สายฝน ที่ตกพรำๆลงมาอย่างบ้าคลั่งของช่วงที่กำลังจะเปลี่ยนฤดู ทำให้ดอกปิทูเนี่ยน(Petunien) ที่ปลูกประดับไว้ที่ระเบียงบ้านที่อยู่ชั้นสาม จำต้องยอมเอียงช่อดอกไปตามแรงฝน-แรงลม เพื่อลดแรงกระแทก ไม่ให้กลีบดอกที่บอบบางราวกับแหัวหูชั้นที่สาม บอบช้ำจนเกินไป. สักพักใหญ่ๆ เมื่อฝนเริ่มซาลง แสงแดดที่ส่องผ่านรูโหว่ของก้อนเมฆ สาดแสงลงมากระทบไหล่ปิทูเนี่ยน ที่กำลังก้มหน้าก้มตาหลบฝน เพื่อปกป้องเกษรของพวกนางอยู่นั้น ก็ได้เงยหน้า ชูช่อดอกขึ้นมารับแสงแดด อย่างมีความสุขอีกครั้ง. ทำให้หวนนึกถึงสมัยเป็นเด็ก.....พอฝนตกลงมาที ก็จะต้องวิ่งออกไปเล่นน้ำฝนกับหมาตัวโปรด เอาตัวลงไปคลุกโคลน ตม มอมแมมกันทั้งหมาทั้งคน อย่างสนุกสนาน และเมื่อฝนเริ่มซา แสงแดดสาดส่องลงมาผ่านละอองน้ำฝน จนเห็นเป็น รุ้งกินน้ำ(rainbow) ก็จะพาโบโบ้(หมาตัวโปรดของพ่อ) ออกตามล่า หาที่มาของรุ้งกินน้ำ. วิ่งไปดูที่หนองน้ำก็แล้ว วิ่งกลับมาดูที่ลำธารก็แล้ว แต่กลับไม่เห็นว่า รุ้งจะเอาหัวลงไปกินน้ำที่ใหนเลย! พอถามแม่ คำตอบที่ได้จากผู้ใหญ่ที่กำลังยุ่งๆ อยู่กับการเก็บข้าวของหนีฝนที่ใต้ถุนบ้านอยู่นั้น ก็คือ “มันไปกินที่อื่นมั้ง!” ด้วยความเดียงสาของเด็ก ที่มีเพื่อนเป็นหมา ก็จะมานั่งจินตนาการต่างๆนาๆ ว่าวันนี้ รุ้งกินน้ำ มันกินอยู่ที่ไหน? และเฝ้ารอคอยเสมอว่า สักวันหนึ่ง มันจะมากินที่หนองน้ำใกล้ๆบ้าน. ตั้งแต่วันนั้นมา เมื่อไหร่ที่ฝนตก ก็จะเป็นเวลาที่ต้องออกตามล่าหารุ้งกินน้ำ ตามห้วย หนอง คลอง บึง กันเลยทีเดียว....เจอบ้าง...ไม่เจอบ้าง!(ส่วนมากจะไม่เจอ แต่จริงๆแล้ว แค่อยากเล่นน้ำฝน แต่บอกแม่ว่า ไปดูรุ้งกินน้ำ ha ha ha!) ในใจของเด็กน้อย ที่ผิดหวังครั้งแล้ว ครั้งเล่า ก็ได้แต่คิดว่า รุ้งกินน้ำ มันคงเป็นแค่เรื่องบังเอิญ ผ่านเข้ามาให้เราได้ชื่นชม มาเพื่อแค่จะบอกว่า ฟ้าหลังฝน มันสวยงามมากแค่ใหน .แล้วก็จากไป... แค่นั้นเองหรือ? แต่พอโตขึ้นมาอีกหน่อย ก็ได้เรียนรู้ว่า รุ้งกินน้ำเป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ ที่มีเหตุ มีผล ไม่ใช่แค่เรื่องบังเอิญ และยังกลายมาเป็นความเชื่อของคนไทย ว่าถ้าเอามือชี้รุ้งกินน้ำแล้ว จะเกิดเรื่องไม่ดีขึ้น ต้องแก้เคล็ดด้วยการเอานิ้วมือถูตูด(แล้วเอามาดม ha ha ha!) ว่าด้วยปรากฎการณ์ทางธรรมชาติ ยังพอหาเหตุผลมาอธิบายได้บ้าง.....แต่ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติของมนุษย์ บางทีก็หาเหตุผลมาอธิบายไม่ได้เลย. มีแต่ความเชื่อเท่านั้นที่จะไขข้อข้องใจได้. เชื่อว่าทุกคนที่ผ่านเข้ามาในชีวิตของเราและได้มาพบเจอกันในรูปแบบต่างๆ ล้วนแล้วแต่มีเหตุผลในตัวของมันเองทั้งนั้น บางคนผ่านเข้ามาเพื่อให้ชีวิต สอนให้เราแข็งแกร่ง และส่งผ่านเราไปให้สังคม และการที่เราจะเป็นคนแบบใหนในสังคม ก็มีผลมาจากการที่เราเจอกับอะไรในชีวิตมาบ้าง. บางคนผ่านเข้ามาเพื่อที่จะให้บทเรียนอะไรบางอย่าง แล้วจากไป ดีบ้าง...ไม่ดีบ้าง....แต่เชื่อว่าทุกคนที่ผ่านเข้ามาในชีวิตของเราและทิ้งความทรงจำอะไรบางอย่างไว้ ไม่ใช่แค่เรื่องบังเอิญ ที่พวกเขาจะผ่านเข้ามา เวลานึกถึงบุคคลเหล่านั้น เราก็มักจะมีคำจำกัดความให้พวกเขาเสมอ คนที่ให้ชีวิตก็จะถูกเรียกว่า พ่อ-แม่ คนที่ให้ความรู้ก็จะได้ชื่อว่าเป็น ครู. คนที่เป็นปรปักษ์เรียกว่า ศัตรู. แล้วคนที่ผ่านมาให้ความรักแล้วจากไปล่ะ เราจะเรียกเขาว่าอะไรได้บ้าง? แน่นอนที่สุด! คู่ชีวิต จะถูกเรียกว่า สามี-ภรรยา แต่ก็ยังมีอีกต่างๆนาๆ ที่ผ่านเข้ามาเหมือนลมพัดผ่าน บ้างก็ทิ้งไว้แค่กลิ่นแล้วจากไป ....บ้างก็ยังเดินเคียงข้างกันไป แต่เป็นเส้นขนาน ซึ่งต่อไปนี้เราจะเรียกคนเหล่านี้ว่า “รุ้งกินน้ำ” ที่ผ่านเข้ามาในระยะเวลาสั้นๆ เราทำได้แค่หยุดมอง มีความสุขกับมัน และเก็บเอาความทรงจำที่สวยงามไว้ ก่อนที่มันจะเลือนหายไป ในชั่วพริบตา และอย่าได้คิดที่จะวิ่งตามล่ามัน เพราะเราทำได้อย่างเดียวคือ ชื่นชมความสวยงามของมันในขณะนั้นซะ... หาใช่การเป็นเจ้าของไม่!