือบางครั้งตอนผมพูดอะไรอยู่ เขาก็จะบอกคิมโฮหรืออีซัคว่า "ถ้าผู้นำพูด ก็แค่ตอบว่า 'ครับ' ไป" (ส่วนใหญ่คืออีซัคนะ 5555)
แม้จะพูดเล่นแบบนั้น แต่จริงๆ แล้วมินฮยอกเชื่อใจผมเสมอ แม้บางครั้งตัวเขาเองก็ลังเลหรือไม่มั่นใจ คำพูดที่ผมจำได้ดีคือ "ต่อให้เพลงพวกเราล้มเหลว ก็ไปเปิดร้านก๋วยเตี๋ยวด้วยกันก็ได้" มันเป็นอะไรที่ปลอบใจมากจริงๆ
หันกลับมามองดู ผมกับมินฮยอกไม่เคยทะเลาะกันเสียงดังเลย อาจจะเคยงอนกันบ้าง แต่ไม่เคยมีเรื่องใหญ่ อาจเป็นเพราะนิสัยเข้ากันได้ดี และมินฮยอกเองก็เป็นคนใจเย็นมากด้วย เวลามีอะไรเขามักจะเก็บไว้ในใจมากกว่าปะทุออกมา
มนุษย์ไม่มีใครสมบูรณ์แบบ และนั่นเองที่ทำให้การเดินทางร่วมกันในเส้นทางขรุขระนี้เป็นไปได้
เวลาที่วงเราอยู่ด้วยกัน มินฮยอกทำให้มีเรื่องหัวเราะเสมอ เขาเป็นคนตลกแบบไม่ตั้งใจ พวกเราค่อนข้างขี้อาย แม้จะรู้จักกันมานานแล้ว บางครั้งยังรู้สึกเขินๆ กันอยู่เลย และมินฮยอกก็คือ Icebreaker ประจำวง
อยากยกตัวอย่างสักเหตุการณ์ แต่ตอนนี้นึกไม่ออกเลย คราวหน้าเจอแบบนั้นจะต้องจดบันทึกไว้บ้างแล้วล่ะ
ทั้งหมดนี้คือเรื่องราวของ "จองมินฮยอก" มือกีตาร์สุดเท่ของพวกเราครับ ผมมักจะคิดบ่อยๆ ว่า ชีวิตนี้คงจะไม่มีเพื่อนที่เป็นได้ทั้งเพื่อนร่วมทาง เพื่อนสนิท และเหมือนพี่น้องไปพร้อมกันแบบนี้อีกแล้ว แม้มันจะทำให้เจ็บปวดบ้างในบางครั้ง แต่มันก็คือเหตุผลที่เราสามารถเดินทางกันมาได้ไกลขนาดนี้
ขอให้ผมกับมินฮยอกได้สร้างสรรค์เพลงดีๆ ร่วมกันต่อไปนะครับ!
สุดท้ายนี้ ขอแนะนำเพลง "Montreal" ของ Roosevelt ซึ่งเป็นเพลงที่มินฮยอกเคยแนะนำให้ผมฟังตอนเราอายุ 19 ปีครับ
---
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in