ผมเป็นเพียงมนุษย์เงินเดือนที่ไม่มีอะไรโดดเด่นนัก ชีวิตเป็นกิจวัตร ตื่นนอน กิน มาทำงาน และกลับบ้าน...แค่นั้น
....
วันหนึ่งเขายืนหาววอดอยู่ในลิฟท์ที่กำลังจะขึ้นไปชั้นที่ 25 ซึ่งเป็นที่ทำงานของเขาเหมือนทุกที ก้มมองดูสมาร์ทโฟน รูดหน้าจอเช็คความเป็นไปในโซเชียลเน็ตเวิร์คไป จนกระทั้งรับรู้ได้ว่าในลิฟท์เหลือเพียงตัวเองและชายหนุ่มรูปร่างสูงอีกคน
เจ้าตัวดูมีภูมิฐาน สูงชะลูดสมส่วน โดดเด่นจนจำต้องลดมือลงเพื่อลอบมองแทน... เขามองร่างสูงตั้งแต่เท้าขึ้นไป พลางคิดนึกเปรียบเทียบกับสภาพตัวเองตอนนี้...
ไม่ได้ครึ่งเขาเลย...
ชำเรืองมองเรื่อยไปผ่านแผ่นหลังกว้างและมาจบที่กลุ่มผมสีน้ำตาลแดง...
โห...คนญี่ปุ่นนิ มาจากบริษัทที่อยู่อีกฝั่งหรือเปล่านะ
ความคิดในใจบอกเป็นคำตอบเมื่อรวบรวมข้อมูลทุกอย่างได้ และยิ่งมั่นใจยิ่งขึ้นเมื่อเริ่มพินิจดูแต่ละส่วนของเจ้าตัว
กระเป๋าเรียบแบบมินิมอล...การแต่งตัวสุภาพดูสะอาดสะอ้าน...ท่ายืนอกผายไหล่ผึ่ง...กับเสี้ยวหน้าที่เขาเห็นเมื่อครู่...และทรงผม ทรงผมที่คนไทยแสนขี้เกียจ หรือแม้พวกตามแฟชั่นปัจจุบันไม่ทำกัน
กลุ่มผมสีน้ำตาลแดงไหวไปมา มันดูหยักศกและฟูดูมีมิติตามการเซ็ตที่ดูชำนาญพอควร เมื่อลอบสังเกตทรงผมเสร็จก็หลุบตามองมือของเจ้าตัวบ้าง...มือที่ใช้เซ็ตเจ้าทรงผมนี่
สวยแฮะ...เรียวได้รูป ผิดกับร่างสูงใหญ่นี่ ผู้ชายจริง ๆ เหรอเนี่ย
ว่าแล้วก็หันมามองดูที่มือของตัวเองบ้าง...แม้จะไม่ได้น่าเกลียดแต่มันก็แทบจะเอาไปเทียบกับปลายนิ้วก้อยอีกฝ่ายไม่ได้เลย...
เหอะ...
ชั่ววินาทีผ่านไปเขาก็เรียกสติกลับมาเมื่อคนข้างหน้าไหวไหล่เบา ๆ ช้อนมองกลับไปที่ช่วงบนของเจ้าตัวอีกครั้ง แต่จากการไหวไหล่เมื่อครู่ก็ทำให้เห็นกลุ่มก้อนผมช่วงหนึ่งที่ดูจะผิดรูปกว่าส่วนอื่น
มันทำให้คิ้วได้รูปของเขาต้องขมวดยุ่งก่อนยิ้มบางจะคลี่ออกมาด้วยความขบขันปนเอ็นดู แต่แล้วเสียงเตือนการมาถึงของจุดหมายก็ดังขึ้น เมื่อเห็นเช่นนั้นเขาจึงเริ่มก้าวเดินไปอย่างไม่ลังเลตามสัญชาตญาณ
และแล้วเวลาชีวิตก็เริ่มหมุนวนอีกครั้ง...ชีวิตเดิม ๆ
อีกประมาณ 25 ก้าวผมจะถึงโต๊ะทำงาน อีก 25 นาที ผมจะต้องเริ่มเคาะแป้นคีย์บอร์ด และอีก 25 วันผมถึงจะได้เงินเดือน...นี่สิเรื่องน่าคิด
...แต่แล้วตัวเขาที่ไม่เคยใส่ใจเพื่อนทำงานร่วมตึกก็เกิดอยากเห็นหน้าคนที่เฝ้ามองมาสักพัก
สุดท้ายสายตาก็ไปไวกว่าความคิด...กว่าเหตุผล...ชายหนุ่มหันไปเหลือบมองและพบว่าคนด้านหลังมองมาที่เขาเช่นกันแต่สิ่งแรกที่เขารับรู้กลับเป็นระยะห่างของตัวเขาเองและอีกคน....ที่ห่างกันเพียง 25 เซนติเมตร
25...25...อะไรก็ 25...แต่มันไม่ใช่ 25 ที่เป็นเลขน่าเบื่อในกิจวัตรของผมเหมือนทุกที แต่มันเป็น......
ตาโตจ้องมองไม่วางตา อีกฝ่ายดูท่าทางปกติไม่ได้ติดใจอะไร แต่บางสิ่ง...ผมนั่น...ที่กระดกเด้งขึ้นมาเด่นหลากว่าจุดอื่นทำให้บรรยากาศเปลี่ยนไป และแล้วเขาหลุดขำออกมาในที่สุด ก่อนจะพูดสิ่งแรกที่คิดไปอย่างเผลอตัว
"หึ ๆ เหมือนผมตื่นนอน"
"......."
"อ๊ะ..."
ตายล่ะ...
เมื่อรู้ตัวว่าคิดดังไปเขาก็รีบหันหน้าหลบสับเท้าออกมาทันที แต่หากลองคิดดูดี ๆ ...ถ้าโชคดีคนคนนี้อาจจะไม่เข้าใจในสิ่งที่เขาพูดและคิดว่าเป็นการทักทายเฉย ๆ ก็ได้
ว่าแล้วปลายตาจึงค่อย ๆ ตวัดกลับไปมองร่างสูงอีกครั้ง แต่ยังไม่ทันที่จะได้เห็นอีกฝ่ายชัดเจน ที่แขนของเขาก็รู้สึกได้ถึงแรงดึงจากด้านหลัง แน่นอนว่า...มือที่กอบกุมต้นแขนนี่อยู่จะเป็นมือใครไปไม่ได้นอกจากคนที่เขาเพิ่งผละหนีออกมา
"......."
"......."
ไม่มีบทสนทนาใด ๆ สิ่งที่เข้ามาในโสตประสาทของทั้งพวกเขาทั้งคู่คงมีเพียงทัศนียภาพเบื้องหน้าที่เป็นภาพของใบหน้าของกันและกัน
"อ่า...."
เป็นอีกคนที่หลุดเสียงออกมาก่อน และเมื่อคนที่ถูกจับอยู่ได้ยินเสียงทุ้มนั่นเขาก็ถึงกลับสะดุ้งสุดตัว อาจด้วยเพราะตัวเองมีคาดโทษที่เผลอพูดอะไรที่ดูเหมือนล้อเรียนอีกคนไปเมื่อครู่ด้วย...
"ข...ขอโทษครับ ที่พู--"
รุกรี้รุกรนพูดไปด้วยสติที่ไม่มั่นคงนักแต่พอได้หยุดดูใบหน้าอีกคนที่จ้องมองกลับมาชัด ๆ ในชั่ววิมันก็ทำให้เขาสงบคำไป...แล้วในหูก็ได้ยินเพียงเสียงเต้นของหัวใจตัวเองที่รัวและเร็วผิดปกติ
...คนญี่ปุ่นนี่มันต้องหน้าเปะขนาดนี้เลยเหรอ ขนาดนี่ผู้ชายแท้ ๆ ยังใจเต้นเลยโว้ย พับผ่าสิ
รู้สึกหน้าร้อนขึ้นมา ซึ่งแน่นอนว่าเขารู้สาเหตุของอาการที่เป็นอยู่ เขาเม้มปากแน่นพยายามเฉมองไปทางอื่นเพื่อไม่ให้รู้สึกวูบหวามไปมากกว่านี้ แต่อีกฝ่ายก็จ้องมองเขาไม่วางตาแถมยังไม่ยอมปล่อยมืออีกต่างหาก มันจึงยิ่งทำให้เขาทำอะไรไม่ถูก คิดว่าปล่อยไว้นานกว่านี้คงจะดูผิดสังเกตและสถานการณ์มันก็ออกจะดูแปลกไม่น้อยสำหรับผู้ชายสองคน เขาจึงรวบรวมสติที่มีหันไปเผชิญหน้ากับเจ้าตัว แต่แล้ว...
"หึ....."
ปากได้รูปของใบหน้าคมเหยียดยิ้มจนทำให้ตาเรียวหรี่เล็กลง ชายหนุ่มแคลนหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะลดแรงที่บีบตันแขนเขา ซึ่งเพียงแค่นี้มันก็เล่นเอาหัวใจเขาเต้นผิดจังหวะไปเลยทีเดียว หากเป็นสาว ๆ คงไม่แคล้วแกล้งเป็นลมซบด้วยมารยาร้อยแปดแหง...
"...เอ่อ ม...มีอะไรครับ c...can you speak Thai or English, sorry I don't know Japanese"
พยายามสรรหาคำพูดที่ดูสมเหตุสมผลมากที่สุดเพื่อเปลี่ยนบรรยากาศและบ่ายเบี่ยงโทษของตนที่พลั้งปากพูดความคิดออกไป แต่สุดท้ายก็ไม่มีการตอบกลับอะไร เจ้าตัวเพียงนิ่งมองเขาตาปริบ ๆ และเอียงคอน้อย ๆ
ควรจะดีใจหรืออะไรดีนะที่เหมือนเขาจะฟังทั้งไทยและอังกฤษไม่ออก...
เขาคิดชั่งใจสักพักโดยไม่ได้สังเกตเลยว่าคนสูงกว่าที่อยู่ไม่ห่างนักกำลังจ้องมองเขาอยู่...ตาเรียวของชายหนุ่มหลุบมองต่ำเล็กน้อย ตัวเขาก็ไม่ได้อยู่ในระดับสายตาของเจ้าตัวสักเท่าไหร่ เพราะระดับความสูงของเขานั้นเทียบได้เพียงไหล่หรือคางของเจ้าตัว
เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นช้อนมอง สายตาของเขาก็สบกับอีกคนพอดี...แม้จะเป็นเพียงแค่ช่วงสั้น ๆ แต่เขาเห็นแววตานั่น...แววตาเหมือนเด็กที่สนใจบางอย่าง...ต้องการจะเรียนรู้ของเล่นใหม่
อะไรของเขา...
เลิกคิ้วมองแต่เจ้าตัวก็แค่ยิ้มกริ่มให้ ตามด้วยยกแขนขึ้นมาทางเขา ด้วยความระแวงไม่น้อยเขาจึงทำท่าจะหลบเต็มที่ แต่พอมองที่นิ้วชี้ของอีกคนชัด ๆ เขาก็พบว่า... สิ่งที่ชายหนุ่มชี้ไปคือ...
24...
เลขชั้นที่อยู่กลางผนังในโถงทางเดินนั่นเอง...
เดี๋ยวนะ...
เขาหันไปมองตามและเริ่มสำรวจสภาพพื้นที่โดยรอบ ถึงแม้ว่ามันจะคล้ายกับชั้นที่เขาทำงานมาก แต่พอเห็นป้ายชื่อบริษัทอื่น ๆ ก็ทำให้ได้รู้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นคือ...เขามาผิดชั้นนั่นเอง
"ให้ตายสิ...แม่งเพราะมัวแต่มองเนี่ยแหละ"
สบถออกมาเบา ๆ พลางยีหัวตัวเองด้วยความไม่สบอารมณ์นัก ผิดกับอีกคนที่ยังคงมีใบหน้าเปือนยิ้มอยู่ และเจ้าตัวก็ยิ้มกว้างขึ้นอีกนิดเมื่อเห็นว่าเขาเริ่มเข้าใจสถานการณ์
"เอ่อคุณพยายามจะบอกผมว่าผมมาผิดชั้นเหรอ"
ตัดสินใจพูดภาษาของตนเองไปพร้อมพยายามทำไม้ทำมือใช้ภาษามือเต็มที่ ซึ่งก็ไม่มั่นใจนักว่าเขาเข้าใจหรือไม่...
"ช่างเถอะ..."
เจ้าตัวนิ่งมอง ใช้มือลูบคางเบา ๆ ก่อนจะพยักหน้าน้อย ๆ จากนั้นก็ชี้ไปทางลิฟท์และเดินเข้าไปกดปุ่มขึ้นทันที
เข้าใจไม่เข้าใจไม่รู้ล่ะ... แต่ดูเหมือนจะรู้งานล่ะนะ...
เขามองการกระทำเหล่านั้นและลอบถอนหายใจออกมาเบา ๆ อีกคนก็ยังคงยืนนิ่งอยู่เช่นนั้น หากให้เขาเดาก็คงเพราะเจ้าตัวคงทำงานชั้นเดียวกับเขา
ว่าแต่...เขารู้ได้ไงกันว่าเราต้องไปชั้น 25 ตอนเข้ามาเราก็ไม่ใช่คนกดไปชั้น 25 นิ... แถมมีคนกดไปชั้นอื่นอีกตั้งเยอะ...
ครุ่นคิดไปได้สักพักลิฟท์ก็มาพอดี เขาจึงหยุดความคิดและเดินเข้าไปพร้อมกับอีกคน แน่นอนว่าเวลาที่ผ่านไปนั้นมันไม่ถึงนาที... เมื่อมีเสียงแจ้งเตือนพร้อมกับมอนิเตอร์ที่สำแดงเลข 25 เด่นหลาอยู่ข้างบน ประตูลิฟท์ก็เปิดออก เขารอให้อีกคนออกไปก่อนและจึงเดินตามออกมา จากนั้นก็โค้งหัวเป็นการขอบคุณเรื่องเมื่อครู่ แต่แล้วเขาก็ได้พบกับแววตาเดิมของอีกคนที่จ้องมองมา...แววตาที่เหมือนเด็กที่สนใจบางอย่าง...ต้องการจะเรียนรู้ของเล่นใหม่ ซึ่งมันก็น่าจะเป็นเขา... มันดูใสซื่อแต่ก็มีนัยยะหรือจะพูดว่ามีบางอย่างแอบแฝง...
อาจจะกำลังอยากเข้าใจสิ่งที่เขาพูดละมั้ง...หรืออาจจะอยากทำความรู้จักกัน?
สุดท้ายเขาก็ทำได้เพียงจ้องกลับไปแต่ก็หลบสายตาแทบจะในทันทีเพราะรู้สึกไม่ชินกับใบหน้าของอีกฝ่าย เขาตัดสินใจยกมือขึ้นมาโบกน้อย ๆ เป็นเชิงบอกลา แต่ไม่ทันที่จะได้ผละตัวออกมา ร่างสูงก็โน้มหน้าเข้ามาใกล้ก่อนจะฉีกยิ้มให้เขาอีกครั้ง เขาได้แต่เบิกตากว้างนิ่งอึ้งไม่เข้าใจเหตุการณ์ดีนัก จนกระทั้งเสียงทุ้มนุ่มหูเอ่ยออกมา...
"เหมือนกันนะครับ..."
"ห๊ะ...."
หากมีกระจกตอนนี้เขาคงเห็นหน้าตัวเองที่คล้ายกับเจ้าอเลกซานเดอร์หรือปลาทองสุดที่รักของเขาที่เลี้ยงไว้ก็มิปาน... ตาโตจ้องมองคนตรงหน้า ใบหน้าเขาบิดเบี้ยวไปด้วยความตื่นตระหนกและประหลาดใจ แต่ยังไม่ทันที่เขาจะได้กรองข้อมูลที่เพิ่งได้รับ ปากได้รูปนั้นก็เผยอเปิดพูดต่อ
"ผมน่ะครับ"
ชายหนุ่มพูดแล้วฉีกยิ้มอีกครั้งก่อนจะชี้ไปที่ปลายผมด้านหนึ่งของเขาที่เขามองไม่เห็น จากนั้นก็ค่อยเหยียดตัวขึ้นจ้องมองเขาที่ยังคงดูเหมือนปลาทองหลงบ่อก่อนจะหัวเราะเบา ๆ ออกมา
"หึ ๆ ขอให้เป็นเช้าที่ดีครับ...ไว้เจอกันใหม่"
พูดจบคนตรงหน้าก็หันหลังให้เขาและก้าวขาเดินห่างออกไป เขายกมือขึ้นตบหน้าตัวเองเบา ๆ เป็นการเรียกสติและกระตุ้นให้กลับมาทำงานอีกครั้ง
"เดี๋ยว...."
แต่แม้จะพูดอะไรออกไปอีกคนก็ไม่อาจได้ยิน เพราะแผ่นหลังกว้างนั่นห่างออกไปจนแทบจะสุดทางเดินอีกฟาก
ความคิดและความรู้สึกของเขาตอนนี้เหมือนเจ้าลิฟท์ที่ขึ้นมาเมื่อครู่...
1...2...3...4...5...10.....15....18.....20.........24...............25 ติ๊ง!
ใบหน้าร้อนผ่าวพร้อมกับหัวใจที่เต็นรัว ความว้าวุ่นและความอายปะปนกัน ซ้ำยังไม่พอ...เพราะเมื่อลองรวบรวมข้อมูลจากสิ่งที่เกิดขึ้นทุกอย่างแล้ว...คำตอบที่เขาได้รับรู้คือ...
"แกล้งกันนี่หว่า! เฮ้ย!"
ใช่แล้ว...ตั้งแต่แรกคนคนนั้นพูดและฟังภาษาไทยได้ ได้ยินทุกอย่าง...เข้าใจทุกอย่างที่เขาพูด แต่กลับทำเป็นไม่รู้ภาษา ซ้ำยังดูเหมือนว่าจะเห็นไอ้ผมตื่นนอนของเขาแต่แรกเช่นกัน แต่ก็ไม่ยอมพูดออกมาจนถึงที่สุด... สรุปไอ้ท่าทางนั้น...สายตานั่น...และรอยยิ้มนั่น...ไม่ใช่ความเป็นมิตรตามที่ตาเขาเห็น แต่มันคือความคิดสนุกจากใจจริงของอีกฝ่ายนั่นเอง...
สนุก...ที่ได้หลอกและแกล้งเขา
"คนบ้าไรวะ...ไม่รู้จักกันด้วยซ้ำ แม่ง! อายเหี้ย ๆ จำไว้เลย อย่าให้เจออีกนะเว้ย"
โวยวายด้วยเสียงที่ไม่ดังไปนักอยู่คนเดียว ซึ่งตอนนั้นร่างสูงนั่นก็ได้หายลับไปหลังประตูบริษัทของเจ้าตัวที่อยู่อีกฝั่งได้สักพักแล้ว
ความฉุนเฉียวหงุดหงิดแล้นเข้ามา เขาพูดไปก็ด้วยอารมณ์เหล่านี้ หากแต่ความความอายก็ยังคงอยู่...
พูดไปก็เท่านั้น จะมองหน้าตรง ๆ ยังไม่ไหวเลย...
"เฮ้อ โง่แต่เช้าเลยสิ เอาเถอะ"
สุดท้ายก็วางความคิดความรู้สึกทุกอย่างลง ส่ายหัวไปมาราวกับพยายามสลัดความว้าวุ่นที่หลงเหลืออยู่ให้ออกไปก่อนจะสาวเท้าไปอีกทางที่เป็นสำนักงานของตนเองบ้าง สูดหายใจเข้าออกลึกเพื่อเตรียมตัวเป็นพนักงานของบริษัทนี้ที่อยู่บนชั้น 25 นี่... แต่แล้วประโยคคำพูดหนึ่งก็ลอยขึ้นมาจนมำให้เขาต้องหยุดการกระทำทุกอย่างไป
'หึ ๆ ขอให้เป็นเช้าที่ดีครับ...ไว้เจอกันใหม่'
ตกอยู่ในห้วงความคิดอยู่หลายวินาทีก่อนจะยิ้มบางออกมาและก้าวเดินต่อไปด้วยสภาพอารมณ์ที่สดใสขึ้นไม่ขุ่นเคีอง
"ถ้าเจอกันอีกจะทำตัวยังไงดีนะ...ต้องหาอะไรแก้เผ็ดหน่อยล่ะมั้งฮ่า ๆ"
จากนั้นเขาก็แตะบัตรผลักประตูเข้าไปและกลับสู้โลกแห่งความเป็นจริง...โลกของเขาบนชั้น 25...ในวันที่เขาได้รู้ว่ามีอีกคนที่เข้ามาทำให้ชีวิตของเขาแปลกไปจากทุกวัน....และคนคนนั้นก็อยู่ชั้นเดียวกับเขา เพียงแค่...อยู่คนละฟากแค่นั้น
...ขอให้เป็นเช้าที่ดีเหมือนกัน...ไว้เจอกันใหม่
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in