เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
ห้องแปลไทยของ happypuppylalala_lacuna
Kyungmin's blog : 10 films/books to get to know me (1/10)
  • 10 films/books to get to know me (1/10)


    ได้รับคำขอให้ทำ “10 films/books to get to know me” ครับ ดูเหมือนกระแสแนวเปิดเผยรสนิยมแบบนี้เคยมีมาหลายรูปแบบมาก่อนแล้วเหมือนกัน ซึ่งบางครั้งผมก็อยากทำ บางครั้งก็ไม่อยากทำ บางครั้งก็เคยทำ และบางครั้งก็ไม่ได้ทำ เหตุผลก็คงเพราะว่ามันทำให้รู้สึกเกร็งน่ะครับ ก็อย่างเช่นเวลาคนเราเดินข้ามถนนตอนไฟแดงแต่เก็บขยะไปด้วย
    มันก็คือคนเรานั่นแหละ คนที่ชอบ “เจ้าสาวของผมเป็นแฝด 5” (ไม่ได้พูดถึงใครเป็นพิเศษนะครับ) ก็สามารถเป็นคอหนังที่คลั่งไคล้ผลงานของทาร์คอฟสกีได้เหมือนกัน (มนุษย์เรามีหลายแง่มุมมาก แต่เรากลับไม่ได้ละเอียดอ่อนพอที่จะเข้าใจทุกด้านของคนอื่นได้ทั้งหมด และบางครั้งเราก็ทำตัวโง่เขลา) 
    เวลาผมเปิดเผยรสนิยมของตัวเองทีไร มันเลยมีความเกร็งอยู่หน่อยๆ ว่าคนอื่นอาจจะเอาไปตีความหรือจัดหมวดหมู่ผมในทางที่ไม่อยากให้เป็น ก็แค่เรื่องเล็กๆ นะครับ ไม่ต้องคิดจริงจังขนาดนั้นหรอก

    แต่พอจะลองเลือกสักสิบเรื่องที่ผมชอบสุดๆ ขึ้นมาจริงๆ ปัญหาก็เกิดขึ้นครับ
    อย่างแรกคือ ถ้าจะเลือกได้สิบเรื่อง อย่างน้อยต้องมีฐานข้อมูลในหัวสักร้อยเรื่องก่อนถึงจะเลือกได้ แต่ของผมไม่ได้มากขนาดนั้น แล้วถ้ามีอะไรที่เข้ากับผมกว่านี้แต่ยังไม่เคยดูหรืออ่านล่ะ จะทำยังไงดี
    อย่างที่สองคือ ของที่ผมเคยดูหรืออ่านมาก็จำไม่ค่อยได้ จะเลือกก็เลยลำบาก
    และอย่างที่สามคือ ถึงจะนึกออกอยู่ไม่กี่เรื่อง พอจะเลือกจริงๆ ก็กลับรู้สึกเกร็งขึ้นมาอีก เพราะกลัวถูกตีความอย่างที่ว่าไว้

    ... ด้วยเหตุนี้ การเลือกหนังหรือหนังสือสิบเรื่องสำหรับผมจึงยังคงเป็นเรื่องยากครับ
    แต่เพราะผมเองก็อยากเปิดเผยรสนิยมของตัวเองบ้าง อยากจะพูดว่า “ผมเป็นคนแบบนี้ล่ะ ฮึฮึ” ก็เลยคิดว่าจะลองเริ่มจากอย่างละนิดก่อนครับ

    ก่อนอื่น ผมขอแนะนำ 1 food to get to know me ก่อนครับ

    นั่นก็คือ ชิน*ต็อกบกกี (เขียนมีดอกจันเพราะพูดถึงบ่อย เดี๋ยวดูเหมือนโฆษณา)
    เหตุผลก็ง่ายมากเลยครับ แค่ตอนนี้ผมอยากกินมันเท่านั้นเอง
    การอยากกินอะไรบางอย่างแต่กลับกินไม่ได้ มันคือหนึ่งในความทุกข์ที่ใหญ่ที่สุดของมนุษย์ไม่ใช่เหรอครับ
    ไม่ใช่ของใหญ่โตอะไรเลย แค่ต๊อกบกกีรสเผ็ดระดับกลางที่มีชีสโปะมาเยอะๆ กับปลาหมึกชุบแป้งทอดเนื้อแน่นๆ ชิ้นใหญ่

    ก็แค่นั้นเอง (ไม่ได้โฆษณานะครับ)...
    แต่ผมหิวมากเลยครับ


    ---

    ศิลปะแห่งความรัก
    เอริช ฟรอม
    สำนักพิมพ์ Munye

    อย่างแรกที่นึกถึงคือหนังสือ “ศิลปะแห่งความรัก” ของเอริช ฟรอมครับ
    ผมคิดว่าความไม่รู้เกี่ยวกับความรัก เป็นหนึ่งในสาเหตุหลักที่ทำให้มนุษย์ทำผิดพลาดในโลกนี้มากมาย ฟรอมบอกว่า ความรักไม่ใช่แค่เรื่องของคนสองคนหรือวัตถุใดวัตถุหนึ่งเท่านั้น แต่มันคือความสัมพันธ์ระหว่างเรากับโลกทั้งใบ
    การกระทำหรือการตัดสินใจบางอย่างอาจดูสมเหตุสมผลในมุมมองทางสังคมหรือเศรษฐกิจ แต่ถ้ามันเกิดจากความเข้าใจผิดหรือความไม่รู้เกี่ยวกับความรัก มันก็ย่อมก่อให้เกิดผลลัพธ์ที่ไม่ดีได้
    ผมเองก็เชื่อว่าพลังที่ผลักให้เรารัก คือแรงขับเคลื่อนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตมนุษย์ ฟรอมมองว่าความรักเป็นทักษะที่ต้องฝึก ต้องเรียนรู้
    ผมเคยอ่านเจอที่ไหนสักแห่งว่า ตั้งแต่มนุษย์เริ่มเขียนถ้อยคำขึ้นมา สิ่งที่เราพยายามทำมาตลอดก็คือ “การนิยามความรัก”
    และเมื่อผมมองเห็นโลกที่คำพยายามเหล่านั้นกลับถูกทอดทิ้งหรือถูกทำให้ว่างเปล่า ผมก็แค่อยากจะนอนเฉยๆ เฉยเสียทีครับ
    ผมคิดว่าเมื่อยุคสมัยพยายามจะลืมความรัก “ศิลปะแห่งความรัก” ของเอริช ฟรอม อาจกลายเป็นถ้อยคำแห่งการเยียวยาที่ช่วยเปิดประตูแห่งความรอดให้กับยุคนั้นได้ครับ


    ---

    The Science of Sleep
    Michel Gondry

    จริง ๆ แล้วหนังในดวงใจของผมคือ Eternal Sunshine of the Spotless Mind ครับ (?)
    แต่มันอธิบายตัวผมได้มากกว่า 70% แล้วเลยเลือกเรื่องอื่นแทน
    ผมชอบ Eternal Sunshine เพราะหนึ่งในเหตุผลนั้นสามารถแตกแขนงออกมาอธิบายผ่าน The Science of Sleep ได้
    ผมหลงใหลในวิธีที่มิเชล กองดรีถ่ายทอดจิตใต้สำนึกผ่านภาพยนตร์มากครับ
    โดยเฉพาะในเรื่องนี้ ซึ่งผมคิดว่าเขาทำได้ดีที่สุด
    มันคือการจงใจทำให้เส้นแบ่งระหว่างความจริงกับความฝันพร่ามัว ผมดูแล้วรู้สึกว่าอยากจะทำเพลงที่มีโครงสร้างเหมือนแบบนี้เลยครับ เพลงที่ถ่ายทอดความฝันหรือความไม่เป็นเหตุเป็นผลของจิตใต้สำนึกในเชิงดนตรี

    ถ้าจะเชื่อมโยงกับ ศิลปะแห่งความรัก ผมคิดว่าการสำรวจความฝันในเชิงภาพและสุนทรียะก็เหมือนกับการฝึกฝนศิลปะแห่งความรักเหมือนกันครับ
    เพราะถ้าเรามองว่าความรักไม่ใช่แค่ความรู้สึกที่เกิดขึ้นเอง แต่คือการกระทำที่ตั้งใจทำ
    ความฝันในฐานะภาษาของสัญลักษณ์ก็คือกระจกที่สะท้อนให้เห็นต้นกำเนิดของความรู้สึกเชิงรับที่เราเรียกว่าความรักนั่นแหละ

    ตามแนวคิดจิตวิเคราะห์ของคาร์ล ยุง (แม้กองดรีจะไม่ค่อยชอบการตีความแนวนี้นัก) ความฝันคือภาษาของจิตไร้สำนึกที่พยายามรวมตัวกับจิตสำนึกเพื่อให้เกิดความสมบูรณ์ของตัวตน เราทำไมถึงต้องแสวงหาความรักล่ะครับ?
    ฟรอมบอกว่ามนุษย์รู้สึกไม่สบายใจเพราะรู้สึกแยกขาดจากโลกและผู้อื่น
    ผมคิดว่าการแสวงหาความรักคือการพยายามเยียวยาความเจ็บปวดพื้นฐานนั้น ถ้าความฝันคือความพยายามของจิตไร้สำนึกที่จะรวมเข้ากับจิตสำนึก ความรักก็คือความพยายามของเราในการรวมตัวกับโลกที่แยกออกจากกันนั่นเอง

    แต่ความรักในรูปแบบของความรู้สึกเชิงรับมักจะไม่มั่นคง เหมือนความฝันที่เต็มไปด้วยสัญลักษณ์ที่ซับซ้อนและไร้เหตุผล เพราะมันมีต้นกำเนิดจากความกลัว ความโดดเดี่ยว และความไม่มั่นคง
    ดังนั้น เหมือนกับการตีความความฝันให้กลายเป็นสิ่งที่เราตระหนักได้ เราก็ต้องเปลี่ยนความรู้สึกของความรักให้เป็นการกระทำที่ตั้งใจ ไม่ใช่การครอบครองหรือควบคุม แต่เป็นการรักอย่างมีความรับผิดชอบ ปัญญา และความเคารพ ตามที่ฟรอมกล่าวไว้ในศิลปะแห่งความรัก

    สรุปคือ ผมคิดว่าเราสามารถมองเห็นต้นกำเนิดของความกลัวและความเหงาที่ผลักดันให้เราต้องการความรัก ได้จากการสำรวจจิตใต้สำนึกในภาพยนตร์อย่าง The Science of Sleep
    และเมื่อเราเข้าใจและยอมรับความกลัวนั้น เราก็จะสามารถก้าวไปสู่ความรักได้อย่างแท้จริงครับ


    ---

    ไว้คราวหน้าถ้านึกอะไรออกอีก ผมจะหยิบหนังหรือหนังสือที่ชอบมาเล่าเพิ่มนะครับ
    กว่าจะครบสิบเรื่องคงอีกนานครับ (แต่อันที่จริงก็ไม่แน่ใจว่าควรทำแบบนี้หรือเปล่านะครับ ฮา)
    ยังไงก็ขอให้ทุกคนมีวันที่ “อยากกินอะไรก็กินได้” นะครับ

    สวัสดีครับ!

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in